เย่เวิ่นเทียนไปทะเลตะวันออกไม่เพียงเพื่อตามหาเย่เฟิง แต่ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง นั่นคือการตรวจสอบสถานการณ์ที่นั่น ดูว่าใคร้าวิทยายุทธ์ตระกูลเย่กันแน่
เขาถามหัวขโมยที่เย่เฟิงจับได้ก่อนหน้านี้ แต่ไอ้โจรนั่นกลับไม่รู้อะไรเลย มันแค่ทำตามภารกิจของยุทธจักรที่ได้รับมาเท่านั้น เมื่อไม่ได้ความอะไร เย่เวิ่นเทียนจึงปล่อยตัวไป และเพื่อความปลอดภัย เขานำตำราวิทยายุทธสี่เล่ม คัมภีร์เฟยเย่ วิชากรงเล็บั วิชาฝ่ามืออสูรคลั่ง และเพลงกระบี่สุริยคราสติดตัวมาด้วย จากนั้นพาซูเมิ่งหานขึ้นรถ Hummer H2 ด้วยกัน
ตอนขึ้นรถ เย่เวิ่นเทียนคิดเพียงว่ารถคันนี้ดูเท่ดี แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันกินน้ำมันมาก แม้จะมีถังน้ำมันสำรอง แต่หาก้าไปถึงเมืองเซี่ยงซานที่อยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยกิโลเมตรก็คาดว่าจะใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม
ซูเมิ่งหานกำลังช่วยถ่วงเวลาให้เย่เฟิง...
............
เย่เฟิงอยู่ที่ทะเลตะวันออกแล้ว และกำลังแอบฟังการสนทนาระหว่างผู้ฝึกวรยุทธ์สี่คนที่อยู่ห้องชั้นล่าง
“ศิษย์พี่ลัวเฟิงไม่เป็ไรใช่ไหมครับ?” เด็กหนุ่มที่มีระดับพลังลมปราณต่ำกว่าพูดขึ้น
“ไม่เป็ไรแน่นอน” ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับเสือที่รอโอกาสออกล่า เย่เฟิงรับรู้ได้ว่าชายคนนี้มีระดับพลังลมปราณสูงที่สุดในบรรดาสี่คน ซึ่งสูงถึงยี่สิบห้าปี!
ดูเหมือนคนนี้จะเป็ ‘ศิษย์พี่ลัวเฟิง’ ที่คนอื่นเรียกสินะ
“ไม่คิดเลยว่าไอ้หนานฟางจะกล้าลอบโจมตีพวกเรา” ศิษย์พี่ลัวเฟิงกดเสียงต่ำ “ครั้งนี้ถือเป็โชคดีของมันแล้วกัน ถ้าเจอกันครั้งหน้า มันจะต้องตายด้วยหมัดปืนใหญ่สามจักรพรรดิ!”
หนานฟาง?
เมื่อเย่เฟิงได้ยินชื่อนี้ก็ขมวดคิ้ว หนานฟางที่พวกมันพูดถึงเป็ไปได้ไหมว่าคือชายหน้ากากหัวกะโหลก?
“โห ใครบ้างจะไม่รู้ว่าศิษย์พี่ลัวเฟิงเพิ่งบรรลุวิชาหมัดปืนใหญ่สามจักรพรรดิถึงขั้นที่สอง แถมพลังปราณภายในที่ปลดปล่อยออกมาก็แข็งแกร่งหาที่เปรียบไม่ได้ขนาดนี้” คนอื่นๆ เริ่มสรรเสริญเยินยอศิษย์พี่ลัวเฟิงคนนั้นทันที แม้ผนังเก็บเสียงจะทำหน้าที่ได้ดี ทว่าก็ไม่อาจรอดพ้นจิตหยั่งรู้ของเย่เฟิงไปได้
ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะฟังเสียงคนพวกนั้น
“หว่านเอ๋อร์ เธอรู้ไหมว่าลัวเฟิงคือใคร?” เย่เฟิงกระซิบถามคนในอ้อมกอด
“ลัวเฟิงคนไหนล่ะ?” หลงหว่านเอ๋อร์ถามเสียงเนือย
“คนของสำนักหมัดเทวา” เย่เฟิงตอบ
“ลัวเฟิงจากสำนักหมัดเทวาเหรอ?” เมื่อหลงหว่านเอ๋อร์ได้ยินก็แปลกใจเล็กน้อย ร่างบางในอ้อมกอดขยับกายแนบชิดอีกนิด “นั่นคือผู้นำรุ่นนี้ของสำนักหมัดเทวา ได้ยินว่าเมื่อก่อนชื่อหนานเฟิง ก่อนจะถูกพากลับมาฝึก...”
ลัวเฟิง หนานเฟิง ที่แท้ก็เป็แบบนี้นี่เอง!
เย่เฟิงกระจ่างในทันที ดูเหมือนจะเป็คนของสำนักประตู์ใต้ ศัตรูอีกคนที่หนานฟางพูดถึงน่าจะเป็ลัวเฟิงคนนี้ใช่ไหม? น่าเศร้าใจที่ต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีพลังลมปราณระดับยี่สิบห้าปีและยังบรรลุวิชายุทธ์ขั้นที่สองอีกด้วย หนานฟางแทบไม่มีโอกาสชนะเลย แค่ไม่ถูกจับก็นับว่าโชคดีแล้ว
เย่เฟิงจะรออีกสักพักค่อยโทรหาหนานฟาง ดูท่าตอนนี้ต้องเพิ่มความรอบคอบเสียหน่อย หากอยู่ระหว่างเกิดเื่คอขาดบาดตายแล้วมีสายโทรเข้าจะไม่ซวยยิ่งกว่าเดิมเหรอ? หรือค่อยว่ากันพรุ่งนี้ดี อย่างไรตอนนี้มีหลงหว่านเอ๋อร์อยู่ เย่เฟิงก็ไม่จำเป็ต้องรีบร้อนหาข้อมูลจากหนานฟาง
“พรุ่งนี้ตอนเช้าพวกเราจะไปชายฝั่งทะเลทางใต้ก่อน ทางนั้นน่าจะมีหน้าผาอยู่” เย่เฟิงโน้มตัวประชิดหูหลงหว่านเอ๋อร์แล้วเด่ยเสียงเบา
“ไปทำอะไรที่นั่นเหรอ?” หลงหว่านเอ๋อร์โอบรอบคอเขาก่อนประทับจูบลงบนใบหน้าคมแล้วถามอย่างสงสัย
“เคล็ดอสูรร่ำไห้ของสำนักอิ่นเซียนที่หายสาบสูญไป น่าจะถูกซ่อนอยู่ที่หน้าผานั้น” เย่เฟิงอธิบายพลางนึกถึงแผนที่ที่จูไป่เหนี่ยววาดให้เขาก่อนหน้านี้ นึกไม่ถึงว่าจะอยู่แถวนี้ ต้องบอกว่านี่เป็เื่บังเอิญ ซึ่งเขาไม่ต้องออกแรงเลย
ตอนนี้เย่เฟิงไม่มีความคิดดูถูกวิทยายุทธแม้แต่น้อย จากการศึกษาวิชากรงเล็บั คุณค่าในทางปฏิบัติของวิชานี้ค่อนข้างสูง ซ้ำยังสามารถตรึงคนไว้ในอากาศได้ อย่างน้อยั้แ่เย่เฟิงเรียนรู้มาก็ยังไม่เคยพบวิชาเซียนที่แสดงผลแบบนี้มาก่อน หากมีประสบการณ์การต่อสู้มากขึ้นก็จะยิ่งมีประโยชนต่อการฝึกฝนของเขาในวันข้างหน้า
“เคล็ดอสูรร่ำไห้!” เมื่อหลงหว่านเอ๋อร์ได้ยินชื่อนี้ก็ใมาก “นายรู้ได้ยังไง?”
“เธอรู้จักจูไป่เหนี่ยวไหม?” เย่เฟิงถาม
“อืม ไม่ใช่คนนี้หรอกเหรอที่ปล่อยข่าวหญ้าหลิงซีในูเาฉางไป๋?” หลงหว่านเอ๋อร์เคยได้ยินชื่อจูไป่เหนี่ยว
เย่เฟิงเล่าเื่จูไป่เหนี่ยวสั้นๆ จากนั้นถามต่อ “เคล็ดอสูรร่ำไห้มีอะไรพิเศษไหม?”
“อื้ม” หลงหว่านเอ๋อร์พูดเสียงขรึม “ในอดีตสำนักอิ่นเซียนขึ้นเป็หนึ่งในสามมหาอำนาจในยุทธจักรโดยอาศัยเคล็ดอสูรร่ำไห้นี่แหละ! แต่เมื่อสามสิบปีก่อนเคล็ดวิชานี้หายสาบสูญไป อำนาจของสำนักอิ่นเซียนจึงเสื่อมลงเช่นกัน...”
“เก่งกาจขนาดนั้นเลย?” รอบนี้กลับเป็เย่เฟิงที่ใ
เขาคิดว่าเคล็ดอสูรร่ำไห้เป็แค่วิทยายุทธ์ทั่วไปแขนงหนึ่งของสำนักอิ่นเซียน แต่ความจริงกลับเป็วิทยายุทธ์ขั้นสูงสุดของสำนัก พอไม่มีเคล็ดอสูรร่ำไห้ อำนาจของสำนักอิ่นเซียนก็เสื่อมลง เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชานี้แข็งแกร่งมากแค่ไหน!
“งั้นเราก็ได้กำไรมหาศาลเลย” เย่เฟิงหัวเราะในลำคอ เขาไล้มือเคล้นหน้าอกสวยของหลงหว่านเอ๋อร์ หยอกเย้าจนเธอโมโห
“ถึงนายจะเรียนรู้มันแล้ว นายก็ไม่กล้าใช้มันหรอก” หลงหว่านเอ๋อร์พูดเสียงหวาน “หากคนของสำนักอิ่นเซียนมาพบเข้า ต่อให้ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็ต้องตามฆ่านายแน่นอน”
“จะสนใจอะไร ขอให้ได้มาอยู่ในมือก่อนค่อยว่ากัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ปล่อยขายเอาเงินได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคน้า” เย่เฟิงไม่กังวลเลยสักนิดหากโดนตามฆ่า ตอนนี้คนที่อยากฆ่าเขามีน้อยเสียที่ไหน? แค่หลงโม่หรานจากตระกูลหลงก็รับมือไม่ง่ายแล้ว แต่ถึงเพิ่มสำนักอิ่นเซียนมาอีกก็ไม่คณามือเขาเช่นกัน
“ขายให้สำนักอิ่นเซียน มูลค่าอย่างน้อยที่สุดก็หลายพันล้าน” หลงหว่านเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “ถ้าเป็แบบนี้จริง ต่อไปพวกเราก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือแล้ว”
“เธอก็ว่าไป” เย่เฟิงหัวเราะ
ไม่ว่ายุคปัจจุบันหรือโลกเทวะ เงินทองเป็ปัจจัยที่ขาดไม่ได้ การมีเงินมากมายให้ผู้หญิงของตัวเองใช้อย่างไม่มีวันหมดน่าจะเป็ความฝันของผู้ชายส่วนใหญ่ในโลกนี้
ทั้งสองคนบรรเลงเพลงรักครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดคืนก่อนจะกอดกันหลับไป
วันต่อมา เย่เฟิงตื่นแต่เช้าและรู้สึกถึงสาวน้อยที่ซุกตัวในอ้อมกอด ท่าทางงัวเงียน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ชายหนุ่มรู้สึกสงสาร ยังอยากให้เธอนอนต่ออีกหน่อย แต่ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“หว่านเอ๋อร์ ตื่นหรือยังลูก?” เสียงอ่อนโยนดังเข้าหูทั้งสองคนที่กอดก่ายกันใต้ผ้าห่ม
“ฮะ คุณน้าเหรอ” หลงหว่านเอ๋อร์ตื่นเต็มตาทันที เธอสะบัดผ้าห่มออกแล้วรีบลุกขึ้น
เย่เฟิงมองตามสัญชาตญาณ เพียงแวบเดียวก็ไม่อาจละสายตาจากภาพตรงหน้าได้ ดวงตาจดจ้องหน้าอกกลมกลึงได้รูปของหลงหว่านเอ๋อร์ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ต้องบอกเป็เสียงเดียวกันว่านี่คืออาวุธทำลายล้าง!
“จะมองอะไรนักหนา เมื่อคืนยังเล่นไม่พออีกหรือไง?” หลงหว่านเอ๋อร์ทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่นึกเขินอาย ในเมื่อพวกเธอสองคนใกล้ชิดกันขนาดนี้แล้ว ยังมีอะไรต้องเขินกันอีกเหรอ?
เธอยกขาเตะไล่เย่เฟิงลงจากเตียง ชายหนุ่มลุกขึ้นหลบอย่างคล่องแคล่วพลางคิดในใจ พอเหรอ? แน่นอนว่าไม่พอ! เล่นทั้งชีวิตก็ยังไม่พอ!
เพราะมีคนเคาะประตู เขาจึงไม่แกล้งอะไรมาก เพียงครู่เดียวทั้งสองคนก็แต่งตัวเรียบร้อย
หลงหว่านเอ๋อร์หวีผมหน้ากระจก จากนั้นหันมาพูดกับอีกฝ่าย “คุณน้าฉันรออยู่ข้างนอก นายไปเปิดประตูให้หน่อย... อย่าลืมใส่หน้ากากล่ะ น้าฉันเป็คนดี ไม่ทำให้นายลำบากใจหรอก”
เย่เฟิงชายตามองหน้ากากสีขาวและดำสองอันที่ถูกจัดเตรียมไว้ข้างกันก็ยิ้มเจื่อน หญิงสาวคนนี้ช่างรอบคอบจริงๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้