ถ้าหลินไห่มีตราประทับประตูปิดผนึกที่ระหว่างคิ้วของเขา นั่นหมายความว่าพ่อของหลินเฟิงมีความขัดแย้งกับสมาชิกตระกูลต้วน
ก่อนจะออกจากเมืองหยางโจว หลินไห่ได้บอกกับหลินเฟิงว่าเขากำลังไปที่เมืองหลวง…
ความทรงจำของหลินเฟิงยุ่งเหยิงเล็กน้อย บิดาของเขากับตระกูลต้วนมีความแค้นต่อกัน? แล้วที่บิดาไปยังเมืองหลวง ก็ไม่ได้ไปเที่ยวอย่างที่เขาคิดน่ะสิ!!!
“ไม่แน่ว่าท่านพ่ออาจจะพบอันตราย ข้าจะต้องไปที่เมืองหลวงแล้วตามหาเขา”
หลินเฟิงไม่รู้ว่าทำไมพ่อของเขาถึงมีความขัดแย้งกับตระกูลต้วน แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ก็คือตามหาบิดาให้พบ แล้วสอบถามเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทันใดนั้นหลินเฟิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า พ่อของเขาไม่เคยเล่าเื่ราวเกี่ยวกับแม่ของเขาเลย เื่นี้ชักจะมีลับลมคมนัยเสียแล้ว
“หลินเฟิง”
เมิงฉิ่งมองหลินเฟิงและเห็นหลินเฟิงมีท่าทีแปลกๆ ซึ่งเป็เหตุผลที่ทำให้นางเรียกเขา หลินเฟิงที่กำลังคิดฟุ้งซ่านก็พลันดึงสติกลับมา ในใจของหลินเฟิงรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะถามว่าต้วนเฟิงว่า “ต้วนเฟิง พวกเราจะไปถึงเมืองหลวงเมื่อไร?”
“ถ้าพวกเราเดินทางด้วยความเร็วเท่านี้และไม่พบอุปสรรคใดๆ อย่างน้อยน่าจะ 5 - 6 วัน”
“ข้าจะอาสาขับรถม้าเอง เพื่อให้จิ้งหยุนได้พักผ่อนสักหน่อย ด้วยวิธีนี้มันน่าจะทำเวลาได้เร็วขึ้น”
หลินเฟิงกล่าว ถึงแม้ว่าต้วนเฟิงจะไม่รู้ว่าหลินเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็พยักหน้า ในใจก็นึกสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมพอหลินเฟิงเห็นประตูปิดผนึกของเขา ถึงได้ทำตัวแปลกๆ ไป?
แต่ในเมื่อหลินเฟิงไม่พูด ต้วนเฟิงก็ไม่คิดที่จะถาม
ต้วนเฟิงกล่าวได้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะเดินทั้งวันทั้งคืนด้วยความเร็วสูงสุด แต่พวกเขาก็ไปถึงเมืองหลวงในวันที่ 6 อยู่ดี
นอกจากนี้พวกเขายังเปลี่ยนเส้นทางในการเดินทาง ทำให้พวกเขาไม่เจออุปสรรคใดๆ บางทีอาจจะเป็เพราะว่าไม่มีใครรู้ตำแหน่งของต้วนเฟิงเลย ทำให้การเดินทางของพวกเขาราบรื่น
เมืองหลวงกว้างใหญ่ไพศาลมาก และด้านนอกก็ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงปิดตาย ถ้าหากจะเข้าไปในเมืองหลวง จะต้องเข้าทางประตูหลักเท่านั้น
ประตูทางเข้านั้นเป็ประตูที่มีขนาดใหญ่และทำมาจากสัมฤทธิ์ นอกจากนี้ประตูยังสูงกว่าสิบเมตร ้าของประตูมีพลทหารถือหอกหลายคนยืนอยู่
เมืองหลวงถูกรายล้อมไปด้วยคูน้ำขนาดใหญ่ มีเพียงสะพานหินแห่งนี้เท่านั้นที่ทอดยาวไปถึงเมืองหลวง พวกเขาต้องข้ามสะพานหินขนาดใหญ่เพื่อเข้าสู่เมืองหลวง
แต่อย่างไรก็ตามประตูทางเข้าของเมืองหลวงมีการป้องกันที่หนาแน่นมาก ประตูหลักจะเปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
แต่นักเดินทางก็ไม่ได้โอดครวญอะไรนัก เพราะว่านอกเมืองหลวงยังมีเมืองเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาคารและสิ่งปลูกสร้างอีกมากมาย มิหนำซ้ำอาณาเขตของมันยังสามารถบรรจุคนได้หลายหมื่นคน สมแล้วที่เป็เมืองที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง
ในขณะนั้นรถม้าของพวกเขาได้มาถึงนอกเมืองหลวงแล้ว หลินเฟิงเป็คนขับรถม้า พวกเขาแวะพักที่เมืองนี้ก่อน แล้วค่อยเดินทางไปยังเมืองหลวง ในเมืองนี้มีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย เป็เมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ หลินเฟิงคิดว่าเมืองนี้มีบรรยากาศที่ดีกว่าเมืองหยางโจวมากนัก
“คนเยอะจริงๆ!”
เมิงฉิ่งกล่าวขณะเปิดม่านในรถม้าและมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ก็ที่นี่เป็เมืองที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมาย” หลินเฟิงกล่าวขณะหัวเราะ หลินเฟิงมั่นใจว่าที่มีผู้คนมากมายขนาดนี้ เป็เพราะพวกเขาหลายคนต่างหวังว่าตัวเองจะถูกเลือกให้ฝึกฝนในลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
สำหรับพลเมืองแล้ว ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อาจเป็การพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเสวี่เยว่ก็ได้
ตอนนี้ทุกคนยังไม่ตระหนักว่าในรถม้าเล็กๆ คันหนึ่งที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่กลางถนนนั้น มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและสง่างามผู้หนึ่งจะเป็ผู้เปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ในอนาคต ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเลยทีเดียว
“เมิ่งฉิง เ้าต้องเหนื่อยแน่ๆ หลังจากเดินทางไกล ประตูมันยังไม่เปิด พวกเราควรจะพักสักหน่อยและหาอะไรกินกัน”
หลินเฟิงหยุดรถม้าใกล้ๆ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เมื่อต้วนเฟิงและจิ้งหยุนเดินลงมาจากรถม้า ทั้ง 4 คนก็เข้าไปในร้านอาหาร ตรงกลางของร้านอาหารมีต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกปลูกไว้ ทำให้ชั้นบนของภัตตาคารว่างเปล่า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะเห็นชั้นสองได้อย่างชัดเจน ในนั้นมีผู้คนหลายคนกำลังดื่มน้ำชาหรือไม่ก็เหล้ากันอยู่
พวกเขามุ่งหน้าไปที่บันไดไม้ทันที และเดินขึ้นไปยังชั้นที่สอง เพราะชั้นแรกมันแออัดมาก แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจก็คือ แม้ว่าร้านอาหารแห่งนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนแต่มันก็เงียบสงบมาก ถึงมันจะมีผู้คนมากมายแต่พวกเขาไม่ได้พูดเสียงดังจนเกินไป ทำให้สามารถได้ยินเสียงดนตรีที่กำลังเล่นอยู่ชั้นแรกได้
“ร้านอาหารชิงซิน ช่างเงียบสงบสมชื่อจริงๆ” หลินเฟิงกระซิบ ถึงแม้ว่าร้านอาหารชิงซินแห่งนี้จะไม่หรูหรา แต่มันก็ยังดูสง่างามและสะอาดมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายตา โดยเฉพาะบรรยากาศที่เงียบสงบและเจือไปด้วยกลิ่นอายโบราณ ยิ่งเสริมให้ร้านอาหารแห่งนี้ยิ่งสง่างามมากขึ้น
“พี่หลินเฟิง ตรงโน้นมีโต๊ะว่าง พวกเราช่างโชคดีอะไรอย่างนี้”
ต้วนเฟิงสังเกตเห็นโต๊ะใกล้หน้าต่างกำลังว่างอยู่ จึงเดินนำไปนั่งที่โต๊ะนั้น
“ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาถามขณะยิ้มให้ทั้งสี่คน
“นำเหล้ามาสองกาและชาอีกหนึ่งกา เอาแบบดีที่สุดด้วย แล้วก็เอากับแกล้มมาสักสองสามอย่าง”
หลินเฟิงสั่งอาหารอย่างรวดเร็ว ในโลกที่แล้วเขาไม่เคยลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพดี แต่ตอนนี้เมื่อมีโอกาสเขาก็อยากจะลองมัน
“โปรดรอสักครู่” เสี่ยวเอ้อกล่าวก่อนจะเดินจากไป
หลินเฟิงกำลังฟังคนอื่นสนทนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกระซิบเสียงเบาแค่ไหน แต่ด้วยพลังในขอบเขตแห่งจิติญญา ทำให้ประสาทการได้ยินของเขาพัฒนาขึ้นมาก อย่างไรเสียก็คงไม่มีใครนำความลับของตัวเองมาเปิดเผยในที่สาธารณะหรอก
ดูเหมือนทุกคนกำลังพูดถึงเื่เดียวกัน คือลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ นอกจากนี้หลินเฟิงยังได้ยินบางคนพูดถึงองค์รัชทายาทและองค์ชายสอง
“พี่หาน ท่านกำลังจะบอกว่านิกายหยุนไห่ถูกทำลายลงแล้วอย่างนั้นหรือ? แล้วใครได้ประโยชน์จากการทำลายนิกายหยุนไห่กัน?”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงพูดเสียงหนึ่งได้ดึงดูดความสนใจของหลินเฟิง น่าแปลกใจที่มีใครบางคนกำลังพูดถึงนิกายหยุนไห่อยู่
“นิกายหยุนไห่และนิกายเฮ่าเยว่ไม่ค่อยลงรอยกัน พวกเขาขัดแย้งกันมาหลายปีแล้ว ดังนั้นการที่นิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายลงจึงเป็เื่ที่ดีสำหรับนิกายเฮ่าเยว่ กระทั่งหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานและนิกายหมื่นอสูรก็ยังได้รับศิษย์เป็จำนวนมาก ที่ตรงตามเงื่อนไขของพวกเขา การล่มสลายของนิกายหยุนไห่ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่นิกายเฮ่าเยว่ แต่เป็ต้วนเทียนหลาง หรือจะพูดได้ว่าต้วนเทียนหลางคือผู้ชนะ”
“ฮ่าๆ พี่หาน ท่านพูดถูก ดังนั้นต้วนเทียนหลางถึงได้ไปทำลายนิกายหยุนไห่ด้วยตัวเอง นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับคนที่ปฏิเสธการส่งศิษย์ที่โดดเด่นไปยังลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ต้วนเทียนหลางแข็งแกร่งจริงๆ”
สองคนนี้คุยโวโอ้อวดเสียงดัง และในน้ำเสียงของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ในขณะนั้นมีหลายคนหยุดพูดและเริ่มจ้องมองไปที่พวกเขาทั้งสองที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กำลังจ้องมองมาที่พวกเขาอยู่ พวกเขาจึงหยุด
“ไร้สาระ” ทันใดนั้นก็มีเสียงใสๆ ดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันกลับไปมอง และเห็นเงาร่างสามเงากำลังเดินขึ้นมาอย่างเชื่องช้า คนที่เดินนำมาเป็สตรีคนหนึ่ง นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวที่ดูหรูหรา ในมือยังถือแส้สีดำมาด้วยเส้นหนึ่ง
ด้านหลังของนางมีผู้ชาย 2 คน เดินตามมาเงียบๆ
“เป็แค่กบในกะลาแท้ๆ แต่กลับทำตัวราวกับเป็ผู้รู้ทุกอย่าง ไร้สาระจริงๆ”
น้ำเสียงของนางดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สีหน้าของสองคนนั้นพากันแข็งทื่อ ก่อนจะกล่าวอย่างโมโหว่า “คนหนุ่มสาวสมัยนี้ ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรพูดและอะไรไม่ควรพูดเสียจริง หุบปากไปเสียก่อนที่เ้าจะทำให้ตัวเองขายหน้า”
“ตบปากมัน”
ผู้หญิงคนนั้นกล่าว ทันใดนั้นคนที่อยู่ด้านหลังของนางก็พุ่งเข้าไปตบปากชายที่พูดจาไม่เข้าหูนาง จนร่างของเขาปลิวไปกระแทกกำแพงและกระอักเืออกมา
“ต้วนเทียนหลางก็แค่ทำลายนิกายหยุนไห่เท่านั้นเอง ส่วนนิกายใหญ่อื่นๆ ก็ได้แค่เคล็ดวิชาบางส่วนไป ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาที่นั่นจะดี แต่กองกำลังที่ร่วมทำลายนิกายหยุนไห่ ไม่มีใครได้เคล็ดวิชาระดับเดียวกับเรา อีกทั้งคนทรยศล้วนแสดงความจริงใจออกมา พวกเขายอมละทิ้งนิกายหยุนไห่เพื่อมาเข้าร่วมกับพวกเรา ด้วยจำนวนคนที่เยอะเกินไป ทำให้พวกเราจำต้องคัดคนออกไปบ้าง ดังนั้นพวกนิกายที่เหลือก็แค่เอาส่วนเหลือๆ ของพวกเราไป”
หญิงสาวกำลังจ้องมองไปที่ผู้ชายอีกคน ทำให้ชายผู้นั้นมีสีหน้าไม่ค่อยดี เขาทำได้เพียงฟังผู้หญิงคนนี้พูด และไม่กล้าขัดขืนหรือปฏิเสธคำพูดของนาง ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือพยักหน้าเออออตามนางไป
“ที่นิกายใหญ่ทุกนิกายยอมส่งเสริมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ไม่ได้เป็เพราะผลประโยชน์ที่ได้รับ แต่เป็เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีจุดจบเหมือนนิกายหยุนไห่ ดังนั้นจึงยอมจำนนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้ราชวงศ์กำลังแสดงความเมตตาอยู่ และใช้ข้ออ้างมาทำลายนิกายหยุนไห่ ก็เพื่อทำให้พวกเขาได้ตระหนักรู้ว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า”
“ในเมื่อทำลายนิกายหยุนไห่ได้ นิกายอื่นๆ ก็คงอีกไม่นานเช่นกัน อาณาจักรเสวี่ยเยว่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีเพียงตระกูลต้วนเท่านั้นที่มีอำนาจมากที่สุดในอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็ขุมอำนาจใดก็ต้องยอมสยบให้กับราชวงศ์!!!”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นกล่าวก็แสยะยิ้มออกมา สิ่งที่นางพูดเป็เื่จริงบางส่วน แต่ก็มีบางส่วนที่นางพูดเกินจริง
“ในเมื่อราชวงศ์แข็งแกร่งขนาดนั้น แล้วทำไมถึงต้องร่วมมือกับนิกายอื่น เพื่อทำลายนิกายเดียว? ทำไมไม่จัดทัพบุกเดี่ยวเข้ามาเลยล่ะ???”
เสียงใสๆ ที่ดังขึ้นมาทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เพราะคนที่พูดออกมาก็คือจิ้งหยุน ถึงแม้ว่านิกายจะถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ในใจของนางก็ยังคงภักดีต่อนิกายหยุนไห่ ดังนั้นน้ำเสียงของนางจึงห้วนอย่างเห็นได้ชัด
ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ หันหลังกลับมาช้าๆ และจ้องมองไปที่จิ้งหยุน ดวงตาของนางฉายแววเ็าขณะที่พูดว่า “พูดได้ดี เสียแต่หาที่ตายไปหน่อย คนปากดีแบบเ้าล้วนถูกทำลาย!!!...”
พูดจบ เสียงลมก็ดังขึ้น แส้สีดำในมือของนางได้พุ่งทะยานไปหาจิ้งหยุนอย่างรวดเร็วราวกับอสรพิษ
เมื่อหลินเฟิงเห็นผู้หญิงคนนั้นกำลังโจมตีมาที่จิ้งหยุน เขาก็หรี่ตาลงก่อนจะยื่นมือไปจับแส้สีดำที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “นางก็แค่พูดไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง เ้าไม่ควรลงมือกับนาง”
“บางคำพูดก็ไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ และในเมื่อพูดออกมาแล้ว ก็มีราคาที่ต้องจ่าย เพราะตัวคนพูดไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวแบบนี้ออกมา!”
ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างเ็า “แม้แต่เ้าเอง! ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดเช่นกัน!!!”
