“จ้านอู๋มิ่ง…เขาคือจ้านอู๋มิ่ง…เร็ว...เร็ว ข้าเป็ผู้หาเขาพบ…”
จ้านอู๋มิ่งกำลังขับนาวาปราณจิติญญาชั้นต่ำที่เขาซื้อมาอย่างสบายๆ มุ่งหน้าสู่ใจกลางน่านน้ำมหาสมุทร สถานพำนักของคุนเผิง ทันใดนั้น เสียงร้องด้วยความตื่นเต้นยินดีก็แว่วขึ้นมาจากด้านหลัง จ้านอู๋มิ่งตะลึงงันคราหนึ่ง ตนกลายเป็ที่รักของผู้คนไปั้แ่เมื่อใด ทุกคนเห็นแล้วจึงล้วนพากันตื่นเต้นมากถึงขนาดนี้
ก่อนออกจากเกาะแห่งนั้น จ้านอู๋มิ่งได้รับข้อมูลทั้งหมดที่เฉวียนหรูเซินรู้ เขามิได้ฆ่าเฉวียนหรูเซินจริงๆ ผู้ที่ฆ่าเฉวียนหรูเซินคือพยัคฆ์ดำนรกานต์ ถูกสัตว์อสูรของตนเองปลิดชีพน้อยๆ ไป ก็มินับว่าจ้านอู๋มิ่งผิดสัญญาแต่อย่างใด สำหรับแหวนจักรวาลของเฉวียนหรูเซิน จ้านอู๋มิ่งพึงพอใจยิ่งนัก กล่าวถึงที่สุดแล้วก็เป็ถึงสิบราชันพั่วเหยียน ทรัพย์สมบัติอย่างไรก็ต้องแตกต่าง เปรียบได้กับทรัพย์สมบัติของหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่สองพี่น้องรวมกัน สิ่งที่ทำให้จ้านอู๋มิ่งพึงพอใจมากที่สุดคือในแหวนจักรวาลกลับมีลูกแก้วพลังแก่นแท้จิติญญาถึงสามลูก สิ่งของนี้นับเป็สมบัติวิเศษที่ประเมินค่ามิได้เลยทีเดียว
จ้านอู๋มิ่งจอดเรือเหาะ เขาไม่เข้าใจว่าไฉนคนพวกนี้พอเห็นตนจึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ ถึงกับะโด้วยความตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
“เ้าคือจ้านอู๋มิ่ง?” เรือเหาะที่อยู่ข้างหลังตามจ้านอู๋มิ่งจนทันอย่างรวดเร็ว หยุดห่างจากเขาไม่ไกลนัก ชายร่างใหญ่กำยำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้หนึ่งถามขึ้นเสียงดัง
“เ้ารู้จักข้า?” จ้านอู๋มิ่งรู้สึกภาคภูมิใจ ตนกลายเป็คนดังเช่นนี้ไปแล้วั้แ่เมื่อใดกัน ไปถึงที่ใดล้วนแต่มีคนรู้จักตน
“เ้าก็คือจ้านอู๋มิ่งมิผิดพลาด ประเสริฐยิ่งแล้ว น้องสาม ครั้งนี้เราจะได้รับการยกระดับสองขั้นติดต่อกันแล้ว หลังจากกลับไปแล้วยังสามารถลองรั้งตำแหน่งเ้าเมืองดูสักครั้งอีกด้วย!” ชายร่างใหญ่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้นั้นหัวเราะลั่น พูดกับชายร่างผอมคล้ายลำไม้ไผ่ข้างกายอย่างเบิกบานสำราญใจ
“พี่ใหญ่ พวกเราจะแจ้งให้ราชันโอสถทราบได้อย่างไร?” สตรีท่าทางยั่วยวนบนเรือเหาะถามขึ้นอย่างสงสัย
“หมายความว่าอย่างไร?” จ้านอู๋มิ่งตะลึงไปแล้ว
เกิดเื่ใดขึ้นกับคนกลุ่มนี้? บนเรือเหาะมีทั้งหมดห้าคน บุรุษสามคน สตรีสองคน ทั้งหมดล้วนมีฐานบ่มเพาะราชันา สตรีสองคนมีเค้าหน้าอันเย้ายวน สายตาที่มองจ้านอู๋มิ่งหว่านเสน่ห์ชวนหลงใหล ราวกับ้ากลืนกินจ้านอู๋มิ่งเข้าไปในคำเดียวก็ปาน แรกเห็นก็ทราบแล้วว่ามิใช่สตรีที่ดีเท่าใดนัก
“มิต้องแจ้งราชันโอสถแล้ว จับเ้าหนูนี่ไปส่งให้ราชันโอสถโดยตรงก็แล้วกัน มิแน่ว่าบางทีราชันโอสถยินดีขึ้นมา อาจให้โอสถพวกเราเพิ่มอีกเม็ดก็ได้นะ!” ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้นั้นกล่าวเสียงหยาบกระด้าง แล้วหันหน้ากลับมาพูดกับจ้านอู๋มิ่งว่า “ไอ้หนู เ้าตามข้าไปเถอะ นายใหญ่เช่นข้าอารมณ์ดียิ่ง จะไม่สร้างความลำบากให้เ้า”
“พวกเ้าคือใคร?” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งดูงวยงง คนพวกนี้พูดพล่ามกล่าววาจา ทำให้เขาสับสนขึ้นมาแล้ว
“พวกเราคือปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซี น้องชายน้อยจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามพวกเรามาบ้างกระมัง? ตามพี่สาวไป พี่สาวจะดูแลเ้าเป็อย่างดีเชียว” สตรีเ้าชู้คนนั้นแอ่นอกอวบอูมขึ้น พูดด้วยเสียงอ่อนหวานหว่านเสน่ห์
“ปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซี?” จ้านอู๋มิ่งแทบจะอาเจียนออกมา ด้วยภาพลักษณ์เช่นห้าคนนี้ ยังถึงกับกล้าเรียกตัวเองว่า "ปราชญ์" อีก สตรีสองนางนั้นรูปร่างหน้าตายังนับว่าใช้ได้อยู่ มีบุคลิกภาพที่สง่างาม เค้าหน้าสะสวย จัดอยู่ในระดับกลางขึ้นไป สตรีที่ฝึกฌานบ่มเพาะพลัง น้อยคนนักที่จะดูน่าเกลียดขัดตา
จ้านอู๋มิ่งอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและถามว่า “พวกเ้ามีเงินทองติดตัวหรือไม่?”
คำถามไร้ต้นสายปลายเหตุของจ้านอู๋มิ่งทำให้ปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีรู้สึกประหลาดใจ ต่างมองหน้ากันและกัน รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ชายวัยกลางคน ร่างผอมแห้งผู้หนึ่งที่ดูฉลาดอยู่บ้าง ยิ้มแล้วตอบกลับ “ย่อมต้องมีเงินทอง พวกเราปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีมีเงินทองมากมายยิ่ง พวกเราคือยอดนักปราชญ์ทั้งห้าที่ฐานะร่ำรวยมั่งคั่ง ผู้ใดมิทราบบ้างเล่า เ้าตามพวกเราไป ข้านำเ้าไปหยิบฉวย…”
“มีเงินทองหรือ นั่นก็ประเสริฐแล้ว มิฉะนั้นก็จะไม่คุ้มค่าเกินไปที่มาสิ้นเปลืองคารมมากมายกับคนบ้ากลุ่มหนึ่ง!” จ้านอู๋มิ่งรำพึงกับตนเอง
เมื่อจ้านอู๋มิ่งเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาพูดว่า “ในเมื่อพวกเ้ามีเงินทอง เช่นนั้นพี่ชายก็ถือโอกาสปล้นชิงสักครั้ง มอบข้าวของมีค่าที่ติดตัวพวกเ้าทั้งหมดออกมาให้ข้า ผู้ชายอนุญาตให้เหลือเพียงแต่กางเกงเท่านั้น ผู้หญิงสามารถเหลือเสื้อคลุมได้อีกชุดหนึ่ง พี่ชายไม่มีเวลาจะลงมือค้นด้วยตนเอง รีบมอบออกมาให้ข้าเร็วๆ หน่อย!”
พลันสีหน้าของปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีแปรเปลี่ยนไปแล้ว นี่มันอะไรกัน ถือโอกาสปล้นชิงสักครั้งอะไรกัน เสียสติไปแล้วหรือไร ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ ผู้หนึ่ง ถึงกับบังอาจกล่าววาจาเช่นนี้กับพวกเขาทั้งห้าคน ควรทราบว่าพวกตนทั้งหมดห้าล้วนเป็ราชันาเชียวนะ!
“ไอ้หนู เมื่อครู่เ้าพูดว่ากระไรนะ? ข้านายใหญ่มิได้ฟังผิดหรอกกระมัง?” ชายใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้นั้นพูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
“เ้าหูหนวกไปแล้วหรือไร? กล่าววาจาไร้สาระใดกับพี่ชายกันเล่า ยังมัวพล่ามถึงปราชญ์ทั้งห้าอะไรนั่นอีก ไม่สำรวจข้อบกพร่องของตัวเองเสียบ้างเลย รีบเอาข้าวของมีค่าติดตัวทั้งหมดให้ข้า!” จ้านอู๋มิ่งหงุดหงิดแล้ว คนพวกนี้มิให้ความร่วมมือเกินไปแล้ว
“ฮ่า ฮ่า…”
“คิก คิก…” ทั้งห้าคนบนเรือฝั่งตรงข้ามหัวเราะจนเรือเกือบพลิกคว่ำไปแล้ว พวกเขาพากันชี้นิ้วไปทางจ้านอู๋มิ่ง ผู้ชายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ผู้หญิงหัวเราะอย่างมีจริต พวกเขาต่างรู้สึกว่าไอ้หนูตรงหน้าผู้นี้น่าสนใจยิ่ง พูดจาหยอกล้อจนเลยเถิดเกินไปแล้ว แต่ว่าเพียงมินานเสียงหัวเราะของพวกเขาก็ต้องหยุดชะงักลงแล้ว
ชายหนวดเครารุงรังดูคล้ายกับเป็ดที่ถูกบีบคอไว้ตัวหนึ่ง จู่ๆ เสียงก็ขาดหายไป เพราะเขาไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลย มือข้างหนึ่งกำลังบีบลำคอเขาไว้แน่น ชายหนุ่มที่เมื่อครู่ยังอยู่ห่างไกล ยามนี้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาหัวเราะจนเพลินมากเกินไป จึงมิทันได้เห็นชัดเจนว่าจ้านอู๋มิ่งวิ่งขึ้นมาบนเรือของพวกเขาได้อย่างไร
“ตลกมากใช่หรือไม่?” เสียงของจ้านอู๋มิ่งเยียบเย็นยิ่ง เย็นะเืเสียจนปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีรู้สึกสั่นสะท้านในใจ
นี่เขาเป็ปรมาจารย์นักยุทธ์ประเภทใดกัน ปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับสูงสุดผู้หนึ่งสามารถรวดเร็วจนพวกเขามองมิทันเลยหรือ? พี่ใหญ่ยังมิทันได้ลงมือด้วยซ้ำ ลำคอก็ถูกบีบเอาไว้แล้ว พลันพวกเขาพบว่าพวกตนกระทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง คนผู้หนึ่งที่ถูกสามราชันผู้มีชื่อเสียงเพ่งเล็งเห็นความสำคัญ ไหนเลยจะเป็คนธรรมดาที่จัดการง่ายดายได้เล่า?
“อย่าได้มาเล่นหูเล่นตากับพี่ชาย พี่ชายไม่รู้สึกสนใจคนเช่นพวกเ้า ถอดแหวนจักรวาลแล้วนำมามอบให้พี่ชายก็ใช้ได้แล้ว” จ้านอู๋มิ่งเพิกเฉยต่อการหว่านเสน่ห์ของสตรีสองคนบนเรือ พูดจาดูแคลน
สีหน้าของหญิงสาวทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็ไม่น่าดูอย่างยิ่งในทันใด แต่ชายมีเคราใหญ่ตกอยู่ในกำมือของจ้านอู๋มิ่ง พวกนางลังเลใจขึ้นมาแล้ว
“เป็ไอ้สารเลวที่ไม่เชื่อฟังกลุ่มหนึ่งจริงๆ กลับต้องให้ข้าลงมือด้วยตนเอง!” จ้านอู๋มิ่งด่าไปคำหนึ่ง ยื่นมือถอดแหวนของชายเคราใหญ่ออกมา มือข้างหนึ่งบีบลำคอชายเคราใหญ่ไว้ มืออีกข้างค้นตัวของชายเคราใหญ่ หยิบตั๋วทองจำนวนเล็กน้อยออกมาจากสายรัดเอว
ชายเคราใหญ่โกรธเคืองยิ่งนัก แต่ตกอยู่ในกำมือของจ้านอู๋มิ่ง เขาจะขยับเขยื้อนตัวเพียงเล็กน้อยก็ยังทำไม่ได้ มือของจ้านอู๋มิ่งเหมือนเช่นก้อนหินั์ที่ทับอยู่บนร่างกาย เขาถึงกับรู้สึกหายใจมิออก
“เ้า ยังมีเ้าอีก มอบแหวนมาให้ข้า!” จ้านอู๋มิ่งชี้มือไปที่ชายสองคน ด้านหลังชายเคราใหญ่ ตวาดเสียงทุ้มต่ำ
“สหาย อย่าได้เกินเลยไปนัก พวกเราปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีก็มิใช่คนที่ตอแยได้…”
“อ๊ากก…” ชายร่างสูงผอมที่ดูฉลาดเฉลียวยังพูดมิทันจบ ก็ส่งร้องเสียงน่าอนาถออกมาคำหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งโยนร่างชายเคราใหญ่ลงจากเรือเหาะ เตะหนักๆ ใส่ชายร่างผอมสูงเท้าหนึ่ง
ชายร่างผอมใใหญ่หลวง ท่าเตะเท้านั้นดูไม่รวดเร็วนัก ทว่าเขากลับไม่สามารถหลบพ้น ไม่ว่าจะหลบอย่างไร เท้าของจ้านอู๋มิ่งยังคงอยู่ที่นั่นตลอด เหมือนเช่นตนเองเสนอตัวออกไปให้เตะก็มิปาน
“เกินเลย เกินเลย ข้าบอกให้เ้าพูดเกินเลย…” หลังจากจ้านอู๋มิ่งเตะชายร่างสูงผอมนอนลงกับพื้นด้วยการเตะครั้งแรกแล้ว ก็เหมือนพวกอันธพาลที่ต่อสู้กันตามถนน ก้าวไปข้างหน้าก็คือเตะอย่างบ้าคลั่ง เตะไปพลาง ด่าไปพลาง
“โครม…” อันดับสี่ของปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซี เมื่อเห็นว่าอันดับสามถูกไล่เตะไม่มีโอกาสตอบโต้ รีบเร่งพุ่งเข้ามาโจมตีใส่ แต่เขาเพียงแค่เริ่มจะขยับร่างกายเท่านั้น จ้านอู๋มิ่งก็ชกใส่ใบหน้าเขาหมัดหนึ่ง ทำให้อันดับสี่ล้มลงตรงท้ายเรือ อีกนิดเดียวก็ตกลงไปในมหาสมุทรแล้ว
“เพียะ เพียะ…” สองสาวรุกเข้ามาจู่โจมรวดเร็วยิ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้านอู๋มิ่ง กลับเหมือนกับเสนอใบหน้าเข้าไปให้ตบก็ปาน ถูกจ้านอู๋มิ่งตบลงไปสองฝ่ามือ ต้องล้มลงนอนลง
“ผู้ใดบอกให้พวกเ้าไม่เชื่อฟังวาจา เ้าว่าพี่ชายเช่นข้าทำเกินเลยหรือไม่?” เท้าจ้านอู๋มิ่งยังไม่หยุด เตะออกเท้าหนึ่ง ชายร่างผอมสูงก็ส่งเสียงโหยหวนน่าสังเวชครั้งหนึ่ง
ชายร่างผอมสูงเศร้าใจสุดขีด ตนเป็ถึงราชันาผู้มีเกียรติแห่งยุค กลับโดนเตะเท้าหนึ่งจนล้มลงแล้วจากนั้นก็ได้แต่นอนขดเป็ก้อน ปล่อยให้ผู้อื่นเตะตามอำเภอใจ แม้แต่โอกาสตอบโต้ก็ยังไม่มี พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้บนร่างเพิ่งจะรวบรวมขึ้นมา ก็ถูกเตะเท้าหนึ่งจนกระจัดกระจาย รวบรวมขึ้นใหม่ ก็ถูกเตะกระจายอีก ยิ่งรวบรวม ยิ่งถูกเตะกระจุยกระจาย…พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้บนร่างราวกับถูกทำลายแล้วก็มิปาน เท้าของจ้านอู๋มิ่งเตะรุนแรงนัก ความเ็ปเช่นนี้ เขามิได้ประสบมาหลายปีแล้ว
“อืมม…” สตรีทั้งสองคนลุกขึ้นมาได้ก็แทบจะบ้าคลั่ง พวกนางไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อน กลับโดนชายหนุ่มผู้หนึ่งตบลงไปกองกับพื้นในฝ่ามือเดียว แม้กระทั่งตอบโต้ก็ยังไม่มีโอกาส พวกนางบันดาลโทสะจนแทบคลั่งแล้ว แต่ขณะที่พวกนางทะยานไปทางจ้านอู๋มิ่งอีกครั้ง พลันจ้านอู๋มิ่งถลึงใส่พวกนางอย่างดุดันคราหนึ่ง ยกฝ่ามือขึ้นมา ในใจพวกนางก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาทันใด ถึงกับก้าวถอยหลังกลับ
“นั่งลงข้างๆ อย่างเชื่อฟังเสีย อีกสักครู่จึงจะถึงรอบของพวกเ้า!” จ้านอู๋มิ่งคำรามขึ้นคำหนึ่งอย่างดุร้าย แสนอหังการ
สตรีทั้งสองคนสีหน้าซีดเผือด พวกนางพบว่า ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เหมือนเช่นสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง สายตาคู่นั้น น้ำเสียงนั้น ทำให้จิตใจพวกนางล้วนใจนสั่นสะท้าน แม้แต่ความกล้าที่คิดจะต่อต้านขัดขืนก็มิมีแล้ว
“เ้าไม่เกินเลย...ไม่ได้กระทำเกินเลยแม้แต่น้อยนิด อย่าทุบตีอีกเลย ขอร้องเ้าแล้ว!” ชายร่างผอมสูงเอ่ยปากขอร้อง
พลันเขาพบว่าตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้านอู๋มิ่งแปรเปลี่ยนเป็คนธรรมดาที่แสนเปราะบางขึ้นมาทันใด และจ้านอู๋มิ่งก็คือคนพาลที่อาละวาดบนท้องถนนอย่างโหดร้าย
“ไม่ถูกเตะ ไม่รักดีเลยจริงๆ! หากทำเช่นนี้ั้แ่แรก เื่เหล่านี้ก็ล้วนไม่เกิดขึ้นแล้ว” ยามนี้จ้านอู๋มิ่งจึงได้หยุดเท้า ก่นด่าอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก
“ยังไม่รีบนำออกมาเร็วๆ อีก” จ้านอู๋มิ่งเห็นอีกฝ่ายเริ่มอืดอาดลีลา จึงเตะใส่อีกครั้ง
“อั๊ก…ข้าเอาให้ ข้าเอาให้!” อันดับสามแห่งปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีเพิ่งจะรวบรวมพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ขึ้นอย่างเศร้าใจ ก็ถูกจ้านอู๋มิ่งเตะเท้าหนึ่งจนกระจายอีกแล้ว ความรู้สึกเ็ปที่บีบคั้นจิตใจชนิดนี้ ตลอดชั่วชีวิตนี้ เขาไม่้าที่จะประสบพบเจออีกต่อไปแล้ว เขารีบถอดแหวนจักรวาลในมือยื่นส่งให้จ้านอู๋มิ่ง
“อืมม…” จ้านอู๋มิ่งถลึงตาคราหนึ่ง มองดูสายคาดเอวของเขา
ชายร่างผอมสูงอับจนปัญญา ได้แต่นำตั๋วทองและเหรียญทองในกระเป๋าข้างเอว ยังมีทองแท่งหักๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่ง มอบทั้งหมดให้จ้านอู๋มิ่ง
“ไม่เลว ต่อไปคือเ้า” จ้านอู๋มิ่งตบตัวชายร่างผอมสูงคราหนึ่ง ยิ้มและชมเชยเขาคำหนึ่ง ก่อนจะหันไปทางอันดับสี่ของปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซี
อันดับสี่ผู้น่าสงสาร ใบหน้าบวมเป่งราวกับหัวสุกรมิมีผิด เจอเข้ากับหมัดหนึ่งของจ้านอู๋มิ่งเมื่อครู่นี้ จวบจนกระทั่งยามนี้เขาก็ยังไม่ได้สติคืนมา ดาวสีทองระยิบระยับอยู่เบื้องหน้าเขาเต็มไปหมด เขาจินตนาการไม่ออก ภายใต้หมัดของคู่ต่อสู้ พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของตนราวกับว่ามิได้ดำรงอยู่ กระแทกใส่ผิวเนื้อตรงๆ
ในที่สุดทุกคนบนเรือก็ทราบแล้ว ที่พวกตนประสบพบเจอมิใช่แกะน้อยอันใด แต่เป็อภิมหาดาวมฤตยูนั่นเอง ความหยิ่งทระนงที่น่าสงสารของตนเอง ในสายตาผู้อื่นแล้วก็มินับเป็อะไร อยู่ต่อหน้าจ้านอู๋มิ่ง พวกเขากลับไร้พลังแม้แต่จะตอบโต้ ห้าราชันาร่วมมือกัน กลับไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายแม้แต่ครั้งเดียว นี่เขาคือสัตว์ประหลาดชนิดใดกันแน่?
ปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีประสบกับโศกนาฏกรรม แต่ก็ยังโชคดีอยู่ ที่โชคดีนั้นคือจ้านอู๋มิ่งยังเหลือของกินส่วนหนึ่งและทองคำแท่งให้แต่ละคน ผู้ชายเหลือแต่กางเกงตัวเดียว เสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรียังคงครบถ้วน
ปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซีกลายเป็ผู้โชคร้ายทั้งห้าแห่งเหอซีไปในทันใด สำหรับหญิงสาวทั้งสองคนที่คิดจะหว่านเสน่ห์ ทำให้จ้านอู๋มิ่งหลงใหล จ้านอู๋มิ่งมีน้ำใจแสดงความเมตตาเป็พิเศษ เพียงแค่ตีก้นไปสองครั้ง ยังเหลือทองคำให้อีกสองก้อน
เดิมจ้านอู๋มิ่งคิดจะเหลือเหรียญทองให้เพียงเหรียญเดียว แต่นึกได้ว่าตนไปลูบก้นของผู้อื่นแล้ว เหลือเหรียญทองคำเพียงเหรียญเดียวก็ออกจะตระหนี่เกินไป ดังนั้นจึงทิ้งทองคำแท่งไว้ให้ สำหรับเรือเหาะของปราชญ์ทั้งห้าแห่งเหอซี เขาก็คร้านที่จะยึดแล้ว เป็คนต้องมากมีคุณธรรม การปล้นชิงก็ควรหลงเหลือไว้ให้บ้าง ย่อมมิอาจตัดทางถอยของผู้อื่นจนหมดสิ้นหรอกนะ หากปล้นชิงหมดสิ้น กวาดล้างจนเกลี้ยงแล้วครั้งต่อไปจะปล้นใครอีกเล่า?