เห็นกู้เจิงเดินจากไปอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด นางกำนัลาุโชุยกูกู่หมายจะเรียกนางกลับมา ทว่าพระสนมซูกลับเรียกไว้ก่อน “ไม่ต้องสนใจนาง”
“เหนียงเหนี่ยง ปล่อยให้นางจากไปเช่นนี้เกรงจะไม่เหมาะสมนะเพคะ” ชุยกูกู่เอ่ยเสียงเบา
“ก็แค่บุตรสาวอนุภรรยา เ้าคิดจริงๆ หรือว่าฐานะอย่างนางจะมีประโยชน์อะไร?” พระสนมซูในใจนึกโมโหกู้เจิงนัก แม้แต่ฮ่องเต้ก็เคยไม่พูดกับนางเช่นนี้
“เหนียงเหนี่ยง บ่าวไม่เข้าใจ เหตุใดท่านอ๋องของเราถึงต้องให้ใต้เท้าเสิ่นแต่งงานใหม่เล่าเพคะ? ฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นี้เป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนกู้ หากใต้เท้าเสิ่นคิดไม่ซื่อกับท่านอ๋อง ก็ถือเป็การคิดไม่ซื่อต่อจวนกู้ด้วย ฮูหยินน้อยเสิ่นเองต้องเข้าข้างฝั่งบ้านตัวเองอยู่แล้วเพคะ”
“เื่นี้ ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” พระสนมซูไม่เข้าใจว่าในใจของบุตรชายคิดอะไรอยู่ “ไม่ว่าอย่างไร เขาย่อมต้องมีเหตุผลของเขา”
ชุยกูกู่พยักหน้า นางเห็นตวนอ๋องกำลังเดินเข้าจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องมาแล้วเพคะ”
พอนางกำนัลมาแจ้งเขาว่าฮูหยินน้อยเสิ่นออกไปจากตำหนักเสด็จแม่แล้ว จ้าวหยวนเช่อก็รีบบึ่งมาทันที เขาอยากรู้ว่าเสด็จแม่โน้มน้าวผู้หญิงคนนั้นได้หรือไม่
“นางช่างบังอาจนัก” จ้าวหยวนเช่อได้ฟังเสด็จแม่บอกว่าสตรีผู้นั้นไม่ยินยอม สีหน้าของเขาจึงไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
พระสนมซูยกถ้วยชาขึ้นมาจิบก่อนกล่าวว่า “ก็แค่บุตรสาวอนุคนหนึ่ง ไม่คู่ควรให้กริ้วโกรธ หากเ้า้าหาคู่ครองที่เหมาะสมให้กับเสิ่นเยี่ยนใหม่จริงๆ ให้เสด็จพ่อเ้าออกราชโองการให้ก็จบ”
“ก่อนหน้านี้เสิ่นเยี่ยนได้ปฏิเสธลูกเื่ที่จะให้เขาแต่งภรรยาใหม่แล้ว ด้วยนิสัยของเขาหากลูกเสนอเื่นี้อีก เขาต้องตีตัวออกห่างจากลูกแน่” นี่เป็เื่ที่จ้าวหยวนเช่อกังวลมากที่สุด บุรุษผู้นี้เขาไม่อาจปล่อยไปได้
“ในเมื่อเขาไม่ปรารถนา แล้วเหตุใดเ้าจะต้องดันทุรังด้วยเล่า?” พระสนมซูไม่เข้าใจความคิดบุตรชาย
“เสด็จแม่ มีเพียงการที่เสิ่นเยี่ยนแต่งงานกับหวังหว่านหรงเท่านั้น ทุกอย่างถึงจะสามารถก้าวไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้” การที่เสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงถูกผูกติดเข้าด้วยกัน ทำให้เขาเสียบุตรชายไป และไม่แน่ว่าบุตรชายคนรองของเขาก็อาจจะไม่มาด้วย ในอดีตนั้นเขาซ่อนเร้นความสามารถ และมองดูเสิ่นเยี่ยนอาศัยอำนาจของตระกูลหวังทำลายศัตรูทางการเมืองทั้งหมด แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายจะกลายมาเป็ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
ในชาตินี้ เขาเลยได้ดึงตัวเสิ่นเยี่ยนมาเข้าฝ่ายตัวเอง เขาได้แต่หวังว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดจะไม่มาถึง
“หมายความว่ายังไง?” พระสนมซูงุนงง
จ้าวหยวนเช่อไม่อาจเล่าเื่นี้ให้เสด็จแม่ฟังได้ เื่ไร้สาระเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะกลายเป็เื่จริง ตอนที่เสิ่นเยี่ยนจะแต่งงานกับกู้เจิงนั้น ก็เป็เพียงแผนการที่เหมาะสมเท่านั้นเอง แต่คิดไม่ถึงว่าเื่จะดำเนินมาจนเกินความคาดหมายของเขา
พระสนมซูทิ้งความไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ไว้เื้ั นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “อีกสองวันเซี่ยอวิ้นจะกลับเข้าวัง เสด็จพ่อเ้าบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขา แม่ทัพเซี่ยมีบุญคุณช่วยชีวิตเสด็จแม่เ้า เ้าต้องปฏิบัติต่อเขาให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
เซี่ยอวิ้นกลับมาั้แ่เมื่อสองเดือนก่อนแล้ว หลายวันมานี้ยังคงอาศัยอยู่ในจวนของเขา แน่นอนว่าเื่นี้ไม่อาจพูดได้ จ้าวหยวนเช่อได้แต่พยักหน้าให้เสด็จแม่
“พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปี ฉางชิงกับิ่หรูก็โตเป็ผู้ใหญ่แล้ว ได้ยินว่าปีนี้ แม่สื่อก็รอก้าวเข้าประตูตระกูลเซี่ย ข้าว่ารอให้แม่ทัพเซี่ยกลับมา การแต่งงานของฉางชิงก็ควรจะหมั้นหมายไว้ได้แล้ว” นางมองบุตรชาย “มีข่าวลือว่ากู้เหยากับฉางชิงสนิทกันมาก?”
จ้าวหยวนเช่อส่งเสียงอืมรับคำเบาๆ
“ให้ตระกูลกู้หยุดความคิดนี้เสียเถอะ กู้เหยาเป็เด็กดี เ้าบอกกู้ป๋อเจวี๋ยให้เลี่ยงไปซะ เขาจะเข้าใจเอง”
“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตระกูลกู้มีบุตรสาวคนหนึ่งแต่งงานกับเขาแล้ว ส่วนบุตรสาวอีกคนก็แต่งได้แค่ขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ตระกูลเซี่ยมีอำนาจทางทหาร ถ้ามีการแต่งงานของกู้เหยากับตระกูลเซี่ย เกรงว่าเสด็จพ่อจะหวั่นเกรงเขาได้
กู้เจิงออกมาจากตำหนักของพระสนมซูโดยที่ไม่มีคนตามมาส่ง นางจึงต้องหาทางเดินออกจากวังหลวงนี้เพียงลำพัง
ทำไมตวนอ๋องอยากให้เสิ่นเยี่ยนแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลหวังถึงเพียงนี้? อยากให้นางทนทุกข์ทรมานงั้นหรือ? กู้เจิงสงสัยเหลือเกิน
“ขอถามหน่อยว่าประตูทางเข้าวังหลวงไปทางไหนหรือ?” กู้เจิงเดินไปถามนางกำนัลคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
นางกำนัลคนนั้นมองกู้เจิงอย่างแปลกใจ แต่แล้วนางก็ชี้ไปยังประตูกลมทางด้านหลังของนาง “ออกจากที่นี่ไป ยังต้องเดินไปอีกสักพักถึงจะถึงประตูวัง”
“เช่นนั้นขอถามอีกหน่อย พวกเ้ามีรถม้าจะออกจากวังไหม? ข้าอยากอาศัยไปด้วย” กู้เจิงอยากจะรีบออกจากที่นี่แล้ว
“ไม่มีหรอก” นางกำนัลมองนางอย่างสงสัย
ขณะนั้นเอง นางกำนัลคนที่คุยอยู่กับกู้เจิงก็ย่อกายคารวะให้ผู้ที่เดินเข้ามาทางด้านหลังของกู้เจิง “บ่าวคารวะฮูหยินเซี่ย คุณหนูเซี่ยเ้าค่ะ”
กู้เจิงหันกายไปมอง นางเห็นสตรีสองคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยกัน สตรีนางนั้นดูสูงสง่า ทว่าหางตามีร่องรอยบ่งบอกถึงอายุอยู่ไม่น้อย หญิงสาวอีกคนที่เดินมาด้วยกันกับนางเป็สาววัยแรกรุ่น รูปร่างเค้าหน้าคล้ายกับสตรีอีกคน สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมุมปากของนางโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม
ทั้งสองคนเป็ภรรยาและบุตรสาวของเทพาเซี่ยอวิ้น ฮูหยินกงเจวี๋ยนี่เอง กู้เจิงก็รีบคารวะตามมารยาท
ฮูหยินเซี่ยส่งสายตาเ็ามาทางกู้เจิง “เงยหน้าขึ้นมา”
กู้เจิงสบตาเมล็ดซิ่งคู่นั้นที่มองนางอย่างพิจารณา สายของฮูหยินเซี่ยช่างไม่เข้าตาเอาเสียเลย
“คืนนั้นลูกชายข้าไปส่งตราอาญาสิทธิ์ให้ใต้เท้าเสิ่น พอเขาทำภารกิจที่ได้รับเสร็จกลับมาถึงบ้านก็ป่วยหนัก จนบัดนี้เขาก็ยังพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน เขาเป็ถึงขนาดนี้แต่ใต้เท้าเสิ่นก็ยังไม่มีแม้แต่ท่าทีใดๆ เลย” หางคิ้วของฮูหยินเซี่ยยกสูงขึ้นตามคำพูดของนาง ั์ตาของนางแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น
กู้เจิงอึ้งไป นางได้แต่ใคร่ครวญว่าจะตอบอย่างไรดี
ได้ยินฮูหยินเซี่ยเอ่ยขึ้นอีกว่า “ป่วยก็ป่วยแล้ว แต่สุดท้ายตราอาญาสิทธิ์ก็ไม่ได้ใช้ ใต้เท้าเสิ่นได้เตรียมคนไว้ก่อนแล้ว คนในค่ายทหารจะไปหรือไม่ เดิมทีก็ไม่เป็ไร ฮูหยินน้อยเสิ่น นี่ใต้เท้าเสิ่นจงใจทรมานบุตรชายข้าหรือไร?”
กู้เจิงได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะกล่าวว่า “การมีกำลังทหารเพิ่มอีกหน่อยก็ถือเป็เื่ดีนะเ้าคะ”
ฮูหยินเซี่ยแค่นเสียงเย็น “เื่แบบนี้ถ้าไม่ได้ตั้งใจวางแผนไว้ เกรงว่าพวกเ้าคงตายจากคมดาบของศัตรูไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีใครช่วยได้ทัน ฮูหยินน้อยเสิ่นคิดว่าข้าเป็เด็กสามขวบหลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?”
“ฮูหยินเซี่ยพูดมีเหตุผลเ้าค่ะ แต่เื่ใหญ่เช่นนี้ คงเพราะองค์รัชทายาทและตวนอ๋องคิดไม่รอบคอบ ถึงทำให้เซี่ยกงเจวี๋ยน้อยลำบากถึงเพียงนี้” กู้เจิงยิ้มบางๆ
“ตราอาญาสิทธิ์นั้นเสิ่นเยี่ยนเป็คนให้ จะเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทกับตวนอ๋องได้ยังไง?”
“ฮูหยินเซี่ยช่างกล่าวได้น่าขันนัก สามีข้าเป็เพียงขุนนางเล็กๆ เท่านั้น ไหนเลยจะกล้ามีส่วนร่วมกับเื่ใหญ่เช่นนี้ แล้วยิ่งการจะไปเรียกใช้เซี่ยกงเจวี๋ยน้อยจะเป็ไปได้ยังไงเ้าคะ?” กู้เจิงรู้สึกว่าตัวเองยิ้มมากเกินไปจนแก้มแข็งค้าง
“ท่านแม่” เซี่ยิ่หรูรีบพูดแทรกขึ้นว่า “นี่ก็สายมากแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราควรออกจากวังแล้วเ้าค่ะ”
“ฮูหยินน้อยเสิ่นฝีปากคมคายจริงๆ” ฮูหยินเซี่ยหรี่ตาลงมองกู้เจิง
“ฮูหยินน้อยเสิ่นก็จะออกจากวังหรือเ้าคะ?” คุณหนูเซี่ยถามกู้เจิง แววตาของนางแฝงไว้ด้วยความปรารถนาดี “ถ้ายังไงก็ออกจากวังพร้อมกับพวกเราเถอะเ้าค่ะ”
“ได้” กู้เจิงย่อมรับความปรารถนาดีนี้ เพราะนางเองก็อยากจะรีบออกจากวังจริงๆ
ฮูหยินเซี่ยย่อมไม่เห็นด้วย แต่เห็นบุตรสาวมองมาอย่างออดอ้อน นางก็อดใจอ่อนไม่ได้ ทั้งสามคนออกจากวังด้วยรถม้าของจวนเซี่ย ภายในรถม้า ฮูหยินเซี่ยนั่งหลับตาตลอดทาง ส่วนคุณหนูเซี่ยก็มองกู้เจิงด้วยความสนใจโดยตลอด
กู้เจิงได้แต่ยิ้มให้นาง จนสุดท้ายก็ยิ้มต่อไม่ไหว นางรู้สึกว่าสายตาของคุณหนูเซี่ยผู้นี้มองตนเองราวกับมองของแปลกพิสดาร โชคดีที่นั่งมาไม่นานก็ได้ออกนอกวังแล้ว กู้เจิงรีบกล่าวขอบคุณแล้วรีบจากไป
เมื่อกู้เจิงไปแล้ว ฮูหยินเซี่ยถึงได้ลืมตาขึ้น นางมองบุตรสาวพร้อมเอ่ยว่า “ิ่เอ๋อร์ เ้าดีกับนางถึงเพียงนี้ไปทำไม? แค่ฮูหยินของขุนนางขั้นสองคนหนึ่ง อย่าได้ลืมสถานะของตัวเองไปสิ”