หนิงอ้ายยังคงเดินตามม่อหยียน ก้าวข้ามผ่านทางเดินที่ข้าวทางเต็มไปด้วยซากศพมากมายที่เริ่มเหม็นเน่าจนถึงกับต้องกลั้นหายใจ ความเงียบวังเวงแทบจะไร้ผู้คนทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เงียบสงบจนน่าขนลุก ทว่าสองเท้ายังคงก้าวเดินไปตามแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของบิดาบุญธรรม จนกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมหลังเก่าที่ด้านหน้ามียามเฝ้าประตูรูปร่างสูงใหญ่ประกบอยู่ด้านข้างชวนให้รู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย มือหนาของทั้งสองได้ผลักประตูต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสอง กลิ่นอับด้านในที่โชยออกมาไม่ทำให้ม่อเหยียนหวั่นไหวแต่อย่างใดและยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังโตะที่ยังว่างอยู่ เสียงฝีเท้าไม่หนักไม่เบาจากสองผู้มาเยือนส่งผลให้ทุกคนภายในร้านต่างจ้องมองมาด้วยความสนใจ
“จะสั่งอะไร!!!” ชายร่างเล็กด้านหลังเอ่ยด้วยเสียงกระด้างแข็ง
“เอาเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของที่นี่มาสองแก้ว” เสียงเข้มของม่อเหยียนสั่งไปอย่างเรียบเฉย
“รับเป็อาหารเพิ่มด้วยหรือไม่ วันนี้ทางร้านได้เนื้อของ...” ชายคนเดิมเอ่ยแนะนำอย่างไม่ใส่ใจ ทั้งสองคนที่นั่งตรงหน้าให้ความรู้สึกไม่คุ้นเคยนั่นจึงหมายความว่าพึ่งเคยเดินทางมายังที่นี่ ทว่าทันทีที่ได้มองสายตาเ็าของม่อเหยียนจึงสงบปากและล่าถอยด้วยท่าทางหวาดกลัว
“ขอ...ขออภัยนายท่าน เช่นนั้นรอสักครู่ขอรับ” เพียงไม่นานหลังจากนั้น เครื่องดื่มในแก้วโลหะได้ถูกวางตรงหน้าในที่สุด
“สิ่งนี้คืออะไรหรือขอรับ” หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย กลิ่นคาวเืตีขึ้นจมูกชวนให้รู้สึกมึนงงไปชั่วครู่ ม่อเหยียนไม่คิดตอบคำถามดังกล่าวพร้อมกับหยิบขึ้นมาดื่มจนหมดในทีเดียว
“ดื่มเสียสิ...” หนิงอ้ายที่ได้ยินดังนั้น มือเรียวบางจึงจับแก้วขึ้นดื่มในคราเดียวเช่นกัน ทันทีที่ของเหลวดังกล่าวไหลลงท้อง ความรู้สึกร้อนระอุสายหนึ่งได้ปะทุขึ้น สายเืภายในกายคล้ายกับได้รับแรงกระตุ้นอย่างแปลกประหลาด ชั่วขณะที่ไม่อาจควบคุมร่างกายได้นั้นม่อเหยียนได้รีบเข้ามาพยุงตัวและถ่ายทอดพลังลมปราณเพื่อปรับสมดุลในร่างกายให้โดยทันที
“สิ่งนี้ถูกเรียกขานว่าน้ำทิพย์แห่งความะ มาจากการหลอมกลั่นโลหิตและพลังิญญาของผู้ที่พ่ายแพ้ในสังเวียนการต่อสู้” หนิงอ้ายที่คิดว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นักฆ่าที่เหี้ยมโหดแล้ว เมื่อได้รู้ถึงความจริงในเส้นทางดังกล่าวจึงขย้อนออกมาอย่างทนไม่ไหว มากไปกว่ารสััอันสากลิ้นแล้ววิธีการที่ได้มาช่างน่าสะอิดสะเอียน ใบหน้างามที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากและผ้าคลุมนั้นถึงกับซีดลงถนัดตา
“ไม่คิดว่าจะได้เห็นเด็กทารกในสถานที่แห่งนี้ บอกให้บิดาเ้าพากลับไปกินนมของมารดาที่บ้านของพวกเ้าเสียเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ท่ามกลางความเงียบสงบภายในร้านและเสียงขย้อนของหนิงอ้าย เสียงหัวเราะเยาะเย้ยพร้อมกับถ้อยคำยาวเหยียดได้ดังก้องไปทั่ว
“สังหารพวกมันให้หมด!!!” ม่อเหยียนสั่งเสียงเข้ม นี่คืออีกหนึ่งตัวตนที่ซ่อนเร้นของเทพาาผู้นี้ ชายชาตินักรับย่อมกระหายกลิ่นเืและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ความเมตตาต่อศัตรูย่อมสร้างความวุ่นวายในวันข้างหน้าได้ หนิงอ้ายที่ได้สดับฟังเช่นนั้นมีหรือที่จะไม่เข้าใจในความหมายดังกล่าวนี้
“พวกเ้าสองคนพ่อลูกช่างกล้าหาญเสียจริง คิดจะสังหารอย่างนั้นรึ อย่าหวังว่าจะรอดออกไปได้!!!” ก่อนที่หนิงอ้ายจะเคลื่อนไหว ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลไปนั้นได้ยกขวานบุกเข้าจู่โจมในทันที เป้าหมายนั่นคือเด็กหนุ่มรูปร่างที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมผืนหนา หากสังหารผู้เป็บุตรชายของอีกฝ่ายแล้วค่อยสังหารบิดาของมันย่อมไม่สายเช่นกัน
ชั่วขณะที่ชายคนดังกล่าวใกล้เข้ามาและด้านคมของขวานเล่มใหญ่จะเข้าฟาดกลางศีรษะ หนิงอ้ายที่แผ่จิติญญาััั้แ่ก้าวเท้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ จึงสามารถเบี่ยงตัวหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย ทว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเมื่อครู่กลับสร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้พบเห็นอยู่ไม่น้อย ความรวดเร็วเมื่อครู่กล่าวว่าเหนือชั้นกว่าจะพบเห็นในสถานที่แห่งนี้ได้เสียด้วยซ้ำ จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์นับสิบคนต่างเข้าปิดล้อมร่างบางราวกับกำลังต้อนเหยื่อให้จนมุม ทางฝั่งของม่อเหยียนก็มีอีกกลุ่มหนึ่งยืนปิดล้อมด้วยเช่นกัน
“ใครสามารถสังหารเ้าเด็กคนนี้ได้ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม สั่งสอนให้มันได้รู้ว่าโทษของการยั่วโทสะของผู้คนในเมืองแห่งการสังหารนี้เป็อย่างไร!!” ชายคนเดิมที่เป็หัวหน้าร้องสั่งการเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง กลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้จ้องมองหนิงอ้ายราวกับหนูพบเจอสมบัติ กลิ่นอายสังหารในระดับไม่ธรรมดาเอ่อล้นออกมา ดวงตาของพวกเขาต่างแข็งกร้าวเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตก่อนจะพุ่งเข้าใส่ด้วยความรวดเร็วถึงขีดสุด
สายตาของหนิงอ้ายประกายวาวโรจน์ไปด้วยความอาฆาต กลิ่นอายอันแข็งแกร่งของราชทินนามราชันิญญาแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดไม่น้อย เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งปรากฏขึ้นพันรอบแขนเรียวงาม พร้อมกับวงแหวนเวทย์สีชมพูเข้มที่ซ้อนกันสามชั้นอยู่ตรงด้านหลัง เปลวเพลิงและวงแหวนเวทย์เหล่านี้เป็เครื่องพิสูจน์ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เด็กหนุ่มถือครองอยู่ การเปิดเผยระดับพลังเช่นนี้ย่อมหมายถึงเป็การเตือนโดยสุภาพให้อีกฝ่ายล่าถอยไปเสียดีกว่า
“ราชทินนามราชันิญญาขั้นสูงกับเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบเจ็ดปีเช่นนี้ เป็ไปได้อย่างไรกัน!!” ชายฉกรรจ์หนึ่งคนในนั้นร้องดังขึ้นด้วยความตื่นตะลึง มันที่เข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตนมาหลายสิบปียามนี้กลับเป็เพียงราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสูงเพียงเท่านั้น
“การบ่มเพาะรุ่นเยาว์ให้เพียบพร้อมไปด้วยระดับพลังิญญาเช่นนี้ ย่อมมีเื้ัสนับสนุนแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย ข้าว่า...” หนึ่งในชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวั่นเกรงเล็กน้อย
“มีเื้ัสนับสนุนแล้วอย่างไร สุดท้ายก็เป็เพียงแค่รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่อาจจะโชคดีได้รับโอสถวิเศษจนเลื่อนระดับมาถึงเขตขั้นนี้ก็เป็ไปได้ อายุน้อยถึงเพียงนี้ย่อมไร้ประสบการณ์ฆ่าฟัน พวกเ้าที่เหลืออย่าได้กลัวเกรง!!” ชายฉกรรจ์อีกคนเอ่ยเสริมขึ้น
“ในที่นี้พวกเรามีราชทินนามราชันิญญาขั้นกลางผู้หนึ่ง ราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นสี่คน นอกจากนั้นเป็ราชทินนามจักรพรรดิิญญาขั้นสูงย่างก้าว หากร่วมมือกันพวกเ้าคิดว่าจะจัดการเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้อย่างนั้นรึ!!”
“แค่ลงมือสังหารพร้อมกันก็สิ้นเื่ ต่อให้เ้าเด็กและบิดาของมันจะเรียกกองกำลังสนับมาแล้วอย่างไรเล่า เมืองแห่งการสังหารแห่งนี้มีกฎเกณฑ์ชัดเจนที่ผู้มาเยือนทุกคนย่อมรับรู้ การเข่นฆ่าสังหารในพื้นที่บริเวณเมืองนี้ไม่อาจมีความคิดได้ ผู้ที่รอดชีวิตเท่านั้นจึงจะเป็ผู้อยู่รอด เป็ผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง...”
“แต่ข้าว่ามันไม่ดูแปลกประหลาดไปสักหน่อยอย่างนั้นรึ?? ผู้เป็บิดาหาได้แสดงความเป็ห่วงต่อบุตรของตนเลยเพียงนิด ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้ข้ายังไม่เห็นแววตาความหวาดกลัวของเขาเลยเสียด้วยซ้ำ ข้าว่า...”
“หากเ้าหวาดกลัวถึงเพียงนั้นก็ออกจากกลุ่มของเราไปเสีย อย่าได้เป็ตัวถ่วงและทำให้กลุ่มหมาป่าทมิฬของเราดูขลาดเขลาเช่นนี้!! เห็นแก่ที่อยู่ร่วมด้วยกันมาหลายปี ข้าจะให้โอกาสเ้าหลบหนีแล้วกัน แต่ข้าขอเตือนเอาไว้ หากพบเจอกันอีกครั้งพวกข้าย่อมไม่ไว้ชีวิตเศษสวะเช่นเ้า ออกไปได้แล้ว ไป!!!” หัวหน้าของกลุ่มหมาป่าทมิฬตวาดเสียงดังกร้าว สูญเสียลูกน้องในมือไปตัวหนึ่งไม่ต่างไปจากเสียเบี้ยไร้ค่าจะกังวลไปเพื่อสิ่งใดกัน
“พูดคุยกันเสร็จแล้วอย่างนั้นรึ เสียเวลาข้าเสียจริง...” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หลังจากได้สบสายตากับบิดาบุญธรรมหนิงอ้ายย่อมรับรู้ในสิ่งที่อีกฝ่าย้า สิ่งนี้คือแบบทดสอบที่เขาต้องข้ามผ่านไปให้ได้
ิญญายุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ ทักษะิญญาที่หนึ่ง ลิ่มหยกห้ามัจจุราชเงามรณะ!!
หนิงอ้ายเอ่ยสั่งการด้วยน้ำเสียงดุดัน เพียงชั่วพริบตานั้นมีดบินที่ผนึกขึ้นจากปราณธาตุน้ำระดับต้นกำเนิดทั้งเก้าเล่มได้ปรากฏขึ้น พร้อมกับกลิ่นอายคาวเลี่ยนของพิษร้ายอ่อนจางสายหนึ่ง ประกายแสงสีน้ำเงินเหลือบรุ้งสว่างวาปไปชั่วขณะก่อนจะฉวัดเฉวียนฟาดฟันร่างกายของชายฉกรรจ์ร่างแล้วร่างเล่า
อ๊ากกกซ์!!!
ราวกับว่าห้วงเวลาได้หยุดชะงักไปครู่คงไม่เกินจริงไปนัก ยามบัญชาการิญญายุทธ์ออกมาสังหารหนิงอ้ายไม่ลืมเรียกใช้จิติญญาอันลึกล้ำของตนออกมาสะกดข่มไปทั่วบริเวณพร้อมกัน ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั่นคือกลุ่มอิทธิพลหมาป่าทมิฬที่ขึ้นชื่อในการเข่นฆ่าสังหาร ทว่ายามนี้กลับถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งสังหารในชั่วพริบตาเท่านั้น ไม่ว่าใครในที่นี้ล้วนไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมดังกล่าวได้
“เ้าเด็กปีศาจ กลุ่มหมาป่าทมิฬหาใช้ตัว...” ขณะที่ชายฉกรรจ์ที่เป็หัวหน้าและเป็หัวหอกในการหาเื่หนิงอ้ายนั้น เห็นว่าลูกน้องที่มากไปด้วยฝีมือของตนได้ถูกสังหารได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ถึงกับตื่นตะลึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในใจครุ่นคิดไม่ตกว่าไม่ควรหาเื่อีกฝ่ายเลยแต่แรก
ฉึบ!!!
มีดบินทั้งเก้าที่ตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนอยู่ในรูปของพัดหยกได้พุ่งเข้าตัดส่วนศีรษะของอีกฝ่ายโดยไม่อาจขัดขวางได้ หยาดโลหิตนับไม่ถ้วนไหลรินอาบย้อมพื้นไม้เก่าของโรงเตี้ยมนี้สร้างความน่าสะพรึงหวาดกลัวแก่ผู้พบเห็นยิ่ง
“หนิงเอ๋อร์เ้าทำได้ถูกต้องที่ไม่ละเว้นผู้ใดทั้งสิ้น จงจดจำเอาไว้ มีเพียงเ้าที่ต้องพึ่งพาตัวเองให้อยู่รอดเท่านั้น จงสังหารทุกคนที่เข้ามาหาเื่คุกคามเ้าและต้องเป็ฝ่ายชนะเอาตัวรอดได้ในท้ายที่สุด นี่เป็กฎเกณฑ์ที่ยึดถือในเมืองแห่งการสังหารนี้...” ม่อเหยียนเดินตามเข้ามาสมทบแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้เขาจะเป็ห่วงเด็กหนุ่มมากเพียงใด ทว่ามีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้นที่จะสร้างความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจของอีกฝ่ายได้
หนิงอ้ายพนักหน้ารับคำของม่อเหยียนผู้เป็บิดาบุญธรรมด้วยความตั้งใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยสิ่งใดเขาล้วนเชื่อมั่นและยินยอมกระทำทั้งสิ้น เส้นทางของผู้ฝึกตนหาใช่สวยงามดั่งที่คาดคิด หากเปรียบเทียบแล้วย่อมไม่ต่างกับการใช้ชีวิตบนเส้นด้ายแห่งความตายที่หากพลาดพลั้งไปย่อมไม่อาจหวนคืนแก้ไขได้แล้ว การได้รับโอกาสใช้ชีวิตเป็ครั้งที่สามในครั้งนี้ ได้ส่งผลให้หนิงอ้ายสามารถตกผลึกทางความคิดในมุมมองของความเป็จริงที่มากยิ่งขึ้น หากไม่ฆ่าก็ถูกฆ่าเสียเอง ใจความสำคัญมีเพียงเท่านี้ที่ต้องจดจำและยึดมั่นไว้ให้ดี
ภายใต้จิติญญาอันเข้มข้นที่แผ่ซ่านอยู่โดยรอบ หนิงอ้ายััได้ถึงกระแสพลังผันผวนสายหนึ่ง ดวงตาเรียวคมเผยความประหลาดใจ เมื่อบิดาบุญธรรมไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาจึงมุ่งตรงไปยังส่วนด้านหลังของโรงเตี้ยมหลังนี้อย่างไม่รีบร้อน ชายร่างเล็กที่เคยเสียมารยาทกับพวกเขาก่อนหน้าต่างนั่งคุกเข่าลงสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็บิดาหรือบุตรชายนั้น การฆ่าสังหารกลุ่มหมาป่าทมิฬนับยี่สิบกว่าคนด้วยเวลาเพียงไม่นานย่อมหมายถึงพลังฝีมือที่เก่งกาจของทั้งสอง
พรึบ!!
เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งปรากฏขึ้นในมือของหนิงอ้ายอีกครั้ง กระแสพลังปราณอัคคีอันร้อนแรงได้สาดซัดไปทั่ว เพียงตวัดมือออกไปเบื้องหน้าเปลวไฟดังกล่าวได้พุ่งเข้าใส่กำแพงใหม่จนเกิดเป็เสียงดังลั่นสะท้าน เมื่อกลุ่มควันและเปลวเพลิงได้หายไปจึงเห็นเป็ซุ้มทางเข้าที่ถูกสลักขึ้นด้วยแร่หินโบราณสลักด้วยอักขระเวทย์แปลกตา สายลมเย็นะเืที่ปะปนด้วยกลิ่นอายแห่งความตายชัดเจนขึ้นในการััทางจิติญญา
ดูเหมือนว่าโรงเตี้ยมแห่งนี้เคยเป็ประตูทางลับเข้าสู่เมืองแห่งการสังหารเป็แน่...
ใบหน้าของหนิงอ้ายภายใต้หน้ากากหาได้ปรากฏร่องรอยของความลังเลใจทั้งสิ้น สองขาเพรียวได้ก้าวเดินเข้าไปอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว แม้ทางเดินจะเต็มไปด้วยความขรุขระไม่ราบเรียบไร้ซึ่งแสงสว่างใดใดก็ตาม ทว่าดวงตาของหนิงอ้ายที่ประสานเข้ากับวิชามหาจักษุ์อนันตมายาก็เพียงพอต่อการมองเห็นทุกสรรพสิ่งโดยรอบนี้อย่างชัดเจน
ระหว่างทางเดินนั้น ปรากฏร่องรอยสีคล้ำที่หากเดาไม่ผิดคงเป็โลหิตของผู้ที่บังอาจก้าวล่วงมาตามเส้นทางดังกล่าว โครงกระดูกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่สุมกองอยู่หาได้สร้างความหวั่นวิตกแก่หนิงอ้ายแต่อย่างใด นับั้แ่เขาเลือกที่จะเข้าสู่เส้นทางนี้และกระทำตามคำแนะนำของม่อเหยียนแล้ว ไม่ว่าหนทางที่รออยู่ตรงหน้าจะเป็อย่างไรเขาย่อมไม่ย่อท้อและหวาดหวั่นทั้งสิ้น ความตายเพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้เขาที่มีชีวิตใหม่ต้องหวาดกลัวเลยเพียงนิด
หนิงอ้ายััได้ถึงกระแสพลังที่ผันผวนผิดปกติอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ กระทั่งพลังจิติญญาของเขายังไม่อาจััสิ่งใดได้ ดูเหมือนว่าเมื่อเข้าสู่เขตแดนพื้นที่ของเมืองแห่งการสังหารนั้นญาณััที่เคยมีของเขาได้ค่อย ๆ ลบเลือนออกทีละส่วน แต่นั่นหาได้สร้างความหวั่นใจอย่างใดไม่ สิ่งที่เขาเคยมีและยังปรากฏอยู่ในทุกวันนี้นั่นคือสัญชาติญาณ และเชื่อว่าเพียงสิ่งนี้ก็สามารถทำให้เขาเอาตัวรอดในสถานที่แห่งนี้ได้ แม้เขาจะก้าวเกินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นทุกย่างก้าวยังคงระมัดระวังอย่างเต็มที่เช่นกัน
“ข้ามีนามว่าจิ่นเหิง ไม่คาดว่าผู้บุกรุกเส้นทางลับถึงกับอ่อนเยาว์ปานนี้ หากเ้า้าเข้าสู่เมืองแห่งการสังหาร เอาชนะข้าเ้าจึงจะมีคุณสมบัติมากเพียงพอที่จะเข้าเมืองแห่งการสังหารได้!!!” เสียงของบุรุษปริศนาผู้หนึ่งดังขึ้นสะท้อนไปทั่วทั้งโถงถ้ำ ก่อนจะปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ชุดสีดำที่บนร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ดูจากเครื่องประดับบนร่างกายแล้วฐานะของอีกฝ่ายในเมื่องนี้คงหาใช้ธรรมดาสามัญ
“เพียงเอาชนะท่านก็สามารถเข้าสู่เมืองแห่งการสังหารได้ใช่หรือไม่??”
“กล่าวได้ถูกต้องแล้ว เห็นแก่ที่เ้าอ่อนวัยถึงเพียงนี้หากสามารถปะทะรับมือกับข้ามากกว่าหนึ่งเค่อ ข้าจะอนุญาตเป็การพิเศษให้เ้าข้ามผ่านไปได้และจะคอยดูแลให้คำแนะนำเ้าหลังจากนี้ด้วย!!” จิ่นเหิงเอ่ยขึ้นอย่างถูกใจเมื่อเห็นท่าทางนิ่งสงบของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นไม่เกรงใจผู้าุโแล้ว!!!” หนิงอ้ายเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงเ็า ก่อนจะปลดปล่อยแก่นแท้แห่งการต่อสู้หรือไอสังหารออกมาอย่างท่วมท้น หากเทียบกับม่อเหยียนแล้วกล่าวได้ว่ายังมีความห่างชั้นอย่างมหาศาล แต่หากพินิจดูแล้วการที่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งสามารถไอสังหารในระดับนี้กล่าวว่าไม่อาจดูเบาได้อย่างแท้จริง...
