ในที่สุดผู้าุโติงก็มีข้อเสนอ เขาโบกมือให้ลูกชายพาลูกสะใภ้กับหลานออกไป จากนั้นเขาก็พาฮูหยินไปนั่งอยู่ตรงมุมห้อง พยายามเว้นที่ว่างของห้องโถงเอาไว้ให้ลูกสาวและผู้าุโที่เป็เ้าบ้านสกุลอวิ๋นได้พูดคุยกัน
ท่านลุงอวิ๋นคำนับให้ผู้าุโติงอย่างซาบซึ้งใจจากระยะไกล ทว่าการกระทำนี้คงกระทบกระเทือนาแ ทำให้เขาถึงกับต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ
ติงเหว่ยรู้สึกสงสาร นางจึงหันกลับเข้าไปในห้องแล้วหยิบผ้าห่มผืนใหม่บนเตียงออกมา จากนั้นก็ประคองให้ท่านผู้าุโอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน
เมื่อท่านลุงหลี่และเสี่ยวฝูจื่อเห็นดังนั้น พวกเขาก็ขอตัวออกไปอย่างมีไหวพริบ
ท่านลุงอวิ๋นรออยู่นาน จากนั้นก็ขยับริมฝีปากที่แห้งผาก เขาฝืนยิ้มและพูดว่า “แม่นางติงเป็คนฉลาดเฉลียว อาจพอเดาได้ว่าคนแก่อย่างข้ามาด้วยเื่อะไรใช่หรือไม่? วันนั้นโชคดีที่เ้าเตือนไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นต่อให้พวกข้าตายเป็พันครั้งก็ไม่อาจชดใช้กรรมได้ ข้าเตรียมสินน้ำใจชุดใหญ่มาให้เ้าอยู่ที่ด้านนอก เดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวฝูจื่อเอาเข้ามาให้ภายหลัง นอกจากนี้พ่อครัวจ้าวก็มีธุระและลาออกจากงานไปแล้ว และตอนนี้ข้ายังหาพ่อครัวที่มีฝีมือและไว้ใจได้ยังไม่ได้ จึงทำได้เพียงบากหน้ามาขอร้องเ้า แม่นางติงพอจะเห็นแก่มิตรภาพดีๆ ระหว่างแม่นางกับคนในจวนสกุลอวิ๋นทุกคน และต่อไปช่วยรับหน้าที่ดูแลอาหารทั้งสามมื้อของคุณชายได้หรือไม่?”
“รับผิดชอบอาหารสามมื้อต่อวันอย่างนั้นหรือ?” มือของติงเหว่ยที่กำลังจะรินชาชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่านางจะเดาได้ว่าท่านลุงอวิ๋นมาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่พอได้ฟังจริงๆ แล้วนางก็อดที่จะรู้สึกลำบากใจไม่ได้ พูดกันตามจริงนางเองก็ไม่อยากไปจวนสกุลอวิ๋นอีกแล้ว ถึงแม้จุดจบของจ้าวหรงจะไม่ถึงกับตาย ทว่าก็ต้องถูกลงโทษให้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างยากลำบาก จากเหตุการณ์ครั้งที่ผ่านมานางเรียนรู้ว่า หากวันหนึ่งนางไม่ระมัดระวังและทำให้นายน้อยท่านนั้นท้องเสียเข้า นางต้องพลอยโชคร้ายไปด้วยเป็แน่
แต่ท่านลุงอวิ๋นก็อุตส่าห์มาขอร้องทั้งที่ยังาเ็อยู่ และเขายังอ้างถึงมิตรภาพสองคำนี้ออกมา ทำให้นางยากที่จะปฏิเสธเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม โชคดีที่นางยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่ เมื่อคิดได้ดังนั้นนางจึงพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ท่านลุงอวิ๋น ข้ารู้ดีว่าท่านและคนในจวนสกุลอวิ๋นดีต่อข้ามากขนาดไหน ข้าจำเื่ทุกอย่างได้ดี หากว่าตอนนี้ข้าร่างกายปกติ ต่อให้ท่านไม่เอ่ยปากข้าคงเสนอตัวอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ข้าตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนแล้ว อีก 2 เดือนก็จะคลอดลูก ไม่เหมาะที่ข้าจะทำงานเป็เวลานานจริงๆ มิสู้ท่านลองหาคนอื่นมาทำสักสองสามเดือนก่อน รอให้ข้าคลอดลูกแล้ว ท่านค่อยกลับมาหาข้าใหม่เป็เช่นไร?”
ท่านลุงอวิ๋นราวกับคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่านางต้องพูดเช่นนี้ สีหน้าของเขาจึงยิ่งขมขื่นมากขึ้น แต่ปากของเขากลับเฉียบขาดไม่เบา
“ข้าเองก็รู้ดีถึงความยากลำบากเหล่านี้ของแม่นางติง แต่คนโบราณว่ากันว่าสตรีจะต้องผ่านประตูนรกเพื่อให้กำเนิดลูก [1] อีกอย่างนี่ก็เป็ลูกคนแรกของเ้าด้วย ถึงแม้ท่านย่าเทวาูเาจะคุ้มครองอยู่ แต่เตรียมรับมือไว้บ้างก็คงไม่เสียหายอะไร จวนของพวกเรามีหมอ และในห้องเก็บของก็มีของบำรุงร่างกายมากเท่าที่้า ยังไงก็ปลอดภัยกว่าการที่เ้าอยู่บ้านเป็แน่”
หากท่านลุงอวิ๋นพูดอย่างอื่น นางคงจะสู้ต่อไปอีกสักพัก แต่เมื่อเป็เื่ความปลอดภัยของเด็กในครรภ์ของนาง นางก็เสียเปรียบในทันที ่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ถึงแม้นางจะกินอิ่มนอนหลับตามปกติ แต่ในใจลึกๆ แล้วก็ยังแอบหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ในความเป็จริงแล้วยุคสมัยนี้ยังไม่มีเครื่องตรวจอัลตร้าซาวด์ ไม่มีการผ่าคลอด หากว่าลูกในครรภ์นางไม่ได้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง นางจะทุกข์ทรมานมากหน่อยก็ไม่เป็ไร แต่ถ้าทารกมีโรคร้ายแรงอะไรคงจะกลายเป็โศกนาฏกรรมขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
ท่านลุงอวิ๋นมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีอ่อนลง เขาก็นึกถึงคำพูดของอวิ๋นอิ่งที่มารายงานคราวก่อนจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะใช้ไพ่ตายของเขา
“อีกอย่างชาวบ้านในหมู่บ้านก็ยังโง่เขลานัก เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยวิพากษ์วิจารณ์แม่นางมาก่อน หากว่าแม่นางคลอดลูกอยู่ที่บ้าน แม่นางไม่กลัวว่าที่บ้านจะ…ยากลำบากไปกว่าเก่าอย่างนั้นหรือ? จวนสกุลอวิ๋นเงียบสงบ ไม่ว่าเ้านายหรือบ่าวไพร่ต่างก็ปฏิบัติต่อเ้าเป็อย่างดีกันทั้งนั้น หากว่าเด็กถูกเลี้ยงในจวนสกุลอวิ๋นจะต้องดีกว่าในหมู่บ้านอย่างมากแน่นอน”
ติงเหว่ยเอาแต่ม้วนผ้าเช็ดหน้าในมือของนางไปมา และเงยหน้ามองไปที่ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองคนไม่รู้จุดประสงค์ที่ท่านลุงอวิ๋นมาจึงเกรงว่าลูกสาวจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ถึงแม้คนหนึ่งจะสูบยาสูบ และอีกคนหนึ่งจะเย็บผ้า แต่พวกเขาก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ น่าเสียดายที่ได้ยินชัดเพียงไม่กี่คำ ทำให้ความห่วงใยที่แสดงออกบนใบหน้าของพวกเขายิ่งชัดเจนมากขึ้น
……
ติงเหว่ยกัดริมฝีปากของนางจนแน่นแล้วถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งที เมื่อนางเปิดปากอีกครั้งก็เก็บซ่อนความเศร้าภายในดวงตาไป แล้วถามอย่างจริงจังว่า “ท่านลุงอวิ๋น หากว่าจะให้ข้าทำสัญญาทำงานสักสองสามปี เกรงว่าระยะเวลาจะไม่สั้นไปใช่หรือไม่”
ท่านลุงอวิ๋นกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย อันที่จริงการไปบังคับสตรีผู้หนึ่งก็ไม่ใช่เื่น่ายินดีอะไร แต่เพื่อนายน้อย และเพื่อทายาทสกุลกงจื้อ เขาจึงทำได้เพียงตอบอย่างไร้ยางอายว่า “แน่นอนว่าระยะเวลายิ่งนานยิ่งดี ความจริงแล้วคนที่มีฝีมือดีและไว้ใจ้ได้อย่างแม่นางติงนั้นหาไม่ได้ง่ายๆ หากแม่นางมีความ้าอะไรก็เชิญพูดออกมาได้เลย”
ติงเหว่ยคิดอยู่นานแล้วพูดว่า “ข้าจะทำสัญญาแค่สามปีเท่านั้น หลังจากสามปีนั้นข้าก็จะเป็อิสระ หวังว่าพอถึงตอนนั้นสกุลอวิ๋นจะไม่เข้ามาขัดขวางข้า”
“สามปี?” ดวงตาของท่านลุงอวิ๋นเป็ประกาย และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการพาคนผู้นี้ไปที่จวนสกุลอวิ๋นเพื่อให้เขาได้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ประการแรกเขาสามารถปกป้องสายเืตระกูลกงจื้อให้กำเนิดมาได้อย่างปลอดภัย ประการที่สองเขายังหาคนที่ไว้ใจได้มาทำอาหารให้นายน้อยไม่ได้จริงๆ ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกสามปีข้างหน้าใครจะรู้ว่าเป็อย่างไร
“ตกลง สามปีก็สามปี เงินเดือนจะอยู่ที่ห้าสิบตำลึงต่อเดือน และจะมีสินน้ำใจคำนวณแยกให้ในแต่ละปี”
ติงเหว่ยมีความสุขเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนี้ นางคิดไม่ถึงว่าสกุลอวิ๋นจะเสนอเงินเดือนให้สูงขนาดนี้ อันที่จริงร้านอาหารของที่บ้านนางก็กำไรเดือนละสิบกว่าตำลึงเท่านั้น แต่เมื่อย้อนกลับมาคิดว่าต้องแลกกับฝีมือและอิสรภาพของนางอีกสามปี นางก็อดที่จะเศร้าใจไม่ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ใน่สองสามปีนี้ก็ถือว่าตั้งใจหาเงินไปก็พอ หลังจากเก็บเงินได้มากพอแล้วนางกับลูกค่อยออกจากจวนสกุลอวิ๋น ถึงตอนนั้นก็จะมีเงินทุนไว้ไปเริ่มชีวิตใหม่แล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงยืนขึ้นและคำนับทันที
“ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะเก็บของแล้วไปทำงาน”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ไม่สามารถปกปิดความดีใจบนใบหน้าได้อีกต่อไป เขาพยายามอย่างมากที่จะรักษาท่าทีและคำนับคืน “ข้าขอเป็ตัวแทนของคุณชายและคนในสกุลอวิ๋นทั้งหมดขอบคุณแม่นางติงที่เข้าใจ”
ทันใดนั้นจู่ๆ ติงเหว่ยก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นางจึงถามอย่างสงสัยว่า “คุณชาย...รู้หรือว่าท่านมาที่นี่?”
ท่านลุงอวิ๋นเข้าใจเจตนาจึงยิ้มและบอกว่า “แม่นางโปรดวางใจ ข้าได้แจ้งให้นายน้อยทราบเรียบร้อย นายน้อยไม่เพียงแต่รับปาก ทั้งยังกำชับให้ข้าเพิ่มเงินเดือนให้แก่แม่นางอีกด้วย”
ติงเหว่ยนึกถึงใบหน้าสงบนิ่งที่นอนอยู่บนเตียงของชายหนุ่มที่หล่อเหลาและกล้าหาญ ในใจก็รู้สึกสงสารโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นนางจึงค่อยๆ พยักหน้าอย่างช้าๆ
ท่านลุงหลี่และเสี่ยวฝูจื่อได้ยินเสียงเรียกของท่านลุงอวิ๋นจึงรีบเดินเข้ามาจากด้านนอก เสี่ยวฝูจื่อหัวเราะคิกคักแล้วหยิบกล่องที่ทำจากไม้จันทน์หอมแกะสลักออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นสองพ่อลูกก็ช่วยกันประคองท่านลุงอวิ๋นออกไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์ก็รีบช่วยลูกสาวส่งแขก เมื่อทั้งสามคนในครอบครัวกลับเข้ามารวมตัวในห้องอีกครั้งก็เปิดกล่องดู พวกเขามองไปที่ตำลึงเงินระยิบระยับที่อยู่ในกล่องด้วยความใ
……
ขณะที่แม่นางหลี่ว์กำลังจะถาม ติงเหว่ยก็รีบปิดฝากล่องอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ถือกล่องและพาท่านพ่อกับท่านแม่เข้าไปยังห้องด้านใน
“ท่านแม่ ท่านเก็บซ่อนเงินพวกนี้เอาไว้ให้ดีก่อน”
แม่นางหลี่ว์หันไปมองสามีของนางและเห็นเขาพยักหน้าเล็กน้อย นางจึงรีบไขกุญแจเปิดตู้ไม้ที่อยู่ตรงปลายเตียง จากนั้นก็เอากล่องใส่เงินวางไว้ด้านล่างสุด ข้างบนกล่องวางทับด้วยเสื้อคลุมหลายๆ ชุด จากนั้นก็ไขกุญแจปิดตู้อีกครั้งหนึ่ง
หญิงชราคิดอยู่ครู่หนึ่งและกำลังจะมอบกุญแจให้แก่ลูกสาวของนาง
ติงเหว่ยผลักมือกลับและกระซิบเบาๆ ว่า “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านเก็บเงินก้อนนี้ไว้ให้ดี และใช้อย่างระมัดระวัง ตอนนี้บ้านเรามีร้านค้าสองร้าน พี่ใหญ่และพี่รองช่วยกันดูแลคนละร้าน ข้าไม่ได้กลัวว่าพี่ชายทั้งสองจะไม่กตัญญู แต่ข้าเกรงว่าพวกเขาอาจยุ่งจนทำให้บางครั้งดูแลไม่ทั่วถึง พวกท่านมีเงินติดตัวบ้างข้าจะได้กังวลใจน้อยลง”
เดิมทีแม่นางหลี่ว์คิดว่าลูกสาวของนางกำลังซ่อนเงินเอาไว้เพื่อใช้ซื้อสินเดิม แต่เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูก ดังนั้นนางจึงพูดว่า “ข้ากับพ่อของเ้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว จะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรกันล่ะ รอจนถึงตอนขึ้นปีใหม่ข้าจะหาครอบครัวดีๆ ให้เ้า และจะใช้เงินพวกนี้ซื้อสินเดิมให้แก่เ้า”
ในท้ายที่สุดผู้าุโติงก็ครุ่นคิดไปมาและเอ่ยปากถามว่า “ลูกสาว ทำไมท่านผู้าุโอวิ๋นถึงนำเงินมาให้เ้ามากมายขนาดนี้?”
ติงเหว่ยขมวดคิ้วแล้วคิดคร่ำครวญอยู่นานว่าจะบอกท่านพ่อท่านแม่ของนางอย่างไรดี ดังนั้นนางจึงพูดอย่างรอบคอบว่า “วันนี้ตอนที่ข้าไปจวนสกุลอวิ๋น บังเอิญเห็นคนครัวใส่อะไรบางอย่างลงไปในอาหารของนายน้อยท่านนั้น จึงเตือนออกไปสองประโยค ดังนั้นเงินพวกนี้ครอบครัวสกุลอวิ๋นจึงให้ข้าแทนคำขอบคุณ พวกท่านทั้งสองอย่าได้กังวลใจ เก็บไว้ใช้อย่างสบายใจเถอะ”
เมื่อแม่นางหลี่ว์ได้ยินดังนั้น นางจึงเอามือข้างหนึ่งทาบอกแล้วพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “คนครัวคนนี้ช่างกล้าหาญไม่เบา หรือว่าเขาวางแผนจะขโมยเงินทองของเ้าบ้านหรือเปล่า? เหว่ยเอ๋อร์ เ้าเองก็กำลังจะคลอดลูกแล้ว ต่อไปอยู่ที่บ้านเราเถอะ เราจะไม่ไปยุ่งกับน้ำโคลน [2] พวกนี้แล้ว ระวังเ้าจะโดนหางเลข [3] ไปด้วยนะ แต่จะทำยังไงดีล่ะ?”
ติงเหว่ยฝืนยิ้มออกมา นางยื่นมือไปกอดแขนของแม่นางหลี่ว์และสุดท้ายก็บอกว่า “ท่านแม่ ข้าเกรงว่าเื่นี้จะไม่ได้เสียแล้ว ข้าเพิ่งรับปากท่านลุงอวิ๋นไปว่าจะทำงานระยะยาวเป็เวลาทั้งหมด 3 ปี สกุลอวิ๋นให้เงินเดือนสูงมาก รอจนครบสามปีแล้วข้าจะพาลูกย้ายเข้าไปซื้อบ้านอยู่ในเมือง เปิดร้านอาหารสักหน่อยก็พอแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่จะได้ใช้ชีวิตสบายไปด้วย”
“อะไรนะ?” ผู้าุโติงตบโต๊ะแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เื่ใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเ้าไม่ปรึกษากับครอบครัวก่อนละ!”
แม่นางหลี่ว์รีบคว้ามือของลูกสาวไว้แน่นและตำหนิว่า “เ้าเด็กคนนี้ เพิ่งจะพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่ต้องไปจวนสกุลอวิ๋นแล้ว ทำไมถึงไปตกลงทำงานระยะยาวได้ล่ะ? ไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะให้พ่อเ้าไปคุยกับสกุลอวิ๋นว่าพวกเราไม่ไปและพวกเราจะคลอดลูกที่บ้าน”
เมื่อพูดจบแม่นางหลี่ว์ก็หันกลับไปเปิดกล่อง “กล่องใส่เงินพวกนี้เป็เงินที่สกุลอวิ๋นใช้ซื้อตัวเ้าอย่างนั้นหรือ ไม่ได้ รีบเอาไปคืนเดี๋ยวนี้!”
“ท่านพ่อ ท่านแม่!” ติงเหว่ยเข้าไปกอดแม่ของนางแน่น แม่นางหลี่ว์คิดจะสะบัดลูกสาวของนางออกแต่ก็กลัวจะทำให้เด็กในท้องาเ็ไปด้วย นางโมโหมากแต่ทำได้แค่ตีไปที่หลังของลูกสาวไม่กี่ที จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเ็ป “เ้าเด็กคนนี้นี่ ทำไมไม่ทำให้พ่อกับแม่วางใจได้สักทีล่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าไปตั้งครรภ์มาจากไหน ตอนนี้กำลังจะคลอดก็ขายตนเองไปแล้วอีก! ทำไมข้าถึงให้กำเนิดเนี่ยจั้ง [4] เช่นเ้าได้?”
“ท่านแม่” ติงเหว่ยเองก็ขอบตาแดงก่ำไปหมด นางใช้แรงกอดมารดาเอาไว้แน่น พลางสะอึกสะอื้นแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักข้ามาก แต่เื่นี้ข้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จวนสกุลอวิ๋นมีท่านหมอ คนที่นั่นทั้งหมดล้วนดีกับข้า หากข้าคลอดลูกในบ้านสกุลอวิ๋นก็จะสามารถอยู่อย่างสงบได้บ้าง หลังจากครบสัญญาแล้ว เด็กน้อยก็ใกล้จะสามขวบ พอถึงตอนนั้นคงคลื่นสงัดลมสงบ [5] แล้ว พวกเราสองแม่ลูกก็สามารถมีชีวิตที่ดีได้”
ผู้าุโติงและแม่นางหลี่ว์เองก็ไม่ใช่คนโง่เขลา ต่อให้ลูกสาวของนางจะพูดให้ดีอย่างไร ทำไมพวกเขาจะเดาไม่ออกว่าสาเหตุหลักที่ลูกสาวเข้าไปอยู่ที่จวนสกุลอวิ๋นเป็เพราะไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ขนาดวันนี้เด็กยังอยู่ในครรภ์ก็ยังมีเื่มากมาย หากว่าคลอดออกมาแล้วไม่รู้ว่าจะต้องถูกนินทาว่าร้ายมากขนาดไหน
“เหว่ยเอ๋อร์ของแม่ ทำไมโชคชะตาของเ้าถึงต้องมาลำบากขนาดนี้ แม่สงสารเ้าเหลือเกิน!”
คนรักลูกมากที่สุดในโลกก็คือมารดาเสมอ แม่นางหลี่ว์กอดลูกสาวไว้ในอ้อมแขนและร้องไห้เจียนจะขาดใจ ผู้าุโติงเองก็แอบเช็ดน้ำตา คำเกลี้ยกล่อมอยู่ในปากวนไปวนมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่กลืนมันลงไป
เอาเถอะ ลูกหลานทุกคนย่อมมีโชคลาภเป็ของตนเอง [6] อีกอย่างลูกสาวของเขาก็เป็คนที่มีความคิดเป็ของตนเอง พวกเขาห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ บางทีอาจเป็เหมือนที่ลูกสาวพูดก็ได้ นางไปทำงานที่จวนสกุลอวิ๋นและเลี้ยงลูกที่นั่น ถ้านางได้อยู่อย่างเงียบสงบ ที่บ้านเองก็จะเบาใจไปด้วย หากว่าเขามีลูกสาวแค่คนเดียว ต่อให้จะเป็จะตายอย่างไรก็ต้องปกป้องเอาไว้ให้ได้ ทว่าครอบครัวเขายังมีลูกชายอีกสองคน และยังมีหลานชายกับหลานสาวอีก…
-----------------------------------------
[1] สตรีจะต้องผ่านประตูนรกเพื่อให้กำเนิดลูก 妇人生子就是在鬼门关前转一圈儿 หมายถึง การคลอดลูกที่มีความยากและความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากการคลอดลูกในสมัยโบราณมีเครื่องมือเพียงแค่สองชิ้น ได้แก่ มีดที่ใช้ผ่า และน้ำร้อน ยิ่งไปกว่านั้นคนทำคลอดยังเป็เพียงผู้หญิงที่มีประสบการณ์ในการคลอดบุตร ดังนั้นการคลอดบุตรจึงขึ้นอยู่กับแม่ที่ตั้งครรภ์เท่านั้น หากโชคดีนางจะสามารถข้ามประตูนรกไปได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าโชคไม่ดีชีวิตก็จะจบลงพร้อมความแค้นใจ
[2] ไม่ไปยุ่งกับน้ำโคลนพวกนี้ 不去淌这浑水 หมายถึง ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับเื่ไม่ดี หรือ เลวร้าย
[3] หางเลข หมายถึง พลอยถูกผู้ใหญ่ดุหรือตำหนิไปด้วย
[4] เนี่ยจั้ง 孽障 หมายถึง มารผจญ ลูกเวร
[5] คลื่นสงัดลมสงบ 风平浪静 หมายถึง ปลอดภัยไร้กังวล มีสวัสดิภาพ
[6] ลูกหลานทุกคนย่อมมีโชคลาภเป็ของตนเอง 儿孙自有儿孙福 หมายถึง ลูกและหลานย่อมมีโชคลาภเป็ของตนเอง พ่อและแม่ไม่จำเป็ต้องกังวลมากเกินไป