ในขณะที่เจินจูได้รับจดหมาย นางก็กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงได้พักหนึ่งแล้ว
ยามพลบค่ำ หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ นางก็ไม่มีอะไรทำรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก จึงถามเสี่ยวเฮยว่ามันสามารถหาร่องรอยของหลัวจิ่งที่อยู่ในเมืองหลวงได้หรือไม่?
เสี่ยวเฮยแสดงออกอย่างเย่อหยิ่ง... นั่นมีอะไรยากกัน
เจินจูดีใจขึ้นทันที อยากให้มันนำจดหมายไปส่งให้หลัวจิ่ง แต่ผู้ใดจะคาดคิด มันส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าตอนเย็นมีนัดและจะผิดนัดนี้ไม่ได้ด้วย
เจินจูอึ้งหมดคำพูด ชำเลืองมองออกไปยังพื้นที่ขาวโพลนเป็น้ำแข็งด้านนอก ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ผลิเลย เหตุใดก็เริ่มมีนัดกับแมวแล้วนี่
เจินจูจนปัญญาจึงไปหาเสี่ยวฮุย เสี่ยวฮุยพยักหน้ารับอาสาทันที เจินจูวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในใจ ความแตกต่างของนายท่านแมวกับเสี่ยวตี้หนูนี่ ช่างต่างกันมากไม่ธรรมดาเลย
จนกระทั่งนางกลิ้งไปมาบนเตียงอิฐอันแสนอบอุ่นอยู่หลายตลบ เสี่ยวฮุยก็พาร่างที่มีกระแสไอเย็นของอากาศด้านนอกกลับเข้ามาในห้อง
เจินจูเขี่ยหัวเล็กๆ ของมันด้วยความตื่นเต้นดีใจ ให้ผักกวางตุ้งสีเขียวเป็มันขลับแก่มันหนึ่งก้านสำหรับรางวัลชมเชย
หลังจากนั้นกลับมานอนบนเตียงอิฐ คลี่จดหมายออกอ่าน
อื้ม ตามความหมายของเขา เช่นนั้นก็สามารถออกเดินทางก่อนกำหนดได้สองสามวัน ยอดเยี่ยมอย่างมาก แม้เมืองหลวงจะเจริญรุ่งเรืองคึกคักดี แต่ไม่มีครอบครัวของนางอยู่ บิดาสกุลหูกับหลี่ซื่อล้วนรอพวกนางอยู่ นางจะให้ทั้งสองเป็ห่วงมากเกินไปไม่ได้
ตัวอักษรของหลัวจิ่งไหลลื่นเป็ธรรมชาติเหมือนเช่นเคย ทิศทางพู่กันจรดได้มีชีวิตชีวา สง่างามและเป็อิสระ
ช่างเป็ลายอักษรสื่อตัวคน [1] จริงๆ ฮ่าๆ
เจินจูถือจดหมายด้วยมือสองข้าง มองอยู่พักหนึ่งอย่างอิ่มอกอิ่มใจ แล้วจึงพับด้วยความระมัดระวัง เก็บเข้าในมิติช่องว่าง
วันถัดมาอากาศของเมืองหลวงแจ่มใสปลอดโปร่งอย่างหาได้ยาก
แม้แสงอาทิตย์ไม่ได้มากมาย แต่ก็ทำให้บรรดาผู้คนที่อึมครึมมาเป็เวลานานเบิกบานใจขึ้นได้
ภายในลานอันหวา มีเสียงเล็กแหลมที่สนุกสนานของสตรีดังขึ้น
“…ไอ๊หยา พอมันเปียกน้ำแล้วตัวเล็กยิ่งนัก!”
“นั่นสิ ช่างน่ารักจริง เ้าดูสิ มันจ้องข้าด้วยล่ะ”
“…จริงด้วย มันโมโหแล้วแน่ๆ ฮ่าๆ ช่างน่ารักอะไรเช่นนี้”
“…”
เจินจูชำเลืองมองสตรีไม่กี่คนที่มารุมดูเสี่ยวเฮยอาบน้ำอย่างจนใจ
เยว่อิง เสี่ยวเซียงกับเสี่ยวฉิง ทั้งสามคนมองในกะละมังไม้ที่มีควันพวยพุ่งด้วยดวงตาผุดประกายระยิบระยับ
เสี่ยวเฮยกำลังนั่งอยู่ในกะละมังน้ำร้อน ขนนุ่มสลวยลอยอยู่บนผิวน้ำ ส่วนบนหัวเปียกชุ่มไปทั่ว ขนเลียบลู่แนบไปกับิั มันดูตัวเล็กลงในชั่วพริบตา
ลูกตาสีเขียวเข้มของเสี่ยวเฮยจ้องพวกนางอย่างไม่พอใจ ราวกับต่อว่าพวกนางอยู่เงียบๆ ท่าทางเช่นนี้น่ารักเป็อย่างมาก
ทำเอาคนที่ล้อมดูล้วนยิ้มจนดวงตาหยี
เจินจูหยิบป้าหอมขยี้ไปตามตัวของเสี่ยวเฮย ตีฟองขึ้นถูไปมา
อากาศหนาวเย็น ต้องเว้นไปนานๆ เสี่ยวเฮยจึงจะอาบหนึ่งหน แต่เป็เช่นนี้ก็ไม่ได้สกปรกอะไร เจินจูแค่กลัวว่ามันจะไปัักับแมวและสุนัขตัวอื่น ทำให้ติดตัวหมัดตัวเหามา
เยว่อิงมองเจินจูด้วยความอิจฉา สัตว์เลี้ยงที่สาวผู้นี้เลี้ยงช่างเชื่อฟังเกินไปแล้ว ให้มันอย่าขยับ มันก็อยู่นิ่งๆ แต่โดยดี จริงๆ ในจวนกั๋วกงก็เลี้ยงสุนัขจิงปา [2] ไว้ แต่อุปนิสัยดุยิ่งนัก ทุกครั้งที่อาบน้ำล้วนปรนนิบัติด้วยยากอย่างมาก
ดูแมวของคนอื่นเขาสิ ลุกขึ้น นั่งลง ยกมือ ยกเท้า เงยหน้า ยกหาง เชื่อฟังยิ่งกว่านายทหารจริงๆ ช่างดึงดูดให้คนชื่นชอบเกินไปแล้ว
เจินจูอาบน้ำให้เสี่ยวเฮยเสร็จด้วยความรวดเร็ว ปูผ้าฝ้ายผืนหนาเตรียมไว้บนเก้าอี้ สองมือประคองเสี่ยวเฮยขึ้นและส่ายให้น้ำออกเล็กน้อย จากนั้นวางลงบนผ้าที่ปูไว้แล้วห่อตัวเช็ดให้มันจนแห้งสะอาด
“มันไม่สะบัดน้ำบนตัวด้วยหรือนี่?” เยว่อิงมองด้วยความแปลกประหลาด เพราะแมวและสุนัขเปียกน้ำที่นางเคยพบมักชอบสะบัดตัวที่สุด
“อ๋อ เมื่อก่อนเสี่ยวเฮยก็สะบัดเช่นกัน ตอนหลังข้าเคยว่ามันไป มันก็เลยไม่สะบัดอีก” เจินจูเช็ดคราบน้ำบนตัวเสี่ยวเฮยให้แห้งด้วยความรวดเร็ว อากาศหนาวเกินไปหากไม่เช็ดให้แห้งอาจป่วยได้ง่าย
“ว้าว เสี่ยวเฮยเฉลียวฉลาดเกินไปแล้วจริงๆ” เสี่ยวเซียงกุมใบหน้าเล็กของตนพลางก้มดูเสี่ยวเฮยด้วยความประหลาดใจแล้วกล่าวขึ้นเสียงดังพักหนึ่ง
“ฮ่าๆ” ล้วนกลายเป็ปีศาจหมดแล้ว จะไม่เฉลียวฉลาดได้หรือ
ต้องเปลี่ยนผ้าฝ้ายไปถึงสองผืน จึงจะเช็ดตัวเสี่ยวเฮยให้แห้งสนิทได้
ถือโอกาสที่มีน้ำร้อนอยู่ เจินจูจึงอาบน้ำให้เสี่ยวฮุยไปด้วยเสียเลย
เสี่ยวเซียงเปลี่ยนอ่างน้ำร้อน แล้วพิจารณาเสี่ยวฮุยด้วยความแปลกใจ
เสี่ยวฮุยมีรูปร่างค่อนข้างใหญ่กว่าหนูทั่วไปเล็กน้อย สีหม่นๆ แม้เป็หนูตัวหนึ่ง ทว่าไม่ได้มีความสกปรกวุ่นวายและทะลึ่งตึงตังของหนูเลย
ดวงตาเม็ดเล็กสีดำเป็ประกายจ้องกลุ่มคนที่รุมล้อม ดูทึ่มทื่อ แสดงออกอย่างไร้เดียงสา น่ารักเป็อย่างมาก
เสี่ยวฮุยรูปร่างเล็ก จัดการทำความสะอาดได้ง่ายดาย ผ้าฝ้ายหนึ่งผืนก็เช็ดมันได้แห้งสะอาดแล้ว
เมื่อสุขอนามัยของเ้าสองตัวนี้จัดการได้สะอาดหมดจด เจินจูจึงผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง
หนึ่งแมวหนึ่งหนูที่ถูกจับทำความสะอาดเรียบร้อย ได้หาพื้นที่ของแต่ละตัวและนอนชดเชยขึ้น เมื่อคืนพวกมันออกไปเล่นด้านนอกทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสางแล้วถึงกลับมาได้
เมื่อเสี่ยวเซียงกับเสี่ยวฉิงจัดเก็บสิ่งของที่เพิ่งใช้อาบน้ำเรียบร้อย เยว่อิงก็ได้นำทางฮูหยินหลิวเข้ามา
ในมือสาวรับใช้ด้านหลังของพวกนาง ได้ประคองเสื้อผ้าฤดูหนาวที่เร่งทำออกมาในคืนเดียวกับที่วัดตัว
เสื้อกันหนาวสองชั้นสีส้มขอบขนสัตว์หนึ่งตัว เสื้อหนาวสีชมพูบานเย็นมีซับในและปักดิ้นเงินดิ้นทองหนึ่งตัว กระโปรงผ้าฝ้ายลายเมฆสีนวลจันทร์หนึ่งตัว กระโปรงกันหนาวปักลายดอกไม้สีแดงหนึ่งตัว ล้วนเป็งานปักชั้นสูงแสนประณีต รูปแบบงดงามมีสง่าอย่างมาก
ห้องเย็บปักของครอบครัวใหญ่โตร่ำรวยนี่น่าทึ่งยิ่งนัก ในเวลาที่รวดเร็วเพียงนี้ก็สามารถเร่งทำเสื้อผ้าออกมาได้ตั้งสองชุดแล้วหรือนี่ เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ
ตามความประสงค์ของฮูหยินหลิว เจินจูจึงได้ลองใส่หนึ่งชุดในจำนวนนั้นขึ้น นางสวมเสื้อสองชั้นสีส้มขอบขนสัตว์เข้าคู่กับกระโปรงผ้าฝ้ายลายเมฆสีนวลจันทร์
ครั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมาจากห้อง สายตาของทุกคนต่างก็เป็ประกายขึ้นทันที
ใบหน้างดงามสว่างดูสุภาพ ถูกเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสรูปแบบหรูหราขับให้เด่นขึ้น เพิ่มลักษณะเฉพาะตัวให้ดูงามสง่ามีฐานะสูงส่งขึ้นโดยปริยาย
ผิวราวหิมะถูกผ้าไหมสีสันสวยสดสะท้อนจนดูขาวนวลดั่งหยกไร้ตำหนิให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
“งดงามยิ่งนัก แม่นางหู เสื้อผ้าชุดนี้ช่างขับให้ท่านโดดเด่นจริงๆ เ้าค่ะ”
เยว่อิงกล่าวชมจากใจจริง
“ใช่แล้วเ้าค่ะ แม่นางผิวพรรณดียิ่ง เสื้อผ้าชุดไหนก็ล้วนสวมใส่ได้งดงามทั้งสิ้นเลยเ้าค่ะ”
ฮูหยินหลิววิจารณ์ขึ้น หากแม่นางหูสวมชุดนี้ออกไปข้างนอก ผู้ใดก็ดูไม่ออกทั้งนั้นว่านางเป็เพียงแม่นางชนบทที่มาจากพื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง
เจินจูมองซ้ายขวากับกระจกที่อยู่ตรงข้ามหนึ่งรอบ ‘มนุษย์ต้องมีเสื้อผ้าห่อ พระพุทธรูปต้องมีทองหุ้ม’ ประโยคนี้ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก เสื้อผ้าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของคนมากมายจริงๆ
เสื้อผ้าแพรไหมหรูหราหนึ่งชุด ปลดปล่อยความสง่างามร่ำรวยจากภายในของนางออกมาแล้ว ฮ่าๆ
เสื้อผ้าของผิงอันก็ทำออกมาสองชุดเช่นกัน แต่ในเวลานี้เขายังเล่นหมากรุกอยู่กับเซียวจวิ้นในลานชิงหลัน เสื้อผ้าของเขาจึงวางไว้ในห้องของนางเสียเลย
เจินจูหยิบหนึ่งตัวจากในนั้นขึ้นมา เสื้อกันหนาวสองชั้นสีน้ำเงินเข้มขอบขนสัตว์ ััอ่อนนุ่มสบายมือ เมื่อลูบไล้ลงไปแล้วผ้าเนื้อดีอย่างมาก สามารถจิตนาการตอนสวมอยู่บนกายของเขาออกเลยว่าจะสบายมากเพียงใด
รวดเร็ว คุณภาพดี ห้องเย็บปักของเจิ้นกั๋วกงนี่ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งนัก
ทันใดนั้น เจินจูก็คิดถึงของอย่างหนึ่งขึ้นได้
นางลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ล้วงถุงมือคู่นั้น ที่เย็บได้เล็กใหญ่ไม่เท่ากันออกมาจากห่อสัมภาระ
ขณะที่ฮูหยินหลิวรับไปดูก็ตะลึงเล็กน้อย
“นี่ คือสิ่งใดกันเ้าคะ?”
“เอ่อ”
เจินจูแสดงท่าทางสวมที่มือให้นางดู
ดวงตาของฮูหยินหลิววิบวับขึ้น ดึงมือของนางไปพิจารณาอย่างละเอียด
“ไม่เลวๆ การเย็บเช่นนี้สามารถรักษาความอบอุ่นที่มือได้ดียิ่งนัก แม่นางหู นี่เป็งานที่ท่านเย็บขึ้นหรือเ้าคะ?”
“อื้ม ใช่ เย็บได้ไม่ดีเท่าไร ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว” เจินจูถอดถุงมือออกและส่งให้นาง พลางยิ้มอย่างเขินอาย
“วิธีการตัดเย็บแย่มากจริงๆ แต่ความคิดกลับดียิ่งนัก แม่นางช่างเฉลียวฉลาดเกินไปแล้วเ้าค่ะ” ฮูหยินหลิวมองถุงมือพลิกกลับไปมาอยู่หนึ่งรอบ พร้อมกับชมไม่หยุดปาก
เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เยว่อิงเข้ามาชมใกล้ๆ นางประหลาดใจเช่นกัน
“ความคิดนี้ช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก คิดวิธีการเย็บเช่นนี้ได้อย่างไรกันเ้าคะ แค่รอยเย็บแย่ไปหน่อยเท่านั้นเอง”
ไม่เพียงรอยเย็บแย่ แต่การตัดผ้าก็ไม่ดี นิ้วไม่สม่ำเสมอ เก็บด้ายไม่เป็ระเบียบ งานเย็บปักถักร้อยระดับพอๆ กับเด็กน้อยอายุเจ็ดหรือแปดปีอีกด้วย
หางตาฮูหยินหลิวกระตุกเล็กน้อย พร้อมกับมุมปากขมุบขมิบ
“แหะๆ ข้าเรียนรู้การเย็บปักได้ไม่ดีเท่าไร ท่านแม่ข้าก็มักว่าอยู่บ่อยๆ” เจินจูหัวเราะเยาะตัวเอง “ฮูหยินหลิว ท่านว่าเย็บตามแบบถุงมือคู่นี้ ต้องใช้เวลานานเท่าไรหรือ?”
“นี่เรียกว่าถุงมือ? ใช้คำเรียกได้เหมาะสมยิ่งนัก อืม... หนังเช่นนี้แข็งไปหน่อย หากใช้หนังนิ่มอีกนิด คาดว่าเพียงหนึ่งชั่วยามก็เย็บออกมาได้หนึ่งคู่แล้ว หากเป็หนังแข็งก็ต้องเสียเวลาอยู่มากหน่อยเ้าค่ะ”
ฮูหยินหลิวประมาณการคร่าวๆ ที่สำคัญคือไม่เคยทำมาก่อน หากมีประสบการณ์แล้วล่ะก็ ความรวดเร็วย่อมมากขึ้นได้อีกสักหน่อย
เจินจูดวงตาเป็ประกายวิบวับ เร็วเพียงนี้เลย? ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว สมกับที่เป็มืออาชีพจริงๆ
“ฮูหยินหลิว เช่นนั้นท่านช่วยข้าเย็บสองคู่ เอาตามมือของผู้ชายทั่วๆ ไปได้หรือไม่? ข้าจะเอากลับไปมอบให้ท่านพ่อกับท่านลุงของข้า พวกเขาต้องดีใจมากแน่นอนเลย” นางกล่าวด้วยหน้าตาไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิด หนึ่งคู่นางจะให้ท่านพ่อจริงๆ ส่วนอีกหนึ่งคู่นางจะเก็บไว้ให้หลัวจิ่ง ฮิๆ ส่วนท่านลุงน่ะหรือ กลับไปให้ท่านป้าสะใภ้เย็บให้เขาก็แล้วกัน
“ได้สิเ้าคะ แต่แม่นางต้องรอสักหน่อย ห้องเย็บปักกำลังเร่งเย็บเสื้อผ้าของท่านกับน้องชายท่านอยู่เ้าค่ะ ถุงมือนี้ต้องลองเย็บขึ้นมาดูก่อนสักหนึ่งคู่ หากมีประสบการณ์แล้ว คู่ต่อไปก็จะง่ายขึ้น” ฮูหยินหลิวกลับด้านในถุงมือออกมาด้วยความสนใจ พิจารณาการตัดและวิธีเย็บอย่างละเอียด
“ไม่รีบเลย สามารถเย็บออกมาได้ก็พอ อืม... ที่จริง้าของถุงมือเย็บขนพังพอนเผือกหรือขนกระต่ายเข้าไปนิดหน่อยก็ได้เช่นกัน มันจะดูดีมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง” เจินจูชี้ไปที่ตำแหน่งใช้สวมถุงมือแล้วกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินหลิวเกิดจิติญญาในการเย็บปักขึ้น ก้มหน้าปรึกษาหารือกับเจินจูอย่างจริงจัง เยว่อิงคอยผสมโรงอยู่ด้านข้าง ออกความคิดเห็นขึ้นด้วยสองสามประโยค
เป็เวลากว่าครึ่งค่อนวัน ฮูหยินหลิวถึงได้ออกจากลานอันหวาไปด้วยจิตใจรื่นเริงเต็มเปี่ยม
ตอนกลางวันผิงอันกลับมาทานอาหารเที่ยง เจินจูจึงให้เขาลองสวมชุดใหม่
เมื่อสวมเสื้อผ้าขึ้นอยู่บนกาย ผิงอันก็มีความสูงศักดิ์ของคุณชายเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแต่ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เพิ่งผ่านโลกมาไม่มากยังมีประสบการณ์ความรู้ไม่ลึกซึ้งเท่านั้น
ผิงอันไม่ค่อยมีความสนใจในเสื้อผ้าชุดใหม่สักเท่าไร พอลองขึ้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วจึงนำกลับไปที่ห้องของตัวเอง อ่านบทละครพื้นเมืองของเขาต่อ
...ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง กิ่งก้านและใบไม้ที่ตายแล้วบนูเาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
บนยอดเขาที่ห่างไกลและเงียบสงบแห่งหนึ่ง คนจำนวนสิบกว่าคนกำลังวิ่งวุ่นล้อมอยู่กับหลุมศพ
กำจัดหญ้าแห้งตายทิ้งไป เติมดินก่อกองหลุมศพให้สูงขึ้น จุดกระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียน จัดสุราอาหารเซ่นไหว้…
หลัวจิ่งคุกเข่าอยู่หน้าเนินดินหลุมศพของท่านปู่ โขกศีรษะทำความเคารพสามครั้ง
พริบตาเดียวเวลาผ่านไปสี่ปีกว่าแล้ว เนินดินบนหลุมศพสกุลหลัวหญ้าขึ้นสูงรกนัก แม้่เวลาชิงิ [3] ของทุกปี ท่านพี่ใหญ่ของเขาจะส่งคนมากำจัดวัชพืชและปัดกวาดหลุมศพ แต่หลัวจิ่งกับหลัวรุ่ยล้วนไม่สามารถมาทำพิธีด้วยตัวเองได้
ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่เขามาทำการคำนับเซ่นไหว้หลุมฝังศพสกุลหลัว
น้ำตากลิ้งคลออยู่ั์ตา ทว่าหลัวจิ่งกลับฝืนกลั้นมันไว้ไม่ให้ร่วงหล่นลงมา แม้ความแค้นที่ยิ่งใหญ่นี้ได้รับการแก้แค้นแล้ว แต่ความไม่เป็ธรรมกลับยังไม่ได้รับการสะสาง หลุมศพของทุกคนสกุลหลัวยังคงย้ายกลับไปสุสานบรรพบุรุษสกุลหลัวไม่ได้
องค์ไท่จื่อเพิ่งสิ้นพระชนม์ไป สภาพจิตใจฮ่องเต้ไม่ค่อยสู้ดี ยังต้องรอจังหวะและโอกาสอยู่ ดวงตาหลัวจิ่งทอความหนักแน่นปรากฏออกมา ในไม่ช้าราชสำนักต้องคืนความบริสุทธิ์ให้กับสกุลหลัว รอถึงตอนนั้นค่อยย้ายหลุมศพเหล่าผู้าุโกลับไปยังสุสานบรรพบุรุษอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
ท่านปู่ขอรับ หานเซี่ยนตัวการหายนะผู้นั้นตายไปแล้ว แม้น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารเขาด้วยตัวของหลานเอง แต่การลงมือของหลานสะใภ้ท่านก็นับว่าเป็การแก้แค้นแทนทั้งสกุลหลัว รอภายภาคหน้าพวกหลานแต่งงานกันแล้ว หลานจะพานางมาทำความเคารพผู้าุโทุกท่าน หลัวจิ่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของหลัวหรงชาง ปากกล่าวบรรยายแต่สีหน้ากลับแดงขึ้นเล็กน้อย
ส่วนหลัวเชี่ยน นางไม่ทำตามคำกล่าวสาบานของนาง หลานสั่งสอนนางแทนท่านแล้ว ต่อไปหากนางยังไม่รู้สำนึกอีก เช่นนั้นหลานจะส่งนางไปอยู่กับท่าน ให้นางโขกศีรษะยอมรับความผิดกับท่านด้วยตัวเอง
ทันทีหลังจากนั้น เขาเคลื่อนตัวไปหน้าหลุมศพของผู้เป็บิดามารดา น้ำตาที่กลั้นไว้ในท้ายที่สุดก็ร่วงหล่นลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่
บิดาที่แสนเข้มงวด มารดาที่แสนอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ล้วนจากไปอย่างหยินหยางแยกขาด [4] ครอบครัวแสนสุขอบอุ่นใจอยู่ได้เพียงในความทรงจำ ชายหนุ่มอายุสิบหกปี โขกศีรษะสามทีหนักๆ ด้วยน้ำตานองหน้า
จนกระทั่งเขาทำความเคารพหลุมศพทั้งหมดเสร็จสิ้น หน้าผากของเขาก็แดงเถือกเป็วงกว้าง
หลัวจิ่งไม่ได้สนใจ สุดท้ายเผากระดาษเงินกระดาษทองในมืออย่างเงียบเชียบ แล้วหยัดกายยืนขึ้น
เขาสีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตาแน่วแน่
ท่านปู่ พวกท่านรออีกนิด ความไม่เป็ธรรมที่สกุลหลัวได้รับนี้ หลานกับพี่ใหญ่จะกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้
เชิงอรรถ
[1] ลายอักษรสื่อตัวคน หมายถึง ลายมือเป็อย่างไร เ้าของลายมือที่เขียนก็เป็อย่างนั้น
[2] สุนัขจิงปา คือ สุนัขพันธุ์ปักกิ่ง โดยมีชื่อเรียกในภาษาจีนอื่นอีกเช่น สุนัขเป่ยจิง สุนัขพันธุ์สิงโตประเทศจีน สุนัขพันธุ์สิงโตวัง เป็ต้น
[3] ชิงิ คือ วันเชงเม้ง เป็เทศการบูชาบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมักจะทำพิธีเซ่นไหว้และปัดกวาดหลุมศพบรรพบุรุษ ซึ่งเป็หนึ่งในสารทของจีน เริ่มวันที่ 4, 5 หรือ 6 เดือนเมษายน ไม่ตรงกันในแต่ละปี
[4] หยินหยางแยกขาด หมายถึง เมื่อคนตายจากไปแล้วจะถูกแยกจากกัน พื้นที่ที่มนุษย์มีชีวิตอยู่จะถูกเรียกว่าหยิน ส่วนปรโลกคือ หยาง จึงเรียกได้ว่าอยู่คนละโลกกันแยกจากกัน