บทที่ 9 พลังของพู่กันหยก
หลังจากออกจากหมู่บ้านซีเฟิง คณะอพยพที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ครอบครัวก็ยังเดินหน้าฝ่าเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามอย่างไม่ลดละ
กลางวัน พวกเขาต้องทนกับแสงแดดแผดเผา กลางคืนต้องนอนฟังเสียงฝีเท้าแปลกประหลาดของสัตว์ป่า และหวาดระแวงว่าอาจจะมีคนสะกดรอยตามจากหมู่บ้านข้างเคียงที่ไม่เป็มิตร
“เ้าได้ยินเสียงหมาป่าเมื่อคืนหรือไม่?” ชายชราผู้หนึ่งกระซิบเบา ๆ ขณะเดิน
“หมาป่าหรือเสียงกรนของเ้าเมื่อคืนกันแน่ล่ะ!” อาหลิว พ่อค้าหนุ่มกล่าวติดตลก ทั้งที่ดวงตาแดงก่ำเพราะอดนอนมาเกือบสามคืนติด
“หึ! เ้ายังมีแก่ใจล้อเล่นอีกนะ!” ชายชราเขกหัวเขาเบา ๆ
แม้ทุกคนจะยิ้มได้บ้างในยามที่อารมณ์เบิกบาน ทว่าความตึงเครียดก็ค่อย ๆ คลืบคลานกลับมา เมื่อแหล่งน้ำที่คาดหวังว่าจะมีในหุบเขากลับแห้งขอด มีเพียงโคลนเปียก ๆ ที่แตกร้าวเป็ร่อง
หลี่ซานนั่งลงอย่างเงียบ ๆ บนเนินดินแห่งหนึ่ง พู่กันหยกในมือนางยังคงอุ่นวาบเบา ๆ ราวกับตอบสนองต่อความตั้งใจของนาง นางจรดปลายพู่กันแตะลงบนผืนดิน แววตาแน่วแน่
ทันใดนั้น เส้นเรืองแสงบางจางก็แผ่ออกมาจากปลายพู่กันไหลซึมสู่พื้นดิน ลำแสงนั้นแตกแขนงออกเป็เส้นสายคดเคี้ยว บ้างก็พุ่งลงใต้ผิวดิน บ้างก็ทอดยาวไปตามทิศทางของป่าเบื้องหน้า
ภาพฉายภายในจิตของหลี่ซานพลันปรากฏขึ้น มันไม่ใช่แค่พลังของธาตุในดิน แต่ยังรวมไปถึงร่องรอยของพืชพรรณ สมุนไพร และพลังชีวิตของสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มไม้
บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเนินเขา มีผลไม้ป่าหลายชนิดซ่อนอยู่ในพุ่มหนาทึบ... ด้านใต้ของลำธารแห้งมีเห็ดขาวกินได้แซมตามรากไม้... ส่วนทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีรังผึ้งป่าซุกตัวอยู่บนต้นไม้สูง...พู่กันหยกบอกข้อมูลราวกับค่อย ๆ เปิดแผนที่ลับให้นางเห็น
หลี่ซานนิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเรียกพ่อของนางและหัวหน้าครอบครัวอีกสองสามคนมารวมตัวกันใกล้กองไฟที่กำลังมอดลง
“พรุ่งนี้แต่เช้า เราจะต้องแยกกลุ่มเล็ก ๆ ไปสำรวจและรวบรวมอาหารค่ะ” หลี่ซานกล่าวอย่างจริงจัง “จากการตรวจด้วยพู่กันหยก ข้าพบว่าทางตะวันออกเฉียงเหนือมีผลไม้ป่าอยู่มาก ส่วนแถวต้นน้ำเก่าทางใต้มีเห็ดขาวที่กินได้... ถ้าเราเตรียมพร้อมแต่เช้า พรุ่งนี้ตอนเดินทางเราจะไม่เสียเวลาหยุดพักทุกชั่วโมงเพราะความหิวอีก”
หลี่ต้าเกอพยักหน้าอย่างชื่นชม “เ้าวางแผนล่วงหน้าได้ดีมากลูกเอ๋ย”
ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม “ถ้ามีรังผึ้งด้วย ข้ากับพวกลูกชายจะเตรียมควันไปไล่ผึ้งให้ เด็ก ๆ จะได้มีน้ำผึ้งกินด้วย!”
เด็กชายคนหนึ่งที่นั่งฟังอยู่แอบกระซิบกับเพื่อนเบา ๆ “หวังว่าผึ้งจะไม่ไล่ต่อยพวกเราเหมือนคราวที่อาหลิวปีนต้นไม้คราวก่อนนะ!”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นคลายความตึงเครียด หลี่ซานยิ้มจาง ๆ แล้วกล่าวต่อ
“แต่ต้องระวังนะเ้าค่ะ เห็ดมีหลายชนิด แม้จะดูคล้ายกันแต่บางชนิดก็เป็พิษร้ายแรง... พรุ่งนี้ข้าจะจดสัญลักษณ์ที่พู่กันหยกแสดงให้ และขีดตำแหน่งในแผนที่ง่าย ๆ ให้พวกท่านก่อนแยกกลุ่มกันออกไป”
หญิงชราที่นั่งเย็บเสื้อผ้าอยู่ใกล้ ๆ พยักหน้าหงึก ๆ พลางว่า “เ้าหนูซานนี่เก่งยิ่งกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ข้าชักอยากให้เ้าเป็ผู้นำคณะเราแทนพ่อเ้าแล้วล่ะ!”
“ข้าก็ว่าดี!” อาหลิวรีบเสริมพลางยกมันเผาในมือขึ้น “ใครเห็นด้วยยกมัน!”
เด็ก ๆ และชายหญิงอีกหลายคนก็ชูมันเผาในมือตาม พร้อมเสียงหัวเราะครืนใหญ่
หลี่ซานยกมือไหว้ขำ ๆ แก้มขึ้นสีระเรื่อ “อย่าล้อข้าเลยเ้าค่ะ... ข้าแค่ทำในสิ่งที่จำเป็เพื่อให้พวกเรารอดเท่านั้น”
แต่ในใจของนางกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด... สายตาของคนเหล่านี้ที่มองมายังนาง เปลี่ยนไปแล้วจากวันแรกจากความสงสัยกลายเป็ศรัทธา และความไว้ใจ
ทว่าก่อนที่ความสิ้นหวังจะก่อตัวขึ้นอีก เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นจากแนวหลังคณะ
“อาซัน! เ้าเป็อะไรไป!”
เสียงะโของหลี่ต้าเกอดังลั่น ทุกคนพากันกรูเข้าไปดูด้วยความใ
หลี่ซานแหวกฝูงชนเข้าไป เห็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีนอนหงายอยู่กับพื้น ใบหน้าซีดเผือด ปากซีด มือทั้งสองสั่นเทา และหายใจติดขัด
หลี่เหมยคุกเข่าลงทันที เอานิ้วแตะที่ข้อมือเขา แล้วหยิบพู่กันหยกขึ้นมากำแน่น
ทันใดนั้น ภาพโครงสร้างภายในร่างของอาซันก็ปรากฏขึ้นในใจของนาง
นางเห็นไม่เพียงแต่อวัยวะและชีพจร แต่ยังเห็นเส้นทางของลมปราณที่ไหลเวียนปั่นป่วน คล้ายกระแสแม่น้ำที่ไหลย้อนทวนเข้าชนกันเองอย่างรุนแรง จนเกิดจุดปะทะรุนแรงตรงบริเวณอก
“ไม่… นี่มัน… ‘ลมปราณแตกซ่าน’ ชัด ๆ” หลี่ซานพูดเบา ๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“เ้าว่าอะไรนะ?” พ่อของอาซันทรุดตัวลงข้าง ๆ
“พลังลมปราณในร่างเขากำลังชนกันเองจนก่อให้เกิดการแตกซ่าน หากไม่รีบเบี่ยงทิศทาง… อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม เขาอาจ…อาจตาย!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัว
“แล้ว…รักษาได้หรือไม่?”
หลี่ซานเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ดีว่าแม้พู่กันหยกจะแสดงจุดฝังเข็มออกมา แต่การฝังเข็มเบี่ยงทิศลมปราณระดับนี้ ต้องใช้ความแม่นยำถึงขีดสุด
“ต้องใช้เข็มเงินยาว และต้องมีสมุนไพรเฉพาะเจาะจง”
นางหันไปหาพ่อของตน “พ่อ! ช่วยหาผ้าสะอาดกับน้ำร้อนให้ข้าที อีกอย่าง… เข็มเงินที่อาจารย์จางให้มาอยู่ในห่อผ้าสีแดง ข้าต้องใช้ชุดนั้น”
“ได้ ข้าจะรีบหา!” พ่อของนางรีบวิ่งออกไป
ในขณะที่ทุกคนช่วยกันเตรียมอุปกรณ์ หลี่ซานเริ่มลงมือสแกนเส้นลมปราณอีกครั้ง พร้อมทั้งตั้งสมาธิให้มั่น มือนางเริ่มสั่นน้อย ๆ
“เ้าจะไหวหรือไม่?” เสียงของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งถามอย่างเป็ห่วง
“ถ้าไม่ลอง… เขาจะตายแน่นอน” หลี่ซานล่าวเสียงเรียบ
นางหยิบเข็มเงินออกมา มือขวากำพู่กันหยกไว้แน่น มือซ้ายจับจุดชีพจรของอาซัน
แล้วจึงปักเข็มแรกลงไปอย่างแม่นยำ!
อาซันสะดุ้งเฮือก แต่หลี่ซานไม่หยุด นางปักเข็มต่อจุดที่สอง สาม สี่…
ทุกคนรอบข้างล้วนเงียบกริบ แม้แต่เสียงนกก็คล้ายเงียบไปชั่วขณะ
“จุดสุดท้าย… ใกล้หัวใจที่สุด…” หลี่ซานพึมพำ
ขณะนางกำลังจะปักเข็มสุดท้าย ทันใดนั้นลมแรงหอบฝุ่นฟุ้งขึ้นมา เศษใบไม้ปลิวว่อน สร้างความปั่นป่วน
“จับเขาไว้แน่น ๆ!” หลี่ซานะโ
เพียงพริบตาเดียว นางแทงเข็มลงไปตรงจุดสุดท้ายด้วยความนิ่งสงบ
เสียงสูดหายใจดังขึ้นจากอาซัน จากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ คลายเกร็ง ลมหายใจสม่ำเสมอขึ้น
หลี่ซานผ่อนลมหายใจออกยาว
พู่กันหยกในมือของนางเรืองแสงนุ่มนวลราวกับโล่งใจ
“เขารอดแล้ว…” เสียงของหลี่ซานสั่นเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยอ่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง
อาซันหลับสนิท ดวงหน้าสงบ ไม่บิดเบี้ยวด้วยความเ็ปอีก
พ่อของเขาทรุดลงกราบหลี่ซานน้ำตานองหน้า
“คุณหนูหลี่ซาน… ข้าจะจดจำบุญคุณนี้จนวันตาย!”
“อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเ้าค่ะ” หลี่ซานรีบพยุงเขาขึ้น “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ”
คืนวันนั้นเอง
หลังทุกอย่างสงบลง คณะอพยพก็นั่งพักรอบกองไฟเพื่อให้คลายเหนื่อย
“นางใช้พู่กันวิเศษตรวจโรคได้จริง ๆ รึนั่น ข้าคิดว่านั่นแค่ของประดับเสียอีก” หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นขณะปิ้งมันเผา
“ประดับบ้าอะไรล่ะ ข้าหิวจนเกือบเห็นพู่กันลอยได้!” ชายอีกคนแซวขึ้น
เสียงหัวเราะดังขึ้นประปราย ท่ามกลางกลิ่นหอมของมันเผาไหม้ไฟและเสียงจิ้งหรีดร้องในยามค่ำ
“หลี่ซานนี่เก่งเกินเด็กสาวธรรมดาแล้วนะ” อาหลิวพูดเบา ๆ
“นางไม่ธรรมดาหรอก ข้าว่านางมาจาก์แน่ ๆ” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นตาเป็ประกาย
“แล้วเ้ายังจำได้ไหมว่านางเคยทำต้มยาหวานเกินไปจนข้าปวดฟันทั้งวัน?” หญิงสาวหัวเราะ
“นั่นน่ะสิ!” หลี่ซานเดินเข้ามาพอดีพร้อมชามสมุนไพร “คราวนี้ไม่หวานแน่ ดื่มสิ เดี๋ยวจะหายปวดฟัน”
เสียงฮากระจายทันทีที่อาหลิวยกถ้วยขึ้นดื่มแล้วหน้าเบี้ยว
ค่ำคืนผ่านไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น
แต่ในใจของหลี่ซาน นางรู้ดีว่า…พลังของพู่กันหยกยังซ่อนอะไรไว้มากกว่านี้
และหนทางข้างหน้ายังมีอุปสรรคมากกว่านี้รออยู่…
นางจะต้องเรียนรู้ ใช้ใจรับรู้พลัง ไม่ใช่แค่ดวงตา
และวันนั้นวันที่นางจะต้องเผชิญศัตรูที่ไม่ใช่โรคภัย แต่อาจเป็มนุษย์… ก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ