เซี่ยเสี่ยวหลานและหนิงเสวี่ยเดินด้วยกันตามลำพัง ช่างเป็ภาพที่พบเห็นได้ยากจริงๆ
ทั้งสองคนไม่ได้สนิทกัน ทั้งยังเป็ถึงคู่แข่งชิงตำแหน่ง ‘ผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารดีเด่น’ ด้วยซ้ำ ทว่าจู่ๆ หนิงเสวี่ยก็ขอถอนตัวออกจากการคัดเลือกเอง โชคดียิ่งนักที่หลังจากนั้นก็เป็การหยุดวันชาติ มิเช่นนั้นจะก่อให้เกิดการสนทนาอย่างดุเดือดในหมู่นักศึกษาไปนานแล้วอย่างแน่นอน
“สหายหนิงเสวี่ย เธอมีอะไรไม่พอใจเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า?”
ด้วยนิสัยของหนิงเสวี่ย ถ้าจะให้เธอเริ่มเอ่ยปากก่อน อาจไม่ได้คำตอบแม้เดินวนครบ 10 รอบสนาม ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานจึงเอ่ยปากถามอย่างว่องไวไม่อ้อมค้อม
และหนิงเสวี่ยก็เป็คนตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน “เธออยากถามฉันว่าทำไมถึงถอนตัวออกจากการคัดเลือก ‘ผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารดีเด่น’ สินะ? ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก ฉันแค่รู้สึกว่านั่นไม่น่าสนใจ ฉันไม่อยากเสียเวลามากเกินควรกับเื่ที่ไม่มีความหมายแบบนั้น”
ประเมินความยอดเยี่ยม รับรางวัล?
แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่ารับรางวัลอะไร
จะตัวแทนนักศึกษาใหม่หรือนักศึกษาสามดีอะไรก็ตาม สำหรับหนิงเสวี่ยล้วนคือการเสียเวลาของเธอไปโดยเปล่า
หากทางมหาวิทยาลัยยืนหยัดจะเลือกเธอ หนิงเสวี่ยจะหลบเท่าที่เธอสามารถทำได้ ก็เหมือนการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในฐานะ ‘ตัวแทนนักศึกษาใหม่’ เธอแค่เช็ดก้นให้จี้เจียงหยวนเท่านั้น เนื่องจากจี้เจียงหยวนไม่เข้าใจสภาพการณ์ภายในประเทศแม้แต่น้อย และยังคงทำตามใจตนอย่างตอนอยู่อเมริกา ‘ตัวแทนนักศึกษาใหม่’ คือการแสดงถึงความไว้วางใจของมหาวิทยาลัย แต่จี้เจียงหยวนกลับปฏิเสธหน้าตาเฉย!
เซี่ยเสี่ยวหลานตะลึงงันเพราะความดุดันของจ้าวแห่งการเรียน
“รางวัลแบบไหนถึงจะมีความหมายรึ?”
หนิงเสวี่ยยิ้ม ‘เธอคิดว่าอะไรล่ะ’
อันที่จริงเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดี หญิงสาวตรงหน้าคนนี้คือหลานสาวของปรมาจารย์สถาปนิกหนิงเยี่ยนฝาน
สำหรับหนิงเสวี่ย รางวัลที่มีความหมาย แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับ ‘สถาปัตยกรรม’ เท่านั้น!
เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนสถาปัตยกรรมเพื่อการบริหารธุรกิจในอนาคต ส่วนหนิงเสวี่ยอาจเรียนสถาปัตยกรรมเพื่อความฝัน หรือเพื่อความศรัทธาบางอย่าง... เซี่ยเสี่ยวหลานมีสภาพจิตใจซับซ้อนเกินกว่าจะทำเช่นนี้ได้ แต่เธอเห็นชอบในความซื่อตรงของหนิงเสวี่ยเป็อย่างยิ่ง
สหายหนิงเสวี่ยผู้ซื่อตรงพูดจาตรงไปตรงมามากเหมือนกัน
“ก่อนหน้านี้เหมือนฉันจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับเธอเล็กน้อย ฉันนึกว่าเธอสนใจเื่ไม่เป็เื่มากกว่าแก่น ทั้งที่มีสมองฉลาดหลักแหลมแต่ดันเสียพร์ไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ จุดนี้ฉันต้องขอโทษเธอด้วย ส่วนอย่างอื่นฉันไม่ได้ไม่พอใจเธอ ในความคิดของฉันเธอก็เหมือนเพื่อนนักศึกษาคนอื่นๆ ”
หนิงเสวี่ยไม่ได้โกหก
เธอเฉยชาต่อเพื่อนนักศึกษาคนอื่น และความเ็านี้ถูกซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘มารยาท’
สำหรับ ‘อัจฉริยะ’ แล้ว ไม่จำเป็ต้องสนใจความคิดของคนธรรมดาทั่วไป
หนิงเสวี่ยไม่รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีพร์ด้านสถาปัตยกรรมหรือไม่ เธอรู้เพียงเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่คนโง่เง่าอย่างแน่นอน
แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้หนิงเสวี่ยเห็นเป็คู่แข่ง โดยเฉพาะในด้าน ‘สถาปัตยกรรม’ เซี่ยเสี่ยวหลานยังมีทักษะพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้อีกมากมายเหลือเกิน! ถ้าไม่ใช่เพราะจี้เจียงหยวน หนิงเสวี่ยคงไม่สนใจเซี่ยเสี่ยวหลาน และคงไม่เกิดความคิด ‘หมั่นไส้’ ตอนนี้ความรู้สึกนี้ถูกกำจัดไปแล้ว หนิงเสวี่ยย่อมจัดเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ในประเภท ‘เพื่อนนักศึกษาคนอื่น’
เธอมาที่สนามเพื่ออธิบายท่าทีก่อนหน้านี้ของตนเอง
เมื่ออธิบายจนชัดเจนแล้ว ในอนาคตเธอปฏิบัติต่อเพื่อนนักศึกษาคนอื่นเช่นไร การปฏิบัติต่อเซี่ยเสี่ยวหลานก็จะเหมือนกัน
หนิงเสวี่ยพูดจบก็จากไปทันที ทิ้งเซี่ยเสี่ยวหลานให้ยืนสงสัยกับชีวิตอยู่ในสนามสักพักหนึ่ง
หญิงสาวยุคนี้เก่งกล้าสามารถกันเกินไปแล้วหรือเปล่า?
อยู่ดีๆ เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกราวกับถูกสั่งสอน
ในโลกก่อนเกิดใหม่ของเธอมีหนิงเยี่ยนฝาน แน่นอนว่าย่อมต้องมีหนิงเสวี่ยด้วย ทว่าหนิงเสวี่ยไม่เพียงแต่อายุต่างกับเธอในชาติก่อน ตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้สอบเข้าหัวชิง จึงไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าในอนาคตหญิงสาวคนนี้จะมีความสำเร็จอย่างไร... เอาเป็ว่าไม่ธรรมดาแน่นอน แต่จะไม่ธรรมดาถึงขั้นไหนกัน?
ที่แท้หนิงเสวี่ยมีท่าทีพิกลเพราะสาเหตุแบบนี้นี่เอง เธอเคยบอกแล้วใช่ไหมเล่า สายตาที่หนิงเสวี่ยมองเธอนั้นเหมือนกับสายตาของอาจารย์ประจำวิชาเฉพาะทางในชาติก่อนหลังจากที่รู้ว่าเธอจะทิ้งสิ่งที่เรียนมาสี่ปีไปเป็นักขายไม่มีผิดเพี้ยน!
นั่นไม่ใช่แค่ความหมั่นไส้ มันคือความรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ
เซี่ยเสี่ยวหลานโดนสาวน้อยวัยไม่ถึง 20 ปี ‘ผิดหวัง’ เธอคิดว่าช่างเป็ความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
“หนิงเสวี่ยก็มีนิสัยแบบนี้แหละ เ้าตัวไม่ได้เจตนาร้ายต่อเธอหรอก”
จู่ๆ เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา ทำเอาเซี่ยเสี่ยวหลานตกอกใ
“จี้เจียงหยวน เธอหลบทำอะไรน่ะ?”
จี้เจียงหยวนเดินออกมาจากในร่มไม้ เขาเองก็จนปัญญา บางทีเขาแค่ชอบที่จะครุ่นคิดในสถานที่เงียบสงบ แต่กลับต้องล่วงรู้ความลับของคนอื่นไปเสียทุกครั้ง คราวก่อนเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานกับโจวเฉิง คราวนี้ก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างเซี่ยเสี่ยวหลานและหนิงเสวี่ย จี้เจียงหยวนรู้สึกว่าเขากับเซี่ยเสี่ยวหลานอาจมี ‘ชะตาต้องกัน’ ที่คนจีนมักพูดถึงจริงๆ
“ไม่ต้องใขนาดนี้หรอกน่า OK? ฉันมาตรงนี้ก่อน เป็พวกเธอที่หยุดคุยกันตรงหน้าฉันเอง ยังจะโทษว่าฉันแอบฟังอย่างนั้นรึ? สหายเซี่ยเสี่ยวหลาน ที่ฉันเดินออกมาก็เพราะคิดว่าการ ‘แอบฟัง’ มันไม่มีมารยาทเกินไปน่ะสิ!”
คราวก่อนโจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังจูบกัน จี้เจียงหยวนคิดว่าเขาควรเมินสิ่งที่ไม่สมควรมอง จนกระทั่งถูกโจวเฉิงจับได้ถึงปรากฏตัว
ครั้งนี้เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังข้องใจเกี่ยวกับชีวิต และจี้เจียงหยวนคิดว่าตนเองสามารถไขข้อข้องใจให้เธอได้
สุภาพบุรุษก็ควรแก้ไขปัญหาให้สาวๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะสาวสวย!
จี้เจียงหยวนว่าไปตามหลักเหตุผล อันที่จริงเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ได้โกรธเขาแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอสงสัยเกี่ยวกับหนิงเสวี่ยมากกว่า
“เธอรู้จักกับหนิงเสวี่ยสินะ คงไม่ใช่แค่รู้จัก แต่น่าจะสนิทกันทีเดียวด้วย”
หนิงเสวี่ยไม่สนใจใครทั้งนั้น แต่กลับรู้ความเป็ไปของจี้เจียงหยวน ตอนฝึกทหารจี้เจียงหยวนกับเพื่อนนักศึกษาทั้งสามคนอยู่ในป่านานเกินไป หนิงเสวี่ยยังเตือนเธอเลยว่าอย่าไปตามหา เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้สนใจโดยสิ้นเชิงว่าจี้เจียงหยวนอยู่ในที่ตั้งค่ายหรือไม่ แต่หนิงเสวี่ยสนใจ... โลกใบนี้ช่างน่าอัศจรรย์ ต่อให้เป็หญิงสาวผู้แข็งกระด้างและเฉยชาเพียงใด ในใจล้วนมีที่อยู่ของความนุ่มนวลอยู่เสมอสินะ
ก่อนหน้านี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่แน่ใจว่าคนที่หนิงเสวี่ยใส่ใจคือจี้เจียงหยวนหรือสยฺงไป่เหยียน ทว่าตอนนี้จี้เจียงหยวนแสดงตัวออกมาเอง เช่นนั้นก็สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดแล้วนี่นา!
จี้เจียงหยวนยกสองมือขึ้นอย่างยอมจำนน
“ผู้หญิงหัวชิงช่างฉลาดเหลือเกิน ล้ำกว่าจินตนาการของฉันยิ่งนัก! ใช่แล้ว ฉันรู้จักกับหนิงเสวี่ย ยิ่งไปกว่านั้นครอบครัวฉันกับตระกูลหนิงถือว่าเป็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่กัน เพียงแต่ว่าฉันกับหนิงเสวี่ยไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปี ตอนมัธยมปลายปีสองเธอมาอเมริกา่ปิดภาคเรียนฤดูร้อน พวกเราถึงได้สานต่อมิตรภาพ”
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘สานต่อมิตรภาพ’ จี้เจียงหยวนดูอึกอักอยู่มากทีเดียว
เขาเคารพหนิงเสวี่ยแต่ไม่ขอใกล้ชิด ก็เพราะนิสัยส่วนตัวของหนิงเสวี่ยนั่นเอง หนิงเสวี่ยกำลังใช้มาตรฐาน ‘อัจฉริยะ’ กับตนเอง และถึงขั้นใช้มาตรฐานเดียวกันกับมิตรสหายของเธอ—ในกรณีที่เธอมีเพื่อนจริงๆ น่ะนะ ทว่าจี้เจียงหยวนเห็นตัวเองเป็เพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แม้คะแนน SAT [1] ของเขาจะสามารถยื่นเข้ามหาวิทยาลัยดังในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกาได้ผ่านฉลุย แต่จี้เจียงหยวนยังคงไม่คิดว่าตนจะถูกขนานนามว่าอัจฉริยะได้
สำหรับคนธรรมดาคนหนึ่ง การจะเป็เพื่อนกับ ‘อัจฉริยะ’ อย่างหนิงเสวี่ยนั้นช่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก
เนื่องจากความสัมพันธ์ฉันสหายเก่าของครอบครัวทั้งสองฝ่าย เขาจำต้องฝืนใจเป็เพื่อนกับหนิงเสวี่ย โดยสัญชาตญาณของจี้เจียงหยวนนั้นขัดขืน
ทว่าแม้เขาจะเคารพยำเกรงหนิงเสวี่ยอยู่ห่างๆ แต่กลับไม่้าให้คนอื่นเข้าใจหนิงเสวี่ยผิด จี้เจียงหยวนยืนหยัดอธิบายเสียยกใหญ่
“ฉันคิดว่าเริ่มแรกหนิงเสวี่ยคงเห็นว่าเธอเป็อัจฉริยะเข้าแล้ว บางทีคงเป็เพราะคะแนนเกาเข่าของเธอ หรือเป็เพราะเหตุผลอื่น แต่ประเด็นสนทนาซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวิชาการทั้งหมดที่เธอเป็ต้นเหตุในมหาวิทยาลัยถูกหนิงเสวี่ยคิดว่าคือการสูญพร์โดยเปล่าประโยชน์ เ้าตัวเขาถึงได้โกรธ...”
“หลังจากนั้น เธอพบว่าจริงๆ ฉันก็เป็แค่คนธรรมดา ไม่คู่ควรให้เธอสนใจสินะ?”
สหายหนิงเสวี่ยไม่้าชิง ‘ผู้สำเร็จการฝึกวิชาทหารดีเด่น’ อะไรนั่นกับคนธรรมดา จึงขอถอนตัวออกเอง?
ดูจากสีหน้าของจี้เจียงหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเธอเดาถูก
เื่ราวไม่มีความซับซ้อนมากมายนัก เป็เธอเองที่คิดมากไป—เอาเถอะ รู้ว่าตัวเองไม่ใช่อัจฉริยะ แต่กลับโดน ‘อัจฉริยะ’ หมั่นไส้ อย่างไรเซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกสับสนมากอยู่ดี!
นี่เธอโดนหญิงสาวอายุไม่ถึง 20 ปีชังน้ำหน้าเสียแล้ว
หญิงสาวคนนี้ได้คะแนนเกาเข่ามากกว่าเธอ 4 คะแนน เป็ถึงจ้วงหยวนของการสอบเกาเข่าทั่วประเทศ
หญิงสาวคนนี้มองข้ามคนธรรมดาทุกคน เป็เพื่อนกับอัจริยะด้วยกันเท่านั้น
—เมื่อนำเหตุผลข้างต้นมารวมเข้าด้วยกัน ก็ไม่อาจทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับอย่างสบายใจว่าตนถูกอัจฉริยะหมั่นไส้ได้อยู่ดีน่ะสิ!
เชิงอรรถ
[1]SAT คือการสอบที่ทดสอบการใช้เหตุผลในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ (การอ่านและการเขียน) ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในสหรัฐอเมริกา ใช้เป็คะแนนสำหรับเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้