เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองน่าจะเดาไม่ผิด แม้ท่านลุงจะเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ต้องเคยฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน เขาอุ้มตนเองกับฉีอันได้อย่างสบายๆ ควรรู้ว่า เวลาบิดาของนางอุ้มพวกเขาสองคนพร้อมกัน ไม่ช้าก็หอบแล้ว แต่ท่านลุงของนางลมหายใจกลับเงียบมาก
"อาอิ่ง ตอนเด็กๆ มารดาเ้าอบรมเ้ามาอย่างไร พวกเราเลี้ยงดูเ้ามาอย่างไร ไม่ว่าเวลาไหนเ้าล้วนสะอาดสดชื่นอยู่เสมอ ดูเป็หญิงงามตัวน้อยที่นุ่มนวลอ่อนโยน แต่เ้าดูฝาแฝดัหงส์ของเ้าซิ เด็กดีๆ กลายเป็ลิงตกน้ำโคลนไปแล้ว ไหนจะปักป้ายสถานที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงอีก ไยหลานชายหลานสาวของข้าถึงโง่งมเช่นนี้?"
อาจารย์ฉีบ่นไม่หยุด ท่าทางจะโมโหมากจริงๆ
เฉียวเยว่พลันนึกได้ว่าตนเองเลอะขี้ดินเต็มตัว ก็นึกละอายใจขึ้นมา เอานิ้วชนกันเอ่ยว่า "ท่านตาอย่าตำหนิท่านแม่เลย ข้าไม่เชื่อฟังเองเ้าค่ะ"
น้ำเสียงนุ่มนิ่มฉอเลาะน่าเอ็นดู
อาจารย์ฉีพลันใจอ่อนยวบในพริบตา
"เด็กดีขนาดนี้ เ้าไม่พิถีพิถันใส่ใจได้อย่างไร" อาจารย์ฉีแทบจะะโขึ้นมาอยู่รอมร่อ
เฉียวเยว่คิดในใจ ท่านตากับท่านปู่ของนางต่างกันมากจริงๆ แต่คนที่มีความรู้มากมักจะแปลกกว่าคนอื่น จุดนี้พอเข้าใจได้
นางกางแขนออก "ท่านตา อุ้ม อุ้ม"
อาจารย์ฉีหน้าบานเป็จานเชิง "มาให้ตาอุ้ม โอ้... ไม่ได้เห็นเฉียวเยว่น้อยนานเหลือเกินแล้ว ฮึบ" เขาไม่นึกว่าเฉียวเยว่จะตัวหนักขนาดนี้ จึงซวนเซเล็กน้อย แต่ก็ฝืนรับมา
"เนื้อของเ้านี่..."
เฉียวเยว่บิดมือน้อยๆ "น่ารักมากใช่หรือไม่? เด็กเล็กต้องมีเนื้อมีหนังถึงจะน่ารัก"
อาจารย์ตอบทันควัน "ถูกต้อง เฉียวเยว่พูดถูกต้อง แต่เหตุใดเฉียวเยว่จำลุงของเ้าได้ แต่จำตาไม่ได้เล่า ตาน้อยใจแล้วนะ"
ตาหลานคู่นี้ดูไม่เหมือนคนที่จากกันไปนานหลายปี แน่นอนต้องยกประโยชน์ให้กับความกระตือรือร้นของเฉียวเยว่และความ 'แปลก' ของอาจารย์ฉี
เฉียวเยว่คุยฟุ้งทันควัน "ข้าฉลาดที่สุด คนในครอบครัวของพวกเรามีสง่าราศีเช่นนี้เสียที่ไหน ไม่มีสักคน ในเมืองหลวงแห่งนี้ยิ่งไม่มี ดังนั้นข้าถึงรู้ว่าต้องเป็ท่านตากับท่านลุงอย่างแน่นอน มีเพียงท่านตากับท่านลุงถึงจะมีบุคลิกโดดเด่นเช่นนกกระสายืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่เยี่ยงนี้"
ซูซานหลางมุมปากกระตุกเล็กน้อย
แต่นี่กลับทำให้พ่อตาของเขายิ้มจนแก้มปริ "ใช่ ใช่ ถูกต้องๆๆ เฉียวเยว่ของพวกเราก็มีท่วงทีเหมือนกับข้า พูดได้ถูกต้องยิ่งนัก"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี "ท่านตา ท่านส่งข้าให้ท่านลุงดีหรือไม่?"
สีหน้าของอาจารย์ฉีเศร้าลงหลายส่วน "เ้าไม่ชอบตาหรือ?"
เมื่อครู่นี้ก็วิ่งโร่เข้าหาบุตรชายของเขา อาจารย์ฉีกลอกตาใส่ฉีจือโจวทีหนึ่ง
เฉียวเยว่รีบกอดคอของอาจารย์ฉี เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง "ข้าชอบท่านตา เพราะชอบถึงไม่อยากให้ท่านตาเหนื่อย ข้าตัวหนักมาก เดี๋ยวท่านตาจะเหนื่อยแย่ ให้ท่านลุงอุ้มข้าเถอะ"
จะว่าไปก็ถูก เขาอุ้มเด็กอ้วนคนนี้ไม่ค่อยไหวจริงๆ
"ไม่มีปัญหา ตาอุ้มเ้าไหว"
เฉียวเยว่ไม่ยอม นางกล่าวอย่างมีเหตุมีผล "ไม่ได้ หากท่านตาเหนื่อยจนปวดแขนก็เขียนอักษรไม่ได้พอดีสิ ท่านแม่มักกล่าวว่าท่านตาเขียนอักษรงดงามที่สุด หามีผู้ใดเทียบเทียมได้ พี่ใหญ่ของพวกเราอุ้มพวกเราเดี๋ยวเดียวก็แขนล้าไปหลายวัน ขนาดเขาเป็คนหนุ่มร่างกายแข็งแรงยังเป็เช่นนี้ ข้าไม่อาจทำให้ท่านตาเหน็ดเหนื่อยเกินไป มิเช่นนั้นท่านแม่จะปวดใจได้"
อาจารย์ฉีมองบุตรสาวด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะเอ่ยว่า "มารดาเ้าล้วนพูดความจริงทั้งสิ้น"
ยังกล่าวอีกว่า "คนของจวนซู่เฉิงโหวของพวกเ้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน หลานของข้าตัวเบาแค่นี้ พวกเขายังอุ้มไม่ไหว กินแต่หญ้าหรืออย่างไร"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก
ฉีจือโจวมารับหลานสาวไป
เห็นเด็กหญิงตัวน้อยซบบนตัวเขา ก็นึกถอนหายใจ จะว่าไปเ้าตัวน้อยของน้องสาวแต่ละคนล้วนฉลาดเฉลียว โดยเฉพาะยายหนูคนนี้ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถป้อยอคนมากมายได้อย่างหมดจดงดงาม ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากใคร
"ท่านพ่อตา ไม่ทราบว่าจะไปนั่งเล่นที่สวนไผ่ดีหรือไม่ ่เวลาที่ท่านไม่อยู่ ศิษย์รู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์ยิ่ง กระทั่งยามสอนนักเรียนก็ยังวิตกว่าตนเองยังมีความสามารถไม่พอที่จะรับหน้าที่ บัดนี้ท่านพ่อตากลับมา ในที่สุดข้าก็สบายใจได้เสียที รู้สึกว่ามีที่พึ่งทางใจเพิ่มมากขึ้น" ซูซานหลางตบสะโพกม้าดังเพียะๆ
ฉีจือโจวหัวเราะหึๆ เมื่อครู่ยังนึกคาดเดาอยู่ว่าแม่หนูน้อยคนนี้เหมือนใคร คนผู้นั้นก็ะโออกมาแล้ว
บิดาเป็เช่นไร บุตรสาวก็เป็เช่นนั้นจริงๆ
"ท่านลุง เหนื่อยหรือไม่?"
ช่างน่าประทับใจจริงๆ
ฉีจือโจวยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า "ไม่เหนื่อย ไป ไปดูว่าลุงเอาสิ่งใดมาให้พวกเ้า"
แต่ในที่สุดไท่ไท่สามก็ทนไม่ไหวแล้ว "พี่ใหญ่ ส่งเด็กให้ข้าเถอะ พวกท่านล่วงหน้ากันไปก่อน ข้าจะพาพวกเขาไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน ตัวมีแต่ดินโคลน ดูสิ ทำท่านเลอะหมดแล้ว พวกเขาสองคนซุกซนเป็ที่สุด โดยเฉพาะยายหนูคนนี้ พาน้องชายก่อเื่ไม่เว้นแต่ละวัน" หลังจากนั้นก็ถลึงตาใส่เฉียวเยว่ ตัวต้นคิดทำเื่ยุ่งแต่ไหนแต่ไรมาล้วนมีแต่นาง
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก เอ่ยเสียงหวาน "แต่เด็กซุกซนล้วนเป็เด็กฉลาดนะเ้าคะ"
"พรืด" อาจารย์ฉีหัวเราะเสียงดัง แต่เขาก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า "เฮ่อ มานึกดูดีๆ คำกล่าวนี้ก็ดูเหมือนจะถูกต้องอยู่นะ"
เขากางนิ้วนับ "ข้าเคยสอนลูกศิษย์มาเยอะ คนไหนเคร่งครัดกฎเกณฑ์ ความรู้มักจะธรรมดา แต่คนที่ซนและดื้อหน่อย มักจะฉลาดปราดเปรื่องกว่ามาก ใช่ ใช่ ดูเหมือนจะเป็เช่นนี้จริงๆ" หลังจากนั้นก็กล่าวอีกว่า "เฉียวเยว่พูดมีเหตุผล มีเหตุผลอย่างยิ่ง เฉียวเยว่ไปฟังใครพูดมาหืม?"
ทำท่าเหมือนอยากจะคุยกับคนผู้นั้น
เฉียวเยว่คุยโวโดยไม่ละอาย "ข้าคิดเอง" นางตบอก "เติบโตไปข้าจะต้องเป็ผู้มีสติปัญญาเปี่ยมล้น"
"เฉียวเยว่เด็กดี เ้าตามมารดาไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน เดี๋ยวค่อยมาสนทนาและกินขนมเป็เพื่อนท่านตา" ใบหน้าของซูซานหลางมีแต่รอยยิ้มกลาดเกลื่อน
เฉียวเยว่เห็นแล้วขนลุก บิดาของนางเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านตาช่างจอมปลอมยิ่งนัก
ฉีอันเข้ามากระซิบถามข้างหูของเฉียวเยว่ "เฉียวเฉียว ท่านพ่อถูกปิศาจจิ้งจอกเข้าสิงรึเปล่า เหตุใดวันนี้ดูใจดีมากเลยเล่า ปกติต้องพูดว่า 'ซูเฉียวเยว่ ก้นน้อยๆ ของเ้าอยากถูกตีนักใช่หรือไม่' มิใช่หรือ?"
เฉียวเยว่ถอนหายใจ "แกล้งทำไง? พระยูไลยังอยู่ ซุนหงอคงต้องเจียมเนื้อเจียมตัวหน่อย ที่น่าสงสารคือมารน้อยอย่างพวกเรา ข้าเคยเล่าให้เ้าฟังแล้วมิใช่หรือ มีคนหนุนหลังมารน้อยก็รอดไป ไม่มีคนหนุนหลังก็ถูกซุนหงอคงตีตาย พวกเราต้องกอดขาของท่านตา รับรองไม่พลาด"
ซูซานหลางสองสามีภรรยายืนหน้าง้ำอยู่เงียบๆ เสียงกระซิบกระซาบของพวกเ้าสองคนจะดังเกินไปหรือไม่?
อาจารย์ฉีตวัดสายตามาที่ซูซานหลางดังคาด "เ้ายังตีบุตรด้วยหรือ?"
ซูซานหลางรีบแก้ตัวทันควัน "มีที่ไหนเล่าขอรับ ท่านพ่อตา พวกเขาทั้งสองน่ารักเพียงนี้ ข้าจะทำลงคอได้อย่างไร เพียงขู่ให้ใเท่านั้นเอง หลักการกำราบคนด้วยคุณธรรมข้าย่อมทราบดี หลายปีมานี้คำสั่งสอนของท่านข้ายังจดจำใส่ใจเสมอ กับคนภายนอกก็ยึดมั่นเช่นนี้มาโดยตลอด กับบุตรสาวของตนเองย่อมจะเหมือนกัน แต่นางยังเล็กนัก ไม่ค่อยรู้ความ" เห็นสีหน้าท่านพ่อตาเริ่มผิดปรกติ ก็รีบกล่าวเสริมอีกประโยค "แต่ไม่ว่านางจะเข้าใจหรือไม่ ข้าผู้เป็บิดาล้วนต้องสั่งสอนให้นางเข้าใจ"
เขาผายมือ "ท่านพ่อตา เชิญทางนี้ พวกเราไปนั่งที่สวนไผ่กันก่อนเถิดขอรับ"
ท่าทางประจบสอพลออยู่หลายส่วน "พี่ใหญ่ อีกสักครู่ค่อยให้อาอิ่งพาเด็กๆ มา ท่านเชิญทางนี้"
ฉีจือโจวยกมุมปากโค้งขึ้น เป็รอยยิ้มไม่เด่นชัดมาก
เฉียวเยว่ยกมือกุมหัวใจ "ท่านลุงช่างหล่อเหลายิ่ง ท่านลุงเป็บุรุษที่ดูดีที่สุดในใต้หล้า"
พร้อมกับทำท่าเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ไท่ไท่สามหัวเราะ "ลืมเสด็จพี่รัชทายาทของเ้าไปแล้วหรือ?"
เฉียวเยว่โบกมืออย่างไม่ยี่หระ "ท่านลุงของข้าดีเช่นนี้ ใครจะไปจำเสด็จพี่รัชทายาทได้อีกเล่า"
ช่างเป็เด็กน้อยที่ได้ใหม่ลืมเก่าจริงๆ
แต่คำพูดนี้กลับทำให้รอยยิ้มของฉีจือโจวกว้างขึ้นหลายส่วน
กลับไปถึงห้อง เฉียวเยว่ยังจมอยู่ในภวังค์ความองอาจหล่อเหลาของท่านลุงของตนเอง ส่วนไท่ไท่สามก็ยังคงใค่อนข้างมาก
"เมื่อครู่พี่ใหญ่ยิ้มอีกแล้ว น่าอัศจรรย์ใจจริงๆ"
"ปรกติท่านลุงไม่ชอบยิ้มหรือเ้าคะ" เฉียวเยว่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไท่ไท่สามพยักหน้า หลงลืมความสอดรู้สอดเห็นของซาลาเปาของตนเองไปเสียสนิท "ก็ใช่น่ะสิ ดังนั้นถึงน่าใไงเล่า"
เฉียวเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วเอ่ยว่า "ต้องเป็เพราะข้าน่ารักมากแน่ๆ ท่านลุงถึงยิ้ม"
"ข้าก็น่ารัก ข้าก็น่ารัก" ฉีอันพูดเสริมทันที
ไท่ไท่สามมองลิงน้อยสองตัวตรงหน้า แล้วเอ่ยว่า "พวกเ้าทำอย่างไร ก็ทำต่อไป แต่หากทำให้บิดาเ้าโมโหขึ้นมา ถึงเวลาพวกเ้าก็ระวังจะก้นลาย"
เฉียวเยว่รู้สึกว่ามารดาใจร้ายมาก รีบพูดอ้างผลงาน "เมื่อครู่ข้ายังพูดคำดีๆ ต่อหน้าท่านตาให้ท่านตั้งเยอะ ท่านแม่จะทำเช่นนี้มิได้"
ไท่ไท่สามหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เห็นการกระทำของเฉียวเยว่แล้ว ในใจนางก็มีความสุข หากเฉียวเยว่ไม่แสดงท่าทางกระตือรือร้นเช่นนั้น ฉีอันก็จะไม่ทำตาม เห็นบุตรสาวสนิทสนมกลมเกลียวกับบิดาและพี่ชายได้อย่างรวดเร็ว นางย่อมจะเบิกบานใจมาก
"พวกเ้าล้วนเป็เด็กดี"
เสี่ยวเฉียวเยว่ทำคอตก พลางถอนหายใจ "หากรู้ว่าท่านตากับท่านลุงจะมาวันนี้ ข้าจะแต่งตัวให้เป็เทพธิดาน้อยเลยทีเดียว ตอนนี้ภาพลักษณ์พังหมดแล้ว จะทำอย่างไรดีเล่า?"
ไท่ไท่สามไม่รู้ว่าเฉียวเยว่พูดเพ้อเจ้ออันใด แต่ยังคงบีบแก้มน้อยๆ ของนาง "เฉียวเยว่เด็กดี เป็เด็กน่ารักที่สุด"
"ท่านแม่ ท่านแม่ แล้วข้าเล่า?"
"เ้าก็เหมือนกัน พวกเ้าล้วนว่านอนสอนง่าย"
สองพี่น้องมาปรากฏตัวอีกครั้ง พวกเขาน่ารักราวกับตุ๊กตาหยกที่แกะสลักอย่างประณีต ต่างจากตุ๊กตาน้อยมอมแมมเมื่อครู่นี้ราวกับเป็คนละคน
เฉียวเยว่ยักคิ้วหลิ่วตาถามว่า "เหมือนกับคนแปลงร่างเลยใช่หรือไม่"
อาจารย์ฉีปรบมือ "สวยมาก"
ขณะนี้อิ้งเยว่ก็มาแล้ว เฉียวเยว่รัดคอของอิ้งเยว่จนนางเกือบหายใจไม่ออก "ปล่อย เ้ากระต่ายอ้วนตัวน้อยนี่"
เฉียวเยว่เอ่ยถาม "ท่านพี่ วันนี้ท่านทำขนมอะไรหรือ?"
"ไม่ปล่อยจะไม่ให้กิน"
เฉียวเยว่หัวเราะพลางปล่อยมือ จากนั้นก็ไปนั่งบนตักของฉีจือโจว "ข้ามีท่านลุงแล้ว ไม่กินก็ได้"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ยังชำเลืองมองขนมอยู่
ฉีอันติดพี่สาวสองคนนี้มาก มีอิ้งเยว่อยู่ก็ทิ้งท่านลุง ย้ายไปนั่งเก้าอี้เล็กข้างอิ้งเยว่ทันที "ท่านพี่ วันนี้เฉียวเฉียวกับข้าไปฝังความลับใต้ต้นไม้กันด้วยล่ะ"
เฉียวเยว่ยู่ปากจู๋ "คนทรยศ"
นางเอื้อมมือไปหยิบขนมชิ้นหนึ่ง แล้วยื่นให้อาจารย์ฉี "ท่านตา นี่คือขนมไส้พุทราแดงที่แม่ครัวของจวนเราชำนาญที่สุด รสชาติล้ำเลิศ เป็ขนมที่ครองอันดับหนึ่งในใจข้า ท่านลองชิมสิเ้าคะ อร่อยมากๆ เลยเ้าค่ะ"
อาจารย์ฉีกำลังจะยื่นมือไปรับ แต่แม่หนูน้อยกลับยื่นตัวออกมาส่งขนมให้ถึงปากแล้ว
อาจารย์ฉีตกตะลึง ก่อนที่จะอ้าปาก
เฉียวเยว่ยิ้มดวงตาหยีโค้ง "ท่านตา อร่อยหรือไม่เ้าคะ?"
อาจารย์ฉีเอ่ยอย่างจริงจัง ไม่มีท่าทางอวดเบ่งอย่างเมื่อครู่ "อร่อยมาก"
เฉียวเยว่ยิ้มอย่างพึงพอใจ "ของที่ข้าแนะนำย่อมไม่ผิดพลาด"
แล้วกล่าวอีกว่า "ข้าให้ท่านลุงหนึ่งชิ้น"
ซูซานหลางมองฟ้าอยู่เงียบๆ ผู้ที่สามารถประจบสอพลอสองพ่อลูกสกุลฉีได้ดีเยี่ยมที่สุด ถูกเปลี่ยนคนไปแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้