ท่านหมอจับชีพจรแล้วจึงสั่งงานลูกจ้างชำระล้างาแบนหน้าผากเด็กชาย หลังจากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาหนึ่งเทียบ เปิดปากกล่าว “เดิมทีบนร่างกายเขาก็มีาแเก่าไม่น้อย ตอนนี้มีาแใหม่เพิ่มมาอีก กระดูกแข้งซ้ายหักมาระยะหนึ่งแล้วแต่ไม่ได้รับการรักษา ตอนนี้อักเสบบวมอย่างรุนแรง บำรุงร่างกายไม่ดีรวมกับเป็ไข้หวัด สั่งยาก่อนหนึ่งเทียบ อีกเดี๋ยวต้มแล้วกรอกลงไปให้เขา หากไข้ลดลงได้ ชีวิตน้อยๆ นี่ก็ยังสามารถรักษาไว้ได้”
“ไอ๊หยา สาหัสเพียงนี้? ขายังหักอีก? ์ เด็กน้อยประสบกับความยากลำบากมาเท่าใดกัน เหตุใดคนพวกนั้นใจไม้ไส้ระกำเพียงนี้ เด็กนี่เพิ่งจะโตนิดเดียว ชีวิตก็ใกล้จะไม่มีแล้ว เห็นแล้วน่าเวทนานักท่านหมอ ท่านต้องช่วยเขานะ ยานี่เป็เงินเท่าไรกัน? ข้าจ่ายเอง ท่านรีบให้คนไปต้มยาเถิด ช้าไปกลัวว่าจะไม่ทัน” พอหวังซื่อฟังจบน้ำตาก็แทบจะไหลออกมา
หวังซื่อนิสัยแข็งนอกอ่อนใน เปลือกนอกพยายามเข้มแข็ง ความเป็จริงในใจอ่อนโยนนุ่มนวล พอได้ฟังสภาพอาการาเ็สาหัสของเด็กชาย แม้ในใจจะลังเลอยู่เล็กน้อย แต่จิตใจที่มีเมตตาเห็นอกเห็นใจกลับมีเหนือกว่า จึงรับปากว่าจะจ่ายค่ายาและค่ารักษาให้ ทั่วร่างของเด็กชายทั้งสกปรก ทั้งยับเยิน รอยแผลนับไม่ถ้วน คาดว่าครอบครัวของเขาไม่น่าจะร่ำรวยมั่งคั่ง
ท่านหมอหมุนกาย สั่งการให้ลูกจ้างจัดยาตามใบสั่งแล้วไปต้ม หลังจากนั้นหันศีรษะกลับมากล่าวกับหวังซื่อ “พี่สะใภ้ท่านนี้ ท่านช่างเป็คนมีเมตตานัก เด็กคนนี้ข้าเคยพบอยู่สองหน อยู่เมืองนี้มาน่าจะเกินครึ่งเดือนแล้ว คิดว่าเป็คนต่างหมู่บ้านร่อนเร่มาถึงเมืองของพวกเรา ครั้งที่แล้วเห็นเขาเดินกะเผลก อาการาเ็ที่ขาลากมายาวนานเกินไป เกรงว่าช่วยชีวิตกลับมาได้แต่ขานี่ต้องพิการแล้ว เฮ้อ... เด็กน้อยร่อนเร่หนึ่งคนมาต่างหมู่บ้าน ไม่เพียงแต่อันธพาลในท้องถิ่นเท่านั้นที่รังแกเขา เ้าเด็กค่อนข้างโตที่ซุกซนมากมายก็ทุบตี ช่างเลวร้ายมากจริงๆ”
ท่านหมอถอนหายใจ คนในเมืองไม่ทำตามกฎสักเท่าไร มีคนดีและคนเลวปะปนกัน ทางการคุ้มครองรักษาเพียงความสงบเรียบร้อยทั่วไป ส่วนทหารของทางการเดิมทีก็ไม่ได้สนใจดูแลอยู่แล้ว หน้าหนาวทุกปีจะมียาจกหิวตายและป่วยตายจำนวนมาก ทางการสนใจเพียงยกศพไปทิ้งบนสุสานเท่านั้น
“เมืองนี้อันธพาลในท้องถิ่นทุบตีคน ทางการไม่จัดการหรือ?” หวังซื่อถูกทำให้ใกลัว เมื่อก่อนไปตลาดในเมืองบ่อยๆ แต่เห็นเื่ทำนองนี้น้อยมาก
“เฮ้อ ทางการจะใส่ใจมากที่ไหนกันเล่า ชาวบ้านทั่วไปถูกตียังจัดการเล็กน้อย แต่ยาจกพวกนี้กลับไม่ใส่ใจ” ท่านหมอพูดไปพลางหยิบกระปุกยาขี้ผึ้งออกมาพลาง เมื่อเดินเข้ามาข้างเด็กชายแล้วจึงเปิดผ้าห่มผืนบางที่ขาของเขาออกแล้วม้วนขากางเกงขึ้น ใช้มือคลำบนขาที่อักเสบฟกช้ำดำเขียวของเขาพักหนึ่ง เตรียมจัดกระดูกของเขาให้เรียบร้อย
เจินจูที่อยู่ข้างกายหวังซื่ออย่างเงียบเชียบมาตลอดไม่ได้ออกเสียง ตอนที่มองเห็นขาบวมเป่งผิดรูปของเขาแล้ว อดที่จะหายใจหนึ่งเฮือกไม่ได้ บวมจนกลายเป็เช่นนี้ยังใช้ได้อยู่อีกหรือ? นางมองเด็กชายอย่างเห็นอกเห็นใจแล้วเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่รู้ตัว แม้เด็กชายจะไม่ได้สติ แต่ยังขมวดคิ้วไว้ราวกับรับรู้ได้ถึงความเ็ป
หวังซื่อทนมองไม่ได้เป็อย่างมาก ใบหน้าเหี่ยวย่นไปทั้งหน้าย้ายสายตาหมุนกายกลับมามองเจินจู นึกขึ้นได้ในทันทีว่ายังต้องไปรวมตัวกับสองพี่น้องสกุลหู จึงกล่าวโดยมิรอช้า “เจินจู เ้าไปดูท่านพ่อเ้าก่อนว่าพวกเขายังอยู่ในตลาดหรือไม่ หากอยู่ ก็พาพวกเขามาที่นี่ หากไม่อยู่ เ้าก็กลับมาอย่าวิ่งไปทั่ว ย่าจะรอเ้าอยู่ที่นี่”
ตลาดห่างกับร้านสมุนไพรเล็กไม่ไกลมาก เลี้ยวโค้งหนึ่งทีเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ดังนั้นหวังซื่อจึงไม่กังวลเท่าไร
“ทราบแล้ว ท่านย่า เช่นนั้นข้าเอาตะกร้าไผ่สานวางไว้ที่นี่นะ ท่านนั่งตรงนี้รอข้า ข้าไปไม่นานก็กลับแล้ว” เจินจูกล่าวจบก็วางตะกร้าไว้ข้างกายหวังซื่อและออกจากร้านสมุนไพรไป
ดูจากเส้นทางครั้งที่แล้ว ไม่นานเจินจูก็มาอยู่ข้างแผงเนื้อหาพวกท่านพ่อของนางสองคนจนเจอ หูฉางหลินและหูฉางกุ้ยสองคนซื้อเสบียงอาหารที่้าอยู่ที่ร้านข้าวธัญพืชก่อน แล้วจึงไปที่แผงเนื้อครั้งที่แล้ว ซื้อพวกมันหมูกับหมูสามชั้น เพิ่มเติมจากนี้คือเครื่องในหมู ตามลักษณะคราก่อนโดยบอกเ้าของแผงเพิ่มกระดูกสองสามท่อนลงไปด้วย ขณะเตรียมจะไปรวมตัวกับพวกเจินจูที่ข้างประตูเมือง กลับถูกเจินจูมาหาอย่างกะทันหันทำให้ใ
เจินจูไม่กล่าวอะไรมาก ทั้งเดินไปพลางและเอาเื่ราวบอกแก่พวกเขาไปพลาง แม้สองพี่น้องจะใ แต่ก็ยอมคล้อยตามหวังซื่อตลอดมา ดังนั้นสำหรับเื่นี้จึงไม่มีปากมีเสียงอะไร
เมื่อกลับมาถึงร้านสมุนไพร เจินจูมองเห็นหวังซื่อกำลังประคองถ้วยสมุนไพรเป่าอยู่ เจินจูเดินเข้าไปรับถ้วยสมุนไพรในมือนางมา กล่าวเสียงเบา “ท่านย่า ข้าเป่าเอง ท่านพักสักหน่อย ท่านลุงกับท่านพ่อมาแล้ว” กล่าวจบก็เลียนแบบท่าทางของหวังซื่อ เป่ายาเบาๆ
“ท่านแม่” สองพี่น้องะโเรียก
“อื้ม ฉางหลิน ฉางกุ้ย พวกเ้าเข้ามาดูสิ เด็กนี่ประสบความยากลำบากอะไรกัน ถูกคนทุบตีจนเป็เช่นนี้ ขาก็หัก หัวก็แตก ร่างกายยังมีาแมากมาย ชีวิตน้อยๆ เกือบจะไม่มีแล้ว ช่างน่าเวทนานัก” ท่านหมอนำกระดานไม้มาพันขาของเด็กชายให้คงที่แล้ว เด็กชายเหงื่อไหลพลั่กไปทั้งหัว สามารถจินตนาการได้เลยว่าตอนที่ห่อและมัดขาไว้เขาจะเจ็บมากเพียงใด หวังซื่อควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในอกแล้วเช็ดเหงื่อให้เขา
สองพี่น้องเข้ามาดูใกล้ๆ เด็กชายคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่อายุสิบปีต้นๆ ใบหน้าบวมช้ำ บนหน้าผากยังพันผ้าพันแผลที่มีเืไหลซึม สีหน้าแดงเืฝาด ริมฝีปากแห้งราวกับกำลังจับไข้
“ฉางหลิน เด็กนี่ร่อนเร่มาถึงเมืองน่ะ ถูกอันธพาลไร้เหตุผลกลุ่มหนึ่งตีจนกลายเป็เช่นนี้แล้วยังไม่มีคนใส่ใจ ในเมื่อข้าเห็นแล้ว ไม่ใส่ใจไม่ได้ อากาศเย็นเช่นนี้ หากนอนอยู่ข้างนอกอีกพักหนึ่ง ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงไม่มีแล้ว พวกเ้าอย่าโทษว่าแม่ยุ่งไม่เข้าเื่นะ” หวังซื่อก้มหน้าต่ำลงแล้วกล่าว นางรู้ว่าเื่ช่วยคนไม่ใช่เื่ง่ายเช่นนี้ เด็กคนนี้ร่อนเร่ไปทั่ว ไม่มีครอบครัว ค่าใช้จ่ายการรักษาทำได้เพียงช่วยจ่ายให้ แต่ค่าตรวจและรักษารวมทั้งค่ายาสมุนไพรต้มต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงดูแลเพื่อรักษาาแที่ตามมาอีก
เด็กชายคนหนึ่งขาหักจะทานจะดื่มยัง้าคนปรนนิบัติ ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ปากเอ่ยไปแล้วจะแก้ไขได้เลย เฮ้อ... ตอนนี้แค่คิดก็ทำให้คนปวดหัวแล้ว ครอบครัวพวกเขาเพิ่งอาศัยเงินที่ขายกระต่ายได้ พริบตาเดียวก็ใช้จ่ายออกไปเพื่อคนที่นอนอยู่ข้างๆ จุดจบของเด็กชายคนนี้เป็ไปได้สูงว่า อาจถูกคนโยนเข้าไปในสุสาน นางจะอดใจไม่ช่วยได้อย่างไร
“ท่านแม่ ท่านทำถูกแล้ว ไม่เป็ไร คนเฒ่าคนแก่บอกว่าการช่วยชีวิตคนดีกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นไม่ใช่หรือ ท่านแม่กำลังทำบุญกุศล บุญกุศลมหาศาล ต่อไป วาสนาจะต้องร่วงใส่สกุลหูของเราแน่ ฮ่า ฮ่า” หูฉางหลินกล่าวไปกล่าวมาก็ยิ้มขึ้น บรรยากาศจึงผ่อนคลายลง
“ท่านแม่ ท่านอยากทำอะไรล้วนได้หมด” หูฉางกุ้ยก็กล่าวออกมา
ประโยคหนึ่งกล่าว จนหวังซื่อน้ำตาไหลพราก แล้วจึงเช็ดน้ำตาเอ่ย “ดี ดี ดี”
เจินจูได้ฟังคำที่ท่านพ่อนางกล่าวก็เลื่อมใสไม่หยุด ไม่กล่าวอะไรมากแต่ล้วนมีความหมายทำให้คนประทับใจนัก มิน่าที่หวังซื่อฟังแล้วน้ำตาไหลออกมา ขั้นสูงนัก นางแอบยิ้มในใจ
เจินจูค่อยๆ ผสมน้ำแร่จิติญญาลงในชาม สภาพอาการาเ็เด็กชายผ่านมาหนักนัก หากว่าช่วยชีวิตไม่ได้ ความหวังดีสักครั้งหนึ่งถือว่าไม่เปลืองแรงพวกนางนักหรอก เติมน้ำแร่จิติญญาจะสามารถช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่ เอ่อ... เอาเถอะ นางก็ไม่แน่ใจ ม้าตายเป็หมอม้าที่มีชีวิตแล้วกัน [1]
“ท่านย่า ยาเย็นแล้ว” เจินจูเรียกหวังซื่อ
“อื้ม ดี” หวังซื่อรับถ้วยยามา แล้วนั่งหน้าเตียง ป้อนยาให้เด็กชายอย่างระมัดระวัง เด็กชายจับไข้เสียจนแดงไปทั้งหน้า ในปากกลืนยาลงไปอย่างไม่รู้สึกตัว ช่วยลดทอนขั้นตอนการกรอกยาลงไปนัก
ดื่มยาหนึ่งถ้วยลงไปแล้ว ท่านหมอจึงเข้ามาจับชีพจรอีกครั้ง ไตร่ตรองแล้วกล่าว “รอหนึ่งชั่วยาม หากไข้ลดลงก็ไม่เป็ไรแล้ว หากไม่ลดต้องต้มอีกเทียบหนึ่ง หากไม่ทำให้ไข้ลดลงได้ เขาจะอันตรายมาก”
ต้องรอหนึ่งชั่วยาม? สี่คนมองหน้ากันไปมา หลังจากชั่วขณะหนึ่ง หวังซื่อกล่าว “ไม่เช่นนั้น ฉางกุ้ย เ้ากับเจินจูกลับไปก่อน ข้ากับฉางหลินเฝ้าอยู่ที่นี่?”
“ท่านย่า เช่นนั้นได้อย่างไร หากกลับทุกคนต้องกลับด้วยกัน ทุกคนล้วนรออีกพักหนึ่งเถิด หลังหนึ่งชั่วยามท้องฟ้าก็ยังไม่มืด” เจินจูปฏิเสธทันที
“ใช่” หูฉางกุ้ยพยักหน้า
หวังซื่อยิ้มปลื้มอกปลื้มใจแล้วไม่กล่าวอะไรอีก นึกขึ้นได้ว่าสองพี่น้องล้วนยังไม่ได้ทานอาหารเช้า จึงหาซาลาเปาเนื้อออกมาจากตะกร้า อากาศหนาวเย็นนักซาลาเปาเนื้อที่วางไว้จึงเย็นนานแล้ว เจินจูมองแล้วยิ้มบางๆ “ท่านย่า พวกเราไปทานบะหมี่กันเถิด เมื่อครู่ข้าเห็นในตลาดมีแผงร้านบะหมี่ พวกเราไปชิมสักหน่อย ดีหรือไม่?”
“เอาสิ จะไม่ดีได้เช่นไร อากาศเย็นนัก ซาลาเปาเก็บไว้กลับไปอุ่นแล้วค่อยทานเถิด ตอนเที่ยงพวกเราไปทานบะหมี่” หวังซื่อตบสองมือทีหนึ่ง เจินจูกล่าวเช่นนี้ขึ้นมาจึงนึกขึ้นได้ว่าในตลาดมีบะหมี่น้ำขาย ปกติประหยัดตัดใจทานไม่ได้ วันนี้สถานการณ์พิเศษ ทานบะหมี่ร้อนๆ สักถ้วยให้ร่างกายอุ่นขณะรอหนึ่งชั่วยาม
“ท่านย่า ท่านกับท่านลุงไปทานก่อนเถิด ข้ากับท่านพ่อเฝ้าเขาที่นี่ อีกเดี๋ยวพวกท่านทานเรียบร้อยแล้ว ข้ากับท่านพ่อค่อยไปทาน” เจินจูตั้งใจว่าอีกสักครู่เมื่อทานบะหมี่เสร็จจะไปเดินเล่นรอบๆ เสียหน่อย แม้มาเมืองไท่ผิงสองครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งล้วนอยู่บริเวณตลาด มีเวลาหนึ่งชั่วยามพอดีเลย นางจูงท่านพ่อของนางเดินเล่นเมืองไท่ผิงเสียหน่อย
“อื้ม ได้ เช่นนั้นข้ากับลุงเ้าไปทานบะหมี่ก่อน พวกเ้าอยู่ที่นี่เฝ้าดีๆ เล่า อีกสักพักพวกข้าก็กลับมา” กล่าวจบ จึงร้องทักหูฉางหลินแล้วเดินไป
“ท่านพ่อ ท่านนั่งนี่” เจินจูกล่าวแล้วชี้ไปที่ม้านั่งข้างเตียง
หูฉางกุ้ยพยักหน้า แล้วเอาตะกร้าไผ่สานที่วางอยู่ทางเท้าย้ายไปด้านข้าง นั่งลงอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศอึดอัดใจเล็กน้อย เจินจูจึงหาหัวข้อขึ้นมา ยิ้มแล้วกล่าว “ท่านพ่อ ซื้อของเสร็จแล้วหรือ? ยังขาดอะไรอีกหรือไม่?”
“ล้วนซื้อหมดแล้ว ไม่ขาด” หูฉางกุ้ยตอบ ศีรษะยังคงก้มต่ำตามความเคยชิน
“…”
เอาเถิด อึดอัดใจก็อึดอัดใจแล้วกัน ท่านพ่อของนางคุยด้วยยากจริงๆ จึงล้มเลิกที่จะพูดคุยแล้วสังเกตร้านยาเฉินจี้อย่างละเอียด
ท่านหมอชรากำลังนั่งตรวจคนไข้ ตรงหน้าเขาเป็ชายวัยกลางคนกำลังรับการตรวจโรค มือซ้ายของเขาใช้ชิ้นผ้าสีเทาคล้องลำคอ แขนน่าจะได้รับาเ็ ดูท่าทางกลับมาตรวจร่างกายอีกหน ท่านหมอชราพูดคุยกับเขาอย่างคุ้นเคย บางครั้งยังหัวเราะอีกด้วย น่าจะเป็ลูกค้าเก่า เจินจูมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย ลูกจ้างที่อยู่ด้านหนึ่งราวกับกำลังหั่นแผ่นสมุนไพร ส่งเสียงดัง “ฉึก ฉึก”ตลอดเวลา
สิบห้านาทีผ่านไป หวังซื่อกับหูฉางหลินกลับมา ก็เร่งรัดให้พวกเจินจูไปทานอาหาร เจินจูจึงถือโอกาสบอกหวังซื่อ ว่านางกับหูฉางกุ้ยจะเดินเล่นสักพักแล้วจึงจะกลับมา
การค้าขายบะหมี่หัวมุมไม่เลวนัก อากาศหนาวคนไปตลาดก็มาก โต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวถูกจับจองเต็มจนหมด เจินจูกับหูฉางกุ้ยต้องยืนรอสักครู่จึงได้ที่นั่ง แล้วสั่งบะหมี่น้ำสองถ้วยนั่งรอ
บะหมี่ถูกยกเข้ามาอย่างรวดเร็ว บะหมี่ร้อนหอมกรุ่นตอนอากาศหนาวเย็นดูเหมือนจะชักจูงคนเป็พิเศษ เจินจูมองบะหมี่ตรงหน้าที่เต็มเสียเกือบจะไหลล้นออกมา จึงใจนเอ่ยอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
นางหยิบถ้วยของหูฉางกุ้ยมา เอาบะหมี่ในถ้วยของตนเองแบ่งออกครึ่งหนึ่งให้เขา “ข้าทานเยอะเช่นนี้ไม่หมด ท่านทานเยอะๆ หน่อย”
หูฉางกุ้ยไม่กล่าวอะไร แล้วทาน “ซู้ด ซู้ด” อีกครั้ง
เชิงอรรถ
[1] ม้าตายเป็หมอม้าที่มีชีวิต หมายถึง เอาม้าตายมารักษาให้มีชีวิต อุปมาว่า ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง พยายามทำการรักษาให้ถึงที่สุดเป็ครั้งสุดท้าย