จดหมายตอบรับเข้าศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหวาถึงห้าฉบับ สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมืองซวงเฉิง สำนักงานการศึกษาจึงรีบจัดการพบปะนักเรียนขึ้น เพื่อให้ทั้งห้าคนได้ถ่ายทอดประสบการณ์แบบใกล้ชิดแก่นักเรียนมัธยมปลายรุ่นต่อไป เพื่อเป็การกระตุ้นขวัญกำลังใจและให้คำแนะนำในการสอบ เพื่อหวังว่ารุ่นน้องจะสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อีกครั้ง
แต่เมื่อสำนักงานการศึกษาเตรียมการเสร็จสรรพและติดต่อกับนักเรียนทั้งห้าคน กลับได้รับคำตอบจากผู้ปกครองว่า นักเรียนทั้งห้าได้ออกจากบ้าน เดินทางไปปักกิ่งแล้ว ทำเอาหัวหน้าสำนักงานการศึกษาถึงกับงงเป็ไก่ตาแตก ไม่คิดว่านักเรียนเหล่านี้จะรีบออกจากบ้านกันั้แ่เนิ่นๆ
"ผู้อำนวยการหมี่ นี่มันอะไรกันครับ การพบปะที่สำนักงานสั่งการลงมาหมดแล้ว พวกเขาออกจากบ้านกันหมดแบบนี้ ทำไมพวกคุณที่เป็ผู้ปกครองไม่บอกกล่าวกันบ้าง"
หัวหน้าสำนักงานการศึกษาสนิทสนมกับหมี่จิ้งเฉิงเป็อย่างดี จึงพูดจาตรงไปตรงมา
"ผมจะรู้ได้ไงว่าปีนี้สำนักงานจะจัดงานพบปะนักเรียน ก็เมืองเราไม่เคยมีธรรมเนียมแบบนี้นี่ครับ"
พอถูกหมี่จิ้งเฉิงพูดแบบนี้ ผู้นำสำนักงานถึงกับหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้คิดจะแจ้งเื่นี้กับครอบครัวนักเรียนก่อนจริงๆ แต่หมี่จิ้งเฉิงกลับแอบดีใจอยู่ในใจ ลูกๆ ของเขาเก่งเสียจริง ตอนนี้แม้แต่สำนักงานก็ยังให้ความสำคัญถึงเพียงนี้
"เอ่อ...คือสำนักงานไม่ได้คิดให้รอบคอบเองครับ แต่ก็ไม่คิดจริงๆ ว่าพวกเขาจะออกเดินทางกันเร็วขนาดนี้ ถึงจะตั้งใจไปเที่ยวปักกิ่งก่อน ก็ไม่น่าจะไปกันเร็วขนาดนี้ นี่มันยังเหลืออีกเดือนกว่าจะเปิดเทอมเลยนะครับ"
ถึงหัวหน้าสำนักงานการศึกษาจะไม่พอใจแค่ไหน แต่คนก็ไปแล้ว จะทำอะไรได้ นอกจากกล้ำกลืนความขุ่นเคืองไว้
"ผมฟังจากที่ลูกๆ บอกว่า จะถือโอกาส่ปิดเทอมนี้เที่ยวเล่นไปทั่ว พวกคุณก็รู้ว่าลูกๆ ของผมเขามีธุรกิจส่วนตัว เื่เงินทองก็ไม่ต้องให้พวกเราเป็ห่วง พวกเขาบอกว่าจะออกไปเปิดหูเปิดตา พวกเราที่เป็ผู้ปกครองก็ขัดขวางไม่ได้นี่ครับ แถมพวกเขาก็ไปกันตั้งห้าคน คงไม่เกิดเื่อะไร พวกเราเลยสบายใจ"
ห้องเสื้อหลันเยว่ของหมี่หลันเยว่ กลายเป็ธุรกิจดาวเด่นของเมืองซวงเฉิงไปเสียแล้ว ่สองปีหลังมานี้ยังได้รับการยกย่องจากทางมณฑล ว่าห้องเสื้อหลันเยว่ช่วยกระตุ้นธุรกิจเสื้อผ้าที่ดำเนินการโดยเอกชนทั่วทั้งเฮยหลงเจียง ตอนนี้ห้องเสื้อหลันเยว่มีชื่อเสียงในระบบธุรกิจของเฮยหลงเจียง ใครๆ ก็รู้จักเ้าของตัวจริงของธุรกิจนี้ นั่นก็คือเด็กสาววัยสิบห้าปีผู้นี้เอง
"ฉันอายุสิบห้าแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ"
พอคิดว่าตอนที่ตัวเองกลับชาติมาเกิดใหม่ยังเป็แค่ทารก ตอนนี้กลับมีอายุอานามถึงสิบห้าปีแล้ว หมี่หลันเยว่ก็อดที่จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ได้
"เธอสิบห้า แต่พวกเราตั้งสิบแปดแล้วนะ ต่อหน้าพวกเรา เธอยังกล้าพูดแบบนี้อีก"
เฉียนหย่งจิ้นยีหัวเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่ เด็กสาวโตขึ้นมาก ดูเป็สาวสะพรั่งขึ้นมาบ้าง รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาสะสวย แต่หมี่หลันเยว่ที่โตขึ้นกลับทำให้เฉียนหย่งจิ้นรู้สึกอยากใกล้ชิดมากกว่าเดิม
พูดตามตรง หมี่หลันเยว่ในตอนนี้ยังไม่ถือว่าสวยสะพรั่ง แค่มีหน้าตาสะสวยเท่านั้น โชคดีที่ผ่านการฝึกร่างกายมาอย่างต่อเนื่อง รูปร่างจึงรักษาสภาพไว้ได้ค่อนข้างดี ถึงจะไม่ผอมบาง แต่ก็พอดี เธอกลับมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ละสายตาไม่ได้ ทำให้ทั้งตัวดูสง่างามขึ้นมา
"ฉันเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยแล้วนะ แน่นอนว่าโตแล้วสิคะ มีอะไรพูดไม่ได้ อายุผู้ชายไม่ใช่ข้อจำกัด ถึงจะอายุสี่สิบก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี แต่ผู้หญิงไม่ได้แล้ว พอเลยยี่สิบห้า ก็ถือว่าหมดความสาวแล้ว ดังนั้น ฉันต้องคว้า่เวลาสิบปีอันแสนสั้นนี้ไว้ให้ดีสิคะ"
หมี่หลันหยางได้ยินน้องสาวพูดแบบนี้ ก็แทบสำลักออกมา เอื้อมมือไปแตะปลายจมูกน้องสาว
"ยัยหนู เธอรู้อะไรเื่ผู้ชายผู้หญิง อย่าพูดจาเหลวไหล อายุเพิ่งจะเท่าไหร่เอง คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น ต่อไปอย่าให้คิดเื่ไร้สาระพวกนี้อีกนะ"
หมี่หลันเยว่อยากจะบอกพี่ชายว่า ตัวเองเคยผ่านผู้หญิงวัยสี่สิบมาแล้ว ไม่ได้พูดจาเหลวไหล แต่คำพูดนี้เธอไม่สามารถพูดออกมาได้ พูดออกมาจะทำให้เธอเ็ปใจเหลือเกิน ชาติที่แล้วทุ่มเทชีวิตตัวเองไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นชีวิตนี้เธอจึงพยายามอย่างหนัก อยากจะเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างออกไป
"หลันเยว่ ต่อไปห้ามพูดจาแบบนี้อีกนะ จะทำให้คนเข้าใจผิดได้ ถ้าเกิดเจอคนไม่ดีจะทำยังไง"
หลินเผิงเฟยก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหมี่หลันเยว่ เด็กสาวอะไรกัน พูดจาเื่ผู้ชายสี่สิบ ผู้หญิงเท่าไหร่ ฟังดูแล้วมีความหมายแฝงเกินไป
ต้องบอกว่า หนุ่มๆ วัยสิบแปดปี เริ่มมีความเข้าใจในเื่เพศที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มเป็ห่วงน้องสาวคนเล็กของตัวเอง ปักกิ่งเป็เมืองที่หรูหรา อาจจะได้รู้จักคนแบบไหนก็ไม่รู้ พวกเขาเป็ห่วงน้องสาวที่ใสซื่อไปเสียแล้ว
"เมื่อไหร่จะถึงสักที นั่งแบบนี้เมื่อยจะแย่แล้ว"
พวกเขาซื้อตั๋วรถไฟไปลงที่ฮาร์บินก่อน จากนั้นค่อยต่อรถไฟจากฮาร์บินตรงไปยังปักกิ่ง หมี่หลันเยว่ยืนกรานจะซื้อตั๋วรถนอน แต่หนุ่มๆ ทั้งสี่คนไม่ยอม
บอกว่ามันสิ้นเปลืองเกินไป ไม่ใช่แค่สิ้นเปลืองเงิน แต่ยังสิ้นเปลืองทัศนียภาพระหว่างทางด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงยืนกรานซื้อตั๋วนั่ง หมี่หลันเยว่ก็ได้แต่ตามใจ แต่เธอเคยนั่งรถไฟความเร็วสูงในยุคหลังมาแล้ว แถมถึงจะเป็รถไฟความเร็วสูง หมี่หลันเยว่ก็นั่งรถนอน รถไฟที่วิ่งช้าขนาดนี้ แถมยังเป็ตั๋วนั่ง สำหรับหมี่หลันเยว่แล้วมันคือความทรมาน
พอมองหนุ่มๆ ทั้งสี่คนที่กำลังร่าเริง หมี่หลันเยว่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรอีก ได้แต่ทำใจ แต่หมี่หลันหยางกลับสังเกตเห็นความไม่สบายตัวของน้องสาว
"มาสิ หลันเยว่ นอนพักผ่อนเถอะ พวกเรานั่งอยู่ข้างหน้าเธอก็ได้"
ทั้งห้าคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน หนิวเถียจู้ หลินเผิงเฟย และคนนอกนั่งอยู่ตรงข้าม ส่วนหมี่หลันเยว่นั่งอยู่ข้างพี่ชายและเฉียนหย่งจิ้น พอได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น เธอก็ไม่เกรงใจ ไม่อย่างนั้น ถ้าให้เธอทนไปแบบนี้วันครึ่ง เธอคงจะแย่ กว่าจะต้องไปต่อรถอีก
"ก็ได้ค่ะ งั้นฉันนอนจริงๆ แล้วนะ ไม่อย่างนั้น ถ้าถึงสถานีฮาร์บินแล้วให้ฉันไปต่อรถอีก คงไม่มีแรงแน่ๆ"
หมี่หลันหยางช่วยน้องสาววางกระเป๋าสะพายไว้บนที่นั่ง แถมยังปูเสื้อผ้าไว้้า เพื่อให้น้องสาวนอนหลับสบายขึ้น
ส่วนเขากับเฉียนหย่งจิ้นก็เลื่อนตัวไปข้างหน้า นั่งแค่ตรงปลายก้นบนเก้าอี้
"พวกนายสองคนเหยียบเท้าบนที่นั่งฝั่งพวกเราได้เลย ตัวจะได้ไม่ขยับ"
หลินเผิงเฟยและหนิวเถียจู้ที่อยู่ตรงข้ามกันก็ขยับขาให้เฉียนหย่งจิ้นและหมี่หลันหยางมีที่เหยียบเท้า
พวกผู้ชายร่างกายแข็งแรงกว่า ทนทานกว่าหมี่หลันเยว่เยอะ ถึงหมี่หลันเยว่จะนอนมาตลอดทาง แต่พอถึงสถานีฮาร์บิน ในบรรดาคนที่ลงจากรถ มีแค่หมี่หลันเยว่เท่านั้นที่ดูอ่อนเพลีย ส่วนหนุ่มๆ ที่เหลือยังกระปรี้กระเปร่ากันดี
"ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพวกพี่เอาเรี่ยวแรงมาจากไหนเนี่ย เขย่าไปเขย่ามาตลอดทางแบบนี้ มันทรมานจริงๆ"
หมี่หลันเยว่ไม่พอใจที่คนอื่นกระปรี้กระเปร่า แต่ตัวเองกลับอ่อนเพลีย
"เธอนี่มันคุณหนูจริงๆ มีที่นั่งก็นับว่าดีแล้ว ไม่เห็นเหรอว่ายังมีคนที่ยืนมาตลอดทางเลย"
พอโดนพี่ชายดุ หมี่หลันเยว่ก็ได้แต่ฟัง เธอก็เห็นจริงๆ ว่าคนที่ซื้อตั๋วยืนมา ลำบากขนาดไหน คิดถึงคนที่เดินทางในสมัยนี้แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถ้าไม่จำเป็จริงๆ ก็ไม่มีใครอยากเดินทางไกล
"พี่คะ รอบนี้เชื่อฉันเถอะนะ เราต้องซื้อตั๋วรถนอน จะได้ไปถึงปักกิ่งแบบสดชื่น"
หมี่หลันหยางอยากจะบอกว่า มีแค่เธอคนเดียวที่ไม่สดชื่น แต่พอเห็นว่าน้องสาวดูไม่ค่อยมีแรงจริงๆ สุดท้ายก็ยอมซื้อตั๋วรถนอนห้าใบ ทำเอาเขาแอบเสียดายเงินอยู่เหมือนกัน
"พี่คะ เขาว่ากันว่าไม่ยอมเสียเหยื่อแล้วจะจับหมาป่าได้ยังไง [1] ถ้าพี่ไม่ยอมจ่ายเงิน ก็จะคิดแต่จะหาเงินมาใช้หนี้ เพราะถ้าพี่ไม่ขยันหาเงิน เงินมันก็จะหมดไป พี่รู้ไหมว่าคนเรามันี้เี ถ้ามีเงินอยู่ในมือ ก็ไม่อยากจะดิ้นรนแล้ว"
"หรือว่าพี่อยากจะใช้ชีวิตแบบประหยัดไปทุกเื่ ใช้เงินแต่ละบาทก็ต้องคิดแล้วคิดอีก ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันอยากจะเหนื่อยหน่อย หาเงินให้เยอะๆ แล้วค่อยใช้ชีวิตให้มีความสุข อยู่บ้านหลังใหญ่ ขับรถส่วนตัว ไปเที่ยวต่างประเทศ ชีวิตแบบนี้ถึงจะเรียกว่าไม่เสียชาติเกิด"
ความคิดของหมี่หลันเยว่แบบนี้ เพิ่งจะพูดออกมาเป็ครั้งแรก หนุ่มๆ ทั้งสี่คนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ความตื่นเต้นที่ค่อยๆ ฉายออกมาบนใบหน้ากลับเผยให้เห็นความรู้สึกของพวกเขา เพราะภาพที่หมี่หลันเยว่วาดไว้มันช่างเย้ายวนใจจริงๆ
"หลันเยว่ พวกเราจะมีบ้าน มีรถเป็ของตัวเองได้จริงๆ เหรอ พวกเราจะไปเที่ยวต่างประเทศได้จริงๆ เหรอ"
หนิวเถียจู้ถามอย่างไม่แน่ใจ ในใจรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
"แน่นอนสิ แค่พวกเราทำธุรกิจของตัวเองให้ดี เื่พวกนี้มันเื่เล็ก เดี๋ยวพอพวกพี่รวยขึ้นมา จะได้กินโต๊ะจีนราคาหมื่นสองหมื่น ตีกอล์ฟครั้งละแสนกว่า นั่นมันเื่ธรรมดา"
โต๊ะจีนราคาหมื่นสองหมื่น ตีกอล์ฟครั้งละแสนกว่า? นี่มันคือชีวิตที่พวกเขาจะได้ััเหรอ ใบหน้าของหนุ่มๆ ทั้งสี่คนเริ่มแดงก่ำ พวกเขาไม่ได้ใฝ่ฝันถึงการใช้ชีวิตระดับนั้นจริงๆ แต่พวกเขารู้ว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นได้ หมายถึงสถานะทางสังคมที่พวกเขาจะได้ไปถึง
"หลันเยว่ ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งที่เธอพูดมาจะเป็จริงได้ แค่พวกเราพยายามแล้ว ดิ้นรนแล้ว ทุ่มเทความกระตือรือร้นลงไป พวกเราก็จะได้รับผลตอบแทน ไม่มีใครหรอกที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์ทิ้งเปล่าๆ"
หมี่หลันหยางกำหมัดแน่น ชกไปในอากาศอย่างแรง
"แน่นอน ความพยายามของใครก็ไม่สูญเปล่าหรอก แถมพวกเราไม่ได้อยู่คนเดียว ความสามัคคีของทุกคนจะต้องนำพาไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอน"
เฉียนหย่งจิ้น หลินเผิงเฟย และหนิวเถียจู้ก็มีความมั่นใจเช่นเดียวกัน
"ดังนั้น ทุกคนสู้ๆ นะ หวังว่าการเดินทางไปปักกิ่งของพวกเรา จะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง"
แน่นอนว่าจะไม่ผิดหวัง เพราะพวกเรายังหนุ่ม ยังมีเวลาให้ดิ้นรนสี่ปีในปักกิ่ง พวกเราจะไม่กลับบ้านมือเปล่าอย่างแน่นอน
บางที การสร้างอาณาจักรธุรกิจอาจจะไม่ใช่เื่ง่าย แต่พวกเราจะไม่ยอมแพ้ ตราบใดที่ยังทุ่มเท ก็ต้องมีผลตอบแทน เมืองซวงเฉิงก็สร้างอุตสาหกรรมจากไม่มีอะไรเลยไม่ใช่เหรอ มีอะไรที่ทำไม่ได้ ตราบใดที่ไม่ยืนอยู่กับที่ ตราบใดที่ยังพยายามเดินไปข้างหน้า ความสำเร็จก็จะกลายเป็ความจริงด้วยความพยายามทีละก้าวของพวกเรา
"ไปซื้อตั๋วรถนอนกันเถอะค่ะ พี่ๆ"
หนุ่มๆ ต่างพร้อมใจกันะโ ใช่ ไปซื้อตั๋วรถนอนกันเถอะ ให้พวกเรานอนหลับฝันดีบนเส้นทางสู่โลกอนาคต ให้พวกเราใช้ชีวิตอย่างหรูหราบนเส้นทางแห่งการเดินทาง
เชิงอรรถ
[1] ไม่ยอมเสียเหยื่อแล้วจะจับหมาป่าได้ยังไง (舍不得孩子套不着狼) หมายถึง ถ้าไม่ยอมเสียสละสิ่งเล็กๆ ก็จะไม่ได้สิ่งใหญ่กลับมา
