คนที่สนใจยาเซียนตันขั้นสองนี้ไม่เพียงแค่ผู้ชมชั้นหนึ่ง กระทั่งแขกบนชั้นสองก็สนใจ ขวดยาทั้งห้านั้นท้ายสุดตกไปอยู่ในมือของมู่เหยาจากพรรคเซียวเหยาในราคาสองแสนห้า
ราคานี้นั้นมากกว่าราคาจริงของยาเซียนตันห้าขวดไปไกล แต่พรรคเซียวเหยานั้นร่ำรวย หาได้ใส่ใจกับเงินแค่นี้ เมื่อเห็นพรรคเซียวเหยาออกโรง คนอื่นจึงล่าถอย หากยื้อแย่งกับพรรคเซียวเหยา คงเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
โหยวเสี่ยวโม่ที่รู้สึกขาดทุนยับ เมื่อได้ยินราคานั้นก็ซบอกหลิงเซียวหวังการปลอบใจ
คนของโรงยาช่างหน้าเื ใช้เงินหนึ่งแสนสามหมื่นห้าพันซื้อยาเซียนตันของเขา แต่พริบตาเดียวราคาสูงขึ้นไปถึงสองแสนห้า นี่มันเท่าตัวเชียวนะ หน้าเืเกินไปแล้ว เขาตัดสินใจเกลียดพวกเขาแล้ว
หลิงเซียวยิ้มตาหยีมองเขา ลูบหลังเขาเบาๆ เป็การปลอบใจ
ภาพนี้ไม่อาจหลบพ้นสายตาของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะมู่เหยาที่อยู่ตรงข้าม บังเอิญชำเลืองมอง ทันใดก็เบิกตาโต สายตาแฝงด้วยความคิดไม่ซื่อ แต่ทว่านางไม่ได้คิดถึงเื่อย่างว่า เพราะอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็ดินแดนหลงเสียง ชายกับชายอยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่เื่แปลก
แต่ที่สาวชุดแดงสงสัยคือ ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นสนิทชิดเชื้อมากกว่าที่คิด
ยาเซียนตันขั้นสองห้าขวดขายได้ในราคาสองแสนห้า ทำเอาผู้เฒ่ายิ้มร่าจนไม่เห็นลูกตา
ความฮือฮาเมื่อครู่จบลงแล้ว ผู้เฒ่าก็เปิดประมูลขายสินค้าชิ้นอื่นต่อ เห็นเพียงถาดที่หญิงสาวถือขึ้นมา “ทุกท่าน ของที่จะขายประมูลต่อจากนี้ คิดว่าคงมีคนมากมายรออยู่นานแล้ว นี่คืออุ้งเล็บและหนังของเสือสายฟ้าเมฆาสัตว์ปีศาจขั้นหก ทุกท่านต่างก็รู้ถึงความรุนแรงของอุ้งเล็บเสือสายฟ้าเมฆานั้นหาใดเทียบได้ สามารถฉีกร่างจอมยุทธ์ชั้นจันทราได้สบาย ส่วนหนังของมัน เอาไปหลอมเป็เกราะป้องกันล้ำค่าได้ สามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธ์ชั้นตะวันได้”
คำพูดตอนท้าย นั้นปลุกใจผู้ฟังได้ดีนัก โดยเฉพาะจอมยุทธ์ลำดับต่ำกว่าชั้นจันทราที่พลังต่ำต้อย หากมีอุ้งเล็บและหนังของเสือสายฟ้าเมฆา ก็เท่ากับมีสิ่งคุ้มกันชีวิตได้อีกเปลาะหนึ่ง อีกอย่างเมื่อใดก็ตามที่ต้องปะทะกับจอมยุทธ์ชั้นจันทรา ก็สามารถต่อสู้กับพวกเขาได้
ผู้เฒ่าเปิดประมูลที่ราคาหนึ่งล้านห้าแสน พูดจบ ผู้คนก็เริ่มแข่งขันกันทันที
โหยวเสี่ยวโม่พึ่งเคยได้ยินสัตว์ปีศาจ จนกระทั่งลืมเื่เศร้าใจไป รีบปีนกลับมายังคานกั้นแล้วดูอุ้งเล็บคู่หนึ่งกับหนังเสือสายฟ้าเมฆาหนึ่งผืน อุ้งเล็บนั้นเป็สีดำ มีประกายระยิบระยับบางที พลังพิเศษนั้นเห็นจะจริง ส่วนหนังสีเงินสวยงามอย่างยิ่ง
โหยวเสี่ยวโม่หาได้รู้เื่สัตว์ปีศาจ จึงดูอะไรไม่ออก
หลิงเซียวเห็นเขาท่าทีจดจ่อ นึกว่าเขาสนใจ สายตาฉายแววไม่ซื่อ “ศิษย์น้องเล็ก เ้าชอบของนี้หรือ?”
โหยวเสี่ยวโม่ส่งเสียง “หา” พลันส่ายหัว “ข้าไม่จำเป็ต้องใช้ของพวกนั้นหรอก หากว่าเป็เสือสายฟ้าเมฆาตัวเป็ๆ คงดีกว่า”
“ทำไมล่ะ?” หลิงเซียวขมวดคิ้วถาม
“เพราะถ้าตัวเป็ๆ มันก็ช่วยงานข้าได้” โหยวเสี่ยวโม่พูดจริงจัง จากนั้นกดเสียงต่ำ “หญ้าเซียนในห้วงมิติเติบโตขึ้นทุกวัน ต้องรดน้ำทุกวัน ข้าคนเดียวทำไม่ทัน ดังนั้นถ้ามีคนช่วยคงจะดี”
“ความคิดนี้ไม่เลว” หลิงเซียวพูดจบ พลางพยักหน้าเหมือนวิเคราะห์อะไรบางอย่าง
ขณะที่พวกเขาคุยกัน ราคาก็สูงลิ่วเกินความสามารถของหลายคน แตะที่สองล้านสี่แสน ดับความหวังของใครหลายคนที่อยากได้มัน ทำให้ผู้แข่งขันลดน้อยลง คนที่เหลือล้วนเป็พวกฐานะดีมีทุนหนา ทว่าท้ายสุดก็จบลงที่ราคาสองล้านแปดแสนจากหอจี๋เล่อได้ไป
หอจี๋เล่อนั้นเป็พวกมีอำนาจในทิศใต้ของดินแดนหลงเสียง พอกันกับพรรคเซียวเหยา มีอำนาจและร่ำรวย
ผู้เฒ่าเคาะค้อน ประกาศผู้ที่ได้อุ้งเล็บกับหนัง จากนั้นเริ่มขายชิ้นต่อไป ต่อจากอุ้งเล็บและหนังนั้น ของชิ้นต่อไปราคาก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงขั้นมีหญ้าเซียนขั้นเจ็ดปรากฏออกมาบ้าง โหยวเสี่ยวโม่ท่าทีตื่นเต้น แต่เขายังไม่มีเงิน เพราะราคาเริ่มต้นก็แปดแสนแล้ว แพงให้ตายเถอะ สู้ซื้อเมล็ดแล้วปลูกเองดีกว่า
นอกจากหญ้าเซียน ก็ยังมียาเซียนตันกับวิชายุทธ์ ล้วนหายากทั้งนั้น แต่ของพวกนี้โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้้า เขากำลังคิดอยู่ว่าน้ำปราณของตนจะออกมาเมื่อใด ทว่าขณะที่เขากำลังดูอย่างมีอรรถรส ในที่สุดผู้เฒ่าก็เอาของชิ้นหนึ่งที่ทำให้เขาใจเต้นออกมา
“เตาหลอมอเวจีทอง เตาหลอมที่นักหลอมโอสถใช้กัน ขั้นหก ประเดิมราคาเริ่มต้นที่สี่แสน”
เตาหลอมเป็สิ่งที่นักหลอมโอสถต้องใช้ตอนหลอมยา แต่คนที่แย่งชิงกันนั้นไม่เพียงแต่ผู้ชมชั้นหนึ่ง บนชั้นสองก็พอมีนักหลอมโอสถอยู่บ้าง เพราะคนมีอำนาจหากอยากพัฒนาได้ไกล จะขาดนักหลอมโอสถไม่ได้เด็ดขาด
พลันราคานั้นยิ่งอยู่ยิ่งสูง โหยวเสี่ยวโม่เริ่มเลิ่กลั่ก
“ศิษย์พี่หลิง เตาหลอมนั่น…” โหยวเสี่ยวโม่ร้อนรนหันมาดึงแขนเสื้อหลิงเซียว
เตาหลอมอเวจีทองขั้นหก สำหรับเขาแล้วน่าดึงดูดกว่ายาเซียนตันและวิชายุทธ์ทั้งหลายนัก เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็ถึงนักหลอมโอสถ แม้จะเป็เพียงขั้นสอง แต่หากประมูลเตาหลอมนี่ได้ อีกหน่อยก็ไม่จำเป็ต้องเปลี่ยนเตาหลอมอีก
“ไม่รีบ พวกเราค่อยแข่งราคาตอนท้ายก็ยังไม่สาย” หลิงเซียวเมื่อเห็นเตาหลอมออกมาก็รู้ได้ว่าโหยวเสี่ยวโม่ต้องสนใจแน่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่ถึงกับสงบลง สายตาจดจ้องเพียงเตาหลอมบนเวที
แต่โชคดีที่เตาหลอมอเวจีทองเป็เพียงเตาหลอมระดับกลางทั่วไป เมื่อพรรคเซียวเหยวออกราคาสูงลิ่วถึงเก้าแสนนั้น หลายคนก็ถอดใจเป็ที่เรียบร้อย ท้ายสุดเหลือเพียงพวกมีอำนาจทั้งหลายแย่งชิงกัน หนึ่งในนั้นก็คือหอเล่อจี๋ คู่มือพรรคเซียวเหยานั่นเอง
“เก้าแสนห้า!” ชายนามว่ามู่อวิ๋นเทียนจากพรรคเซียวเหยาที่ได้อุ้งเล็บและหนังไปขานขึ้น สิ้นเสียงเขาก็ชำเลืองมองสาวชุดแดงมู่เหยาอย่างท้าทาย
เขาก็คือลูกศิษย์ของประมุขหอจี๋เล่อ แม้ไม่ใช่ลูกชายในสายเื แต่ตำแหน่งในหอจี๋เล่อก็นับว่าสูงทีเดียว เป็อัจฉริยะยอดคน อายุเพียงยี่สิบห้าก็เป็จอมยุทธ์ชั้นจันทราแล้ว
มู่เหยาแสยะยิ้ม แล้วขานเสียงดัง “หนึ่งล้าน!”
มู่อวิ๋นเทียนขมวดคิ้ว หนึ่งล้านนั้นเกินกว่าราคาจริงของเตาหลอมนี่แล้ว ขืนสู้ต่อไปคงขาดทุน อีกอย่างเขายังต้องเก็บไว้ใช้ประมูลอย่างอื่นอีก หากตอนนี้ใช้มือเติมเกินไป อีกเดี๋ยวคงไม่พอ คิดเช่นนี้แล้ว เขาจึงหยุดเงียบ
มู่เหยาเห็นเช่นนี้แล้วพลันทำเสียง “ฮึ”
ผู้เฒ่าอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างนั้นระอา เพื่อแย่งชิงเตาหลอมอันเดียวกับมู่อวิ๋นเทียน ถึงขั้นยอมเสียหนึ่งล้าน
“หนึ่งล้านหนึ่งแสน!”
ผู้เฒ่าเห็นไม่มีใครสู้ราคาเพิ่มกำลังจะเคาะค้อนในมือ ทันใดน้ำเสียงเกียจคร้านของใครบางคนก็ดังขึ้น เงยขึ้นไปมอง ก็เห็นว่าเป็คนจากที่นั่งแขกพิเศษ เพียงแต่คนที่เข้าร่วมการสู้ราคานั้นคาดไม่ถึง เพราะั้แ่เริ่มการประมูลเขายังไม่เคยประมูลของชิ้นใดเลย
หลิงเซียวเอ่ยขึ้น หากเขายังเงียบอยู่ เห็นทีคงถูกสายตาพิฆาตของโหยวเสี่ยวโม่ฆ่าเสียก่อน
ส่วนที่ว่าทำไมถึงเพิ่มแค่หมื่นเดียว เพราะขั้นต่ำของราคาที่แข่งกันคือหนึ่งหมื่น หากให้ต่ำได้กว่านี้ เขาเชื่อว่าโหยวเสี่ยวโม่คงให้เขาเพิ่มตัวเลขที่น้อยกว่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงนี้ มู่เหยาพบว่าคนที่พึ่งร่วมการประมูลคือคนที่นางสังเกตก่อนหน้านี้ ชะงักเล็กน้อย ผู้เฒ่าอวิ๋นคาดเดาไว้ไม่ผิด สองคนนี้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ คิดเช่นนี้ นางจึงไม่เพิ่มราคาต่อ แต่ก็ใช่ว่านางต้องเอาเตาหลอมนั่นเสียให้ได้ อีกอย่างเสียเงินหนึ่งล้านเพื่อเตาหลอมชั้นกลางอันเดียวคงได้ไม่คุ้มเสีย
เดิมทีนึกว่ามู่เหยาจะสู้ราคากับคนผู้นั้นต่อ แต่นางกลับนิ่งไป ทุกคนต่างประหลาดใจ เมื่อครู่ยังสู้ราคาแทบเป็แทบตายกับมู่อวิ๋นเทียนอยู่เลย ตอนนี้กลับถอดใจอย่างง่ายดาย หรือเป็คนรู้จักของนาง?
หน้าตามู่อวิ๋นเทียนดูไม่จืด เห็นได้ชัดว่ามู่เหยาแค่อยากงัดข้อกับเขา
“แขกหมายเลขสิบพึ่งออกราคาหนึ่งล้านหนึ่งหมื่น ยังมีใคร้าสู้ราคานี้หรือไม่? หากไม่มี ถ้างั้นเตาหลอมนี้ก็ตกเป็ของแขกหมายเลขสิบ” ผู้เฒ่ายิ้มแย้ม ราคานี้สำหรับเขาเป็ที่น่าพอใจ ตอนแรกเขาตั้งเป้าไว้ที่เก้าแสนเท่านั้น เมื่อไร้คนขานตอบ จึงเคาะค้อนในที่สุด
โหยวเสี่ยวโม่ดึงแขนเสื้อหลิงเซียว ท่าทีคิดหนัก
ทำไมน่ะเหรอ? เพราะว่าเงินหนึ่งล้านหนึ่งหมื่นนั้นแพงหูฉี่ อีกอย่างตอนนี้เขาไม่มีเงินเลยน่ะสิ
หลิงเซียวลูบหัวเขา ยิ้มแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องเสียดายหรอก การประมูลใกล้จบแล้ว น้ำปราณของเ้าอีกเดี๋ยวก็ออกมา ถึงตอนนั้นเ้าต้องยิ้มจนหุบไม่ลงแน่ เชื่อข้าเถอะ”
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้าขึ้นมองเขา ก็ได้ ข้าเชื่อท่าน
สองชั่วยามผ่านไป การประมูลก็เข้าสู่่ท้าย นั่นก็คือสมบัติล้ำค่าที่สุดสามอย่างของวันนี้
หนึ่งในนั้นคือวิชายุทธ์ชั้นกลางเล่มหนึ่งชื่อว่า เคล็ดวิชาสายฟ้าพิฆาต นี่คือวิชาพลังภายใน นักฝึกตนที่ฝึกวิชานี้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วปานสายฟ้า เร็วจนน่ากลัว มีคนกล่าวกันว่าหากฝึกวิชานี้ได้ก็สามารถต่อสู้กับผู้ที่เก่งกาจกว่าตนได้ เพราะถึงแม้จะพ่ายแพ้ ก็ยังสามารถหนีเอาตัวรอดจากวิชานี้ได้อยู่ อีกทั้งเป็วิชาชั้นยอดของขั้นกลาง ดังนั้นการปรากฏตัวของมันจึงทำให้ทั้งห้องที่เสียงดังเงียบลงทันใด จากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีก
สายตาร้อนแรงนับไม่ถ้วนจ้องไปยังม้วนกระดาษปึกนั้น แม้จะไม่ใช่คัมภีร์ขั้นสูง แต่หากได้ฝึกวิชาที่เอาตัวรอดเช่นนี้ได้ ก็มีสิ่งรับประกันชีวิตรอดของตนหลังจากนี้ได้ ผลลัพธ์พอกันกับยาดีๆ เลยทีเดียว
แต่แปลกที่แม้กระทั่งสำนักใหญ่อย่างเทียนซินเอง วิชากระบี่เหินฟ้า วิชายุทธ์ขั้นกลางยังถูกยกให้เป็วิชาที่ไม่สามารถถ่ายทอดสู่นอกสำนักได้ เห็นได้ว่าเคล็ดวิชาขั้นกลางชั้นสูงนั้นล้ำค่าหายากเพียงใด
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าเขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของผู้คน เสียดายที่เขาไม่ใช่นักฝึกตน ดังนั้นจึงไม่ตื่นเต้นอย่างพวกเขา แต่นับแต่ที่เขาประมูลเตาหลอมมาได้ เขาก็ยิ้มร่ามาตลอด ดวงตาโค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยว แลดูอารมณ์ดีไม่เบา
หลิงเซียวก้มลงมองท่าทีเขา ในใจก็รู้สึกโล่งสบาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้