ยามนี้บรรดาผู้ที่ได้รับพิษร้ายทั้งสิบคนต่างฟื้นคืนสติกันแล้วทั้งสิ้นท่ามกลางความดีใจของทุกคน จากนั้นหวังจิ่งหลงจึงได้เล่าเื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แก่บิดาและผู้าุโทุกคนอย่างละเอียด ยามที่พวกเขารู้ว่าพิษร้ายที่พวกเขาได้รับนั้นเป็ถึงพิษของสัตว์อสูรระดับมายาขั้นสูงถึงสองชนิดรวมไปถึงโอสถสลายิญญาที่ถูกละลายลงในน้ำชาที่พวกเขาได้ยกดื่มไป เพียงเท่านี้กล่าวได้ว่าชีวิตของพวกเขาได้ก้าวย่างเข้าสู่ความตายไปมากกว่าครึ่งเสียด้วยซ้ำ
แต่เพราะความช่วยเหลือจากหลานชายของเขาที่ได้ตกตายไปเมื่อสิบปีก่อน พวกเขาทุกคนจึงรอดจากวิกฤตนี้ได้ในที่สุด ผู้าุโ บางท่านนั้นถึงกับเอ่ยขอโทษหวังจิ่งหลงพร้อมสารภาพตามตรงว่าพวกเขาหลายคนเคยคิดว่าการกระทำของเขานั้นเป็เื่ที่ไม่อาจเป็จริงได้ ด้วยเพราะไม่คาดคิดว่าสมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดตะเกียงสามขาผสานิญญาส่องพิภพ์จะสามารถชักนำกายเนื้อและจิติญญาของอีกฝ่ายให้หวนคืนสู่มหาพิภพเช่นนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
หมอชราชุนหลี่ยังได้บอกกับทุกคนในที่นี้อย่างไม่ปิดบังว่า ด้วยญาณััอันลึกล้ำของนักปรุงโอสถระดับหกที่ถูกเรียนขานสมญานามอัครราจารย์โอสถของเขา ยังไม่อาจััได้ถึงระดับสมญานามนักปรุงโอสถของคุณชายน้อยท่านนี้ได้ มีความเป็ไปได้สองทางคือหนึ่ง อีกฝ่ายได้สมบัติวิเศษระดับสูงที่มีคุณสมบัติปกปิดตัวตนได้อย่างดีเยี่ยม แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตรวจจับยังไม่สามารถรับรู้ได้
ส่วนทางที่สองนั่นคืออีกฝ่ายย่อมมีจิติญญาแห่งนักปรุงโอสถที่เทียบเท่าหรือมากกว่าสมญาปรมาจารย์โอสถหรือนักปรุงโอสถระดับเจ็ด หากเป็เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหวังได้ปรากฎนักปรุงโอสถที่มากไปด้วยความสามารถควรค่าแก่การยกย่องนับถืออย่างแท้จริง
แต่อย่างไรก็ตามด้วยรูปลักษณ์ที่ถูกผ้าคลุมสีดำสนิทปกปิดตัวตนอยู่นั้น จึงทำให้พวกเขาไม่อาจเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายว่าเป็อย่างไร ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูดซับพลังปราณในร่างกายเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้แต่จ้องมองโดยไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดคุยทักอย่างอย่างไรดี
หนิงอ้ายลืมตาขึ้นหลังจากที่ได้ดูดซับโอสถวิเศษและซึมซับลมปราณฟ้าดินไปเกือบหนึ่งชั่วยามส่งผลให้มหาสมุทรทะเลลมปราณในร่างกายของเขาตอนนี้ได้ถูกเติมเต็มกลับมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งแล้ว เมื่อััได้ถึงสายตาจำนวนไม่น้อยที่จับจ้องมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจึงรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย แต่ก็เข้าใจได้ว่าหลังจากที่ผู้าุโท่านอื่นในตระกูลรับรู้ถึงเื่ราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นคงเร่งรีบมายังตำหนักอิงเยว่หลังนี้โดยทันที
“หนิงเอ๋อร์...หลานเป็อย่างไรบ้าง การรักษาด้วยทักษะิญญาเมื่อครู่ได้ส่งผลเสียตกค้างต่อร่างกายหรือไม่??” หวังจิ่งหลงถามด้วยความเป็ห่วง
“ขอบคุณท่านตาที่เป็ห่วงขอรับขอรับ ยามนี้ร่างกายของข้ากลับมาสมบูรณ์พร้อมแล้ว” หนิงอ้ายตอบกลับไป ก่อนจะแผ่ญาณััเพื่อตรวจสอบร่างกายของทุกคนอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพลังปราณค่อย ๆ ฟื้นคืนแล้ว จึงระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ข้ามีนามว่าหวังป๋อเหวินเป็บิดาของท่านตาเ้า...ปู่ทวดขอเป็ตัวแทนขอบคุณการช่วยชีวิตของพวกเราผู้เฒ่าทุกคนในครั้งนี้และยินดีด้วยที่เ้าหวนคืนกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง...” ผู้าุโที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวเมื่อครู่ หากไม่ได้อีกฝ่ายช่วยชีวิตของพวกเขาแล้วตระกูลหวังย่อมเกิดความสูญเสียโดยไม่อาจประมาณได้เสียด้วยซ้ำ
“ข้ายินดีเป็อย่างยิ่งขอรับ...อย่างไรพวกท่านไม่ต้องเป็กังวลใจแต่อย่างใดด้วยโอสถรักษาที่ได้รับไปก่อนหน้า เพียงสองสามวันให้หลังร่างกายของทุกท่านย่อมกลับมาสมบูรณ์พร้อมเหมือนเดิมอีกครั้งและร่างกายจะไม่มีพิษใดตกค้างในร่างกายทั้งสิ้น..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความจริงใจก่อนที่จะก้าวเท้าออกมายังเบื้องหน้า
“หวังหนิงอ้ายขอคารวะคำนับท่านปู่ทวดและผู้าุโทุกท่านขอรับ...” กล่าวจบลงหนิงอ้ายจึงได้ปลดผ้าคลุมที่ปกปิด พร้อมกับยกมือประสานขึ้นด้วยด้วยมารยาทของผู้น้อยที่พึงกระทำ
เมื่อพวกเขาได้เห็นรูปลักษณ์ของหนิงอ้ายมี่ไร้ซึ่งการปกปิดต่างรู้สึกตกตะลึงนิ่งเงียบคงไม่เกินจริงไปนัก ในใจลึก ๆ แล้วแม้จะรู้ดีว่าตระกูลหวังที่เป็เชื้อสายของเผ่าพันธุ์พญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์า
ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอกย่อมมีความงดงามเหนือล้ำไม่ธรรมดาสามัญอยู่แล้ว ยิ่งมีความเข้มข้นของทางสายเืมากเท่าใดยิ่งงดงามมากเท่านั้น ถึงพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงมีความงามอยู่บ้างแต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าของเขานั้นจะงดงามได้มากถึงเพียงนี้
มากไปกว่านั้นกับพวกเขาที่เป็ผู้ฝึกตนระดับสูงย่อมไว ต่อความรู้สึกและญาณััการรับรู้ กลิ่นอายของผู้ฝึกตนราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นที่มีรากฐานบ่มเพาะหนักแน่นของอีกฝ่ายที่ััได้ชวนให้รู้สึกตกตะลึงเสียยิ่งกว่า
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็เพียงชายหนุ่มที่มีอายุราว ๆ ยี่สิบปีแต่กลับระดับพลังิญญาที่สามารถเทียบเท่าหรือมากกว่าผู้าุโบางท่านในที่นี้เสียด้วยซ้ำ ทั้งความเข้มข้นของสายโลหิตของสองสายเืในตัวของหนิงอ้ายที่ได้ประสานไหลเวียนอยู่ได้ตัว ส่งผลให้แม้ไม่ต้องกระทำสิ่งใดทว่ากลิ่นอายความสูงศักดิ์ยังคงแผ่ซ่านสะกดข่มไปทั่วทั้งบริเวณจนต้องเรียกพลังปราณในร่างกายออกมาต้านรับ ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยพลังกดดันเช่นนี้ย่อมสามารถทำให้พวกเขาคงสิ้นสติไปได้อย่างไม่ยากนัก
ผู้าุโทุกท่านที่อยู่ในตำหนักอิงเยว่นี้ล้วนมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในตระกูลทั้งสิ้น ทั้งยังรับทราบถึงประวัติความเป็มาอันยิ่งใหญ่ของตระกูลหวังนี้เป็อย่างดี ดังนั้นเมื่อััได้ถึงแรงกระตุ้นของสายเืในตัวของพวกเขาที่มีความรุนแรงมากถึงเพียงนี้
และด้วยรูปลักษณ์ของหนิงอ้ายให้ความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งหลายรุ่น ที่ยามนี้ได้อาศัยในมิติแดนลับพิสดารอันเป็พื้นที่สุดหวงห้ามของตระกูลหวังแห่งนี้ แม้ไม่กลิ่นอายที่ััได้อาจไม่ลึกล้ำเทียบเท่า แต่หากกล่าวไปแล้วถือว่าในรุ่นเยาว์่วัยเดียวกันนั้นหาได้มีผู้ใดสามารถเปรียบเทียบกับหวังหนิงอ้ายผู้นี้ได้ทั้งสิ้น
“หวังหนิงอ้ายเหลนถือเป็ต้นกล้าชั้นยอดของตระกูลหวังอย่างแท้จริง ด้วยอายุที่น้อยเพียงเท่านี้กลับถือครองพลังปราณระดับเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้นที่แข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นักปรุงโอสถระดับสูงที่มากไปด้วยความสามารถ วันข้างหน้าตระกูลหวังของเราคงต้องพึ่งพาเ้าแล้ว...” หวังป๋อเหวินเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นผู้าุโท่านอื่นก็ได้แวะเวียนเข้ามาพูดคุยทักทายและขอบคุณหนิงอ้ายอีกครั้ง
“แม้ร่างกายจะได้รับการรักษาแล้วก็จริงแต่คิดไปแล้วข้าก็รู้สึกแค้นยิ่งนัก!!! หากไม่ได้หลานช่วยชีวิตของพวกเราตาเฒ่าเอาไว้ได้ทัน ความโกรธแค้นในใจของข้าคงยากที่จะได้รับการสะสาง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าท่านหวังเฉียวฉู่จะทรยศหักหลังตระกูลได้เช่นนี้!!!” ผู้าุโท่านหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มากไปด้วยอารมณ์ การถูกลอบทำร้ายจากคนนอกตระกูลย่อมไม่อาจส่งผลกระทบทำร้ายความรู้สึกเทียบเท่ากับได้กับการกระทำจากคนที่คุ้นเคยไว้ใจเช่นนี้
“ต้องขออภัยผู้าุโทุกท่าน หากข้าใส่ใจน้องชายมากขึ้นกว่านี้ เื่ราว ๆ ต่างย่อมไม่อาจเกิดขึ้นก็เป็ได้...” หวังป๋อเหวินเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับทุกคนด้วยความรู้สึกผิดในใจ
“ป๋อเหวินเ้าอย่าได้ถือโทษตัวเองถึงเพียงนั้น จิตใจของคนเรายากนักที่จะหยั่งถึงคาดเดาได้ ทั้งที่ผ่านมาท่านหวังจางจิ้นก็มีพฤติกรรมที่น่าคบหาไม่น้อยแล้วใครเล่าจะคิดว่าในวันนี้เขาจะแปรพักตร์ไปเช่นนี้ได้กัน”
“ข้าขอกล่าวตามตรงว่าแค้นนี้ต้องได้ชำระสะสาง...ไม่ว่าจะเป็คนทรยศเชื้อสายตระกูลหวังหรือตระกูลอื่น ๆ ที่เข้าร่วมกับตระกูลฮั่นอย่าได้หวังว่าทางตระกูลหวังของเราจะปล่อยผ่าน
เมื่อพวกเ้ากล้าลอบกัดทำร้ายคนตระกูลหวังเช่นนี้ก็จงเตรียมรับมือกับโทสะนี้ ย่อมไม่มีคำว่าปราณีอย่างแน่นอน!!!” ผู้าุโท่านเดิมเอ่ยขึ้นด้วยความเคียดแค้น แม้ในยามปกติตระกูลหวังจะชื่นชอบและรักความสงบ ทว่าในเมื่อกล้าย้อนเกล็ดัเช่นนี้แล้วก็จงเตรียมตัวรับมือให้ดีแล้วกัน
"เศษสวะตระกูลฟางตัวนั้นที่ลักลอบสังหารคุณชายรองหวังเฟยหลงเล่า สังหารมันให้ตกตายไปเลยดีหรือไม่?"
"ตาเฒ่าจวงอย่าได้หุนหันพลันแล่นเช่นนั้น หากสังหารมันแล้วเืสกปรกชั่วช้าคงแปดเปื้อนผืนดินของตระกูลเสียเปล่า ๆ ให้พวกตระกูลฟางร้อนใจสักหน่อยจะเป็ไรไป..."
"ฮ่าฮ่าฮ่า ตาเฒ่าหวงช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก..."
"ข้ามีบางสิ่งที่อยากจะปรึกษาหารือกับท่านพ่อและผู้าุโทุกท่านขอรับ...ความจริงแล้วข้าตั้งใจว่าหลังจากการประชุมใหญ่ที่มีกำหนดการณ์ในอีกเจ็ดวันให้หลังนี้ ข้าวางแผนว่าจะบุกทำลายตระกูลฮั่นขอรับ..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น พร้อมส่งสายตาไปโดยรอบเพื่อถามความคิดเห็นจากทุกคน
"ข้าเห็นด้วยกับท่านประมุขตระกูล...ยามนี้หวังจางจิ้น ยังคงกบดานซ่อนตัวอยู่ในตระกูลอยู่เป็แน่ และข้าเชื่อว่าพวกมันคงวางแผนการชั่วช้าโจมตีพวกเราอย่างแน่นอน..." ผู้าุโชราท่านหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้น
"ข้าคิดว่าการที่อีกฝ่ายได้สั่งการให้ท่านปู่ทวดสามลงมือจัดการพวกเราในวันนี้คงมีแผนการบางอย่าง...จากความเห็นของข้าหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้สำเร็จลุล่วง แน่นอนว่าย่อมเกิดความสูญเสียที่ยากจะประเมินได้ ด้วยเพราะบรรดาทุกท่านที่ตกเป็เป้าหมายถูกพิษร้ายนั้นต่างมีตำแหน่งในตระกูลที่สูงทั้งสิ้น หากขาดพวกเราแล้วคงไม่ต่างไปจากเสาหลักของตระกูลย่อมระส่ำระส่ายไปไม่น้อย..."
"หรืออย่างที่สองที่ข้าคิดเห็นว่าเป็ไปได้ที่สุด...แผนการที่พวกมันวางไว้คือในวันที่มีการประชุมดังกล่าว พวกมันย่อมที่จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายและบีบบังคับยกอำนาจให้พวกมันเป็แน่...
วันนั้นย่อมเป็การรวมตัวของผู้นำตระกูลและตัวตนที่มีความสำคัญต่อมหานครจูเชว่แห่งนี้ หากว่าพวกมันสามารถสังหารพวกเราให้ตกตายไปในวันนั้นได้ การขึ้นเป็ใหญ่เพื่อปกครองมหานครย่อมไม่ใช่เื่ยากแต่อย่างใด..." หวังเฟยหลงเอ่ยขึ้นถึงสิ่งที่เขานั่นคาดการณ์ถึงความเป็ไปได้ขณะนี้
"หากเป็ดั่งที่คุณชายรองคาดการณ์ไว้ ก่อนถึงวันประชุมดังกล่าวเราคงต้องเรียกระดมสุดยอดเหล่าฝีมือที่เป็พันธมิตรเข้ามาสนับสนุนพวกเราเสียแล้วกระมัง เพราะอาจเป็ไปได้ว่าพวกมันอาจจะเลือกจู่โจมแต่ละตระกูลพร้อมกันก็เป็ไปได้..."
"กล่าวตามตรง เราผู้เฒ่านั้นเชื่อมั่นในกองกำลังและฝีมือของพวกเราตระกูลหวังอย่างถึงที่สุด ทว่ายามนี้พวกเรายังไม่อาจสืบเสาะได้ว่าเป็กลุ่มอิทธิพลใดที่คอยหนุนหลังตระกูลฮั่นในยามนี้ หากเราไม่วางแผนรับมือเป็อย่างดีแล้วละก็..." ผู้าุโท่านหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นก่อนจะเสียงจะแ่เบาในตอนท้าย
"หนิงเอ๋อร์...หลานมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างในเื่นี้??" หลังจากได้พูดคุยไปอย่างมากมายถึงแผนการรับมือต่าง ๆ หวังจิ่งหลงจึงหันไปถามความคิดเห็นของหนิงอ้าย ที่ั้แ่แรกเริ่มของบทสนทนานั้นอีกฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
"แผนการที่ท่านตาและผู้าุโได้วางไว้ถือเป็แผนการที่ยอดเยี่ยมยิ่งแล้วขอรับ เพียงแต่หลานรู้มาว่าในอีกสามวันข้างหน้าทางฝั่งของตระกูลฮั่นรวมไปถึงตระกูลพันธมิตรและผู้หนุนหลังได้ตัดสินใจว่าจะบุกทำลายม่านพิภพของตระกูลหวังในวันนั้นขอรับ..."
"สาเหตุที่ตั้งใจลงมือในวันดังกล่าว...นั่นเป็เพราะพวกเขาต่างมั่นใจในพิษร้ายจากสัตว์อสูรนภาระดับสูงทั้งสองรวมไปถึงโอสถสลายิญญา ว่าสามารถสังหารท่านปู่ทวดและบรรดาผู้าุโทุกท่านได้อย่างแน่นอน ด้วยเพราะยามนี้ปรมจารย์โอสถเหวินได้ถูกเรียกตัวไปอย่างกระทันหันโดยวิหารแห่งโอสถ ซึ่งข้าคิดว่าสิ่งนี้คงเป็หนึ่งในแผนการเช่นกัน..."
"หลังจากพวกท่านตกตายไปแล้วสิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจของท่านตาที่เป็ประมุขตระกูลอย่างถึงที่สุด รวมถึงทุกคนในตระกูลคงอยู่ใน่ไว้อาลัยและไร้ซึ่งความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้พวกมันจึงตั้งใจลงมือในวันดังกล่าวขอรับ..."
หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่ากลับสร้างความหวาดหวั่นใจแก่พวกเขาในที่นี้อยู่ไม่น้อย
"หลานแน่ใจใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่เอ่ยขึ้นมานั้นเป็ความจริง..."
หวังจิ่งหลงแม้จะเชื่อใจหลานชายของตนมากเพียงใด ทว่าเขาจำเป็ต้องสอบถามเพื่อให้เกิดความมั่นใจอีกครั้ง
"หนึ่งในความสามารถของข้าคือการสอดแนมขอรับ ก่อนที่จะลงมือรักษาท่านปู่ทวดและผู้าุโทุกท่านข้าก็ได้ส่งวิหคสอดแนมออกไปกระจายอยู่ทั่วทั้งมหานครจูเชว่แห่งนี้ แม้จะม่านพลังป้องกันที่ละเอียดอ่อนหรือแข็งแกร่งมากเพียงใดย่อมไม่สามารถััได้ ผู้ฝึกตนที่มีรากฐานบ่มเพาะน้อยกว่ามหาพรหมยุทธ์ิญญาย่อมไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่เช่นกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ
ยามนี้พวกเขาทุกคนไม่รู้แล้วว่าควรที่จะตกตะลึงในสิ่งใดกันแน่ระหว่างที่ทางฝั่งของตระกูลฮั่นและพันธมิตรจะเข้ามาบุกทำลายตระกูลหวังในอีกสามวันนี้ หรือความจะเป็ความสามารถอันอัศจรรย์ของชายหนุ่มอ่อนเยาว์ที่ยังคงยัดยืนอยู่เบื้องหน้า ด้วยไม่รู้ว่าขอบเขตความสามารถของอีกฝ่ายนั้นจะสิ้นสุดที่ใดกันแน่
"ยามนี้ม่านพิภพของตระกูลฮั่นได้มีการจัดเตรียมกองกำลังพันธมิตรที่พร้อมบุกโจมตีพวกเราในอีกสามวันนี้แล้ว ในเมื่อพวกมันตั้งใจที่จะลงมือเข่นฆ่าสังหารพวกเราอย่างไม่ระวังตัวแล้ว เหตุใดพวกเราจะไม่สามารถตลบหลังแผนการของพวกเขาเล่าขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
"ครั้งนี้ทางฝั่งของตระกูลฮั่นถึงกับทุ่มกำลังทั้งหมดอย่างถึงที่สุด แม้แต่บรรพชนที่ซ่อนตัวในตระกูลยังถูกเชื้อเชิญให้เข้าร่วมแผนการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าอยากจะเสนอคือในคืนของวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าบุกทำลายม่ายพิภพตระกูลฮั่นให้สิ้นไปเสีย..."
"..."
"ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่ ข้าว่าพวกเราสามารถรวบรวมพันธมิตรที่มากด้วยฝีมือได้ทันท่วงทีแน่นอนขอรับ...หากสุดยอดฝีมือท่านใดมาถึงก่อนก็ให้อยู่เป็กองกำลังส่วนหน้าเพื่อบุกทลายตระกูลฮั่น สำหรับสุดยอดฝีมือท่านใดที่ตามมาทีหลังก็ให้คอยเฝ้ารักษาดูแลม่านพิภพตระกูลหวัง เพราะอาจมีความเป็ไปได้ว่าหากพวกมันรู้ตัวว่าถูกพวกเราบุกโจมตีแล้ว คงลอบส่งกำลังของตระกูลอื่นบุกจู่โจมพวกเราเป็แน่..."
"สำหรับศึกระหว่างสองตระกูลครั้งนี้ อีกสี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือย่อมไม่ยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวอย่างแน่นอน ข้าหวังว่าจะเป็แบบนั้นขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยสำทับไปในแผนการอีกครั้ง
"ขอบคุณสำหรับแผนการนี้ของหลานเป็อย่างมาก...ผู้าุโ ทุกท่านคิดเห็นอย่างไรกับแผนการนี้ขอรับ??" หวังจิ่งหลงหันไปถามทุกคนก่อนจะยื่นมือลูบศีรษะของหนิงอ้ายด้วยความเอ็นดู
หวังป๋อเหวินทอดสายตามองเหลนของเขาด้วยความภาคภูมิใจ แม้อีกฝ่ายจะอายุยังน้อยทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจทั้งยังมีความรอบคอบยิ่ง แน่นอนว่าบรรดาผู้าุโทุกท่านในที่นี้ต่างพยักหน้ายอมรับในแผนการและส่งสายตาชื่นชมหนิงอ้ายอย่างไม่ปิดบัง แม้แผนการนี้อาจจะดูฉุกละหุกไปเสียหน่อย
ทว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าการปะทะของทั้งสองตระกูลย่อมมาถึงในสักวันอยู่แล้ว ดังนั้นจะลงมือจัดการวันไหนกล่าวได้ว่าหาใช่มีความแตกต่าง เมื่อได้รับมติตกลงแผนการที่จะลงมือบุกม่านพิภพของตระกูลฮั่นคืนของวันพรุ่งนี้แล้ว พวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างแยกย้ายกันไปจัดการบางสิ่งที่ได้รับมอบหมายเพื่อให้ทุกอย่างเป็ไปตามแผนการที่ได้วางเอาไว้...
