เล่มที่ 4 บทที่ 112
เฉินเทียนหยูได้ยินเื่การจับนก เขาก็เบะปากจากนั้นะโจับนกกระจอกสีดำไว้ในมือ มู่หรงฉิงรับนกตัวนั้นและสวดอมิตตพุทธอยู่หลายหน จากนั้นจึงหยิบใบหญ้าที่ไม่โดนแดดและไม่มีลวดลายเส้นชีพจรใบหนึ่งยัดเข้าไปในปากนกตัวนั้น แม้มันไม่รู้ว่าใบหญ้าชนิดนี้มีพิษ ทว่าสัตว์เหล่านี้ดูเหมือนจะรู้ถึงอันตรายโดยธรรมชาติ มันไม่ยอมที่จะกลืนใบหญ้าเข้าไป หลังจากพยายามยัดใบหญ้าเข้าปากนกเป็เวลานาน ใบหญ้าถึงได้เข้าไปในปากนกเพียงครึ่งใบ
ในจังหวะที่เฉินเทียนหยูกำลังพูดพึมพำอย่างไม่พอใจที่มู่หรงฉิงไม่ยอมให้เขาเล่น ทันใดนั้นก็เห็นนกที่ถูกมู่หรงฉิงขว้างลงไปที่พื้นเืสาดออกมาจากปากของมันทันทีภายในเวลาไม่นาน การตายของมันก็เหมือนกับการตายของงูหลามั์ ถูกหลอมละลายไม่เหลือแม้กระทั่งขนที่ปีกหนึ่งเส้น
ภาพเบื้องหน้าไม่เพียงแต่เฉินเทียนหยูเท่านั้น แม้กระทั่งจ้าวจื่อซินก็เบิกตากว้างเช่นเดียวกัน
“ท่านพี่เห็นแล้วใช่หรือไม่? ก่อนที่ใบหญ้านี้จะถูกตากแดดจนแห้ง มันจะมีพิษที่ร้ายแรงมาก ถ้าเกิดท่านพี่ไปจับต้องมัน ท่านพี่ก็จะเหมือนกับนกตัวนี้ ที่แม้กระทั่งกระดูกก็ไม่เหลือ” เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่านางไม่ได้มีเจตนาพูดพล่ามให้คนตื่นตระหนก มู่หรงฉิงจึงพูดถึงงูหลามั์ที่พบเจอในวันนั้นให้กับสองสามคนฟัง
นางเล่าถึงงูหลามั์ถูกหลอมละลายจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกเนื่องจากใบหญ้าชนิดนี้ เฉินเทียนหยูใทันควันและถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหลังจ้าวจื่อซิน เขาจับแขนของจ้าวจื่อซินพลางมองมู่หรงฉิงด้วยความตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน “น้องหญิง น้องหญิงรีบมาที่นี่สิ ไม่เช่นนั้นน้องหญิงก็จะละลายไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกเช่นเดียวกัน”
“ข้าไม่เป็ไร ใบไม้เหล่านี้เป็ใบไม้ที่ข้าเป็คนเด็ดมาด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงยอมรับข้า” สาเหตุที่พูดไปอย่างนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เฉินเทียนหยูรู้ว่าร่างกายของนางสามารถต้านทานสารพัดพิษได้ เพราะถ้าเฉินเทียนหยูเกิดปากโป้ง มันต้องส่งผลกระทบต่อแผนการถัดจากนี้ของนางอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี จ้าวจื่อซินกลับหรี่ตาเล็กน้อย เมื่อเห็นมู่หรงฉิงยังคงพลิกใบไม้เพื่อตากแดดต่อไป เขาจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมนางถึงกำชับให้ปี้เอ๋อร์หลีกออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ หากกล่าวด้วยหลักของเหตุผล ร่างกายของนางสามารถต้านสารพัดพิษได้จริงๆ หรือ? เขาสงสัยเป็อย่างมากั้แ่คราวก่อนขณะอยู่ในลานเรือนของแม่รองเฉินกอปรสิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้ เขาได้เห็นความแปลกประหลาดของนางถึงสองหน ดูเหมือนว่านางจะสามารถต้านทานสารพัดพิษและสิ่งมีพิษไม่เข้าใกล้จริงๆ ด้วย
ยามได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของวัชพืชที่มีพิษด้วยสายตาของตนเอง เฉินเทียนหยูผู้ซึ่งมักจะกล้าหาญอยู่เสมอก็กลายเป็คนว่านอนสอนง่าย เขาซ่อนตัวอยู่ด้านหลังจ้าวจื่อซินโดยเหยียดศีรษะออกไปดูชั่วครั้งชั่วคราว ครั้นนึกถึงนกตัวนั้นที่สลายหายไปภายในชั่วพริบตา เขาใกลัวถึงกับไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังจ้าวจื่อซินทันควัน
หลังจากสังเกตดูแล้ว คิดว่าใบไม้ใช้การได้พอประมาณแล้ว มู่หรงฉิงจึงเรียกหลายคนเข้าไปในเรือน ไม่มีใครพูดอะไรสักพักหนึ่ง และพวกเขาทุกคนก็มองดูใบไม้ที่อาบแดดโดยไม่ได้พูดอะไร
จ้าวจื่อซินมองไปที่ลานสนามหญ้า จากนั้นไม่นานเขาก็เลื่อนสายตากลับมามองเฉินเทียนหยู ยานั้นจะใช้สำหรับเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงคงจะลังเลอยู่นานสองนานก่อนที่จะตัดสินใจลองสักตั้ง ถ้าเกิดเฉินเทียนหยูไม่เป็อะไร นั่นคงเป็เพราะ์เปิดตา แต่ถ้าเฉินเทียนหยูตายด้วยสิ่งนี้ คาดว่ามู่หรงฉิงคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิต
จ้าวจื่อซิน้าหยุดการตัดสินใจของมู่หรงฉิง แต่จากก้นบึ้งของหัวใจของเขาบอกกับตนเองว่า จะต้องลองสักครั้ง ถ้าพยายามหรือไม่พยายามก็จะต้องตายเหมือนกัน ถ้าไม่ลองคงต้องรอแต่ความตาย แต่ถ้าเขาพยายาม เขาจะต่อสู้กับโชคชะตาได้สักหน
“จ้าวจื่อซิน มีอะไรที่สามารถบรรจุใบหญ้านี้ได้หรือไม่? ทางที่ดีควรจะเป็ถุงผ้าที่พกพาได้สะดวก และไม่ทำให้กลิ่นเล็ดลอดออกมา” ของอยู่ในมือแล้วแต่การจัดเก็บนี่สิที่เป็ปัญหา ถ้าถูกคนค้นพบ หากเผลอกินเข้าไปอาจจะถึงตายได้
จ้าวจื่อซินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกไป เขากลับมาอีกหนพร้อมถือถุงมาสองใบ หนึ่งใบใหญ่และหนึ่งใบเล็ก ถุงใบนั้นเป็สีดําหมึกทั้งใบราวกับว่ามันถูกทาสีด้วยอะไรบางอย่างเป็พิเศษ ยามััรับรู้ได้ว่าเนื้อผ้าเรียบลื่นมาก ถึงกับเผลอคิดไปว่าเนื้อััของมันดีกว่าผ้าแพรเนื้อดีเล็กน้อย
“ถุงใบใหญ่สำหรับบรรจุใบหญ้าทั้งหมด ส่วนถุงใบเล็กบรรจุส่วนที่จะพกพาไปด้วย แต่ถุงใบนี้ เ้าควรจะเก็บไว้ใกล้ตัวเป็ดีที่สุด อย่าให้ใครเห็นเข้าล่ะ” เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์กับของมีค่าชิ้นนี้อยู่หลายส่วน หลังจากมองสักพักหนึ่ง เขาก็จำใจถอนสายตา หมุนตัวกลับไปในเรือน
“ข้าเอาสิ่งที่เ้าหวงไปหรือไม่?” เป็ครั้งแรกที่เห็นสายตากระสับกระส่ายทุรนทุรายของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “เ้าไม่จำเป็ต้องบังคับตัวเอง ถ้านี่คือของล้ำค่าสำหรับเ้า ข้าสามารถหาอย่างอื่นได้…”
“มันเป็สมบัติล้ำค่าจริงๆ ทว่าถ้ามันได้ใช้ไปกับสิ่งที่มีคุณค่า มันก็คุ้มค่า เ้าจะต้องคืนมันให้ข้า หลังจากที่เ้าใช้มัน” จ้าวจื่อซินพูดเน้นเสียงคำว่า 'จะต้อง' สองคำ โดยพูดเสริมในใจว่า ของชิ้นนี้คือสิ่งที่ข้าแลกมาด้วยชีวิต
ได้เห็นสีหน้าและอากัปกิริยาที่พยายามดิ้นรนของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงย่อมเข้าใจแล้วว่า ถุงใบนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แม้จะรู้ว่าคนเป็วิญญูชนจะไม่แย่งเอาของหวงของคนอื่น แต่มู่หรงฉิงไม่รู้จริงๆ ว่านางควรจะใช้ถุงอะไรในการบรรจุใบหญ้า? จึงสะกดจิตตัวเองซ้ำๆ หลายหนว่าข้าเป็ผู้หญิง ข้าไม่ใช่วิญญูชน อีกข้อข้าไม่ได้แย่งเอาของหวงของคนอื่นด้วย ข้าแค่หยิบยืมมาใช้แค่ไม่กี่วันเอง ถ้าเฉินเทียนหยูดีขึ้นแล้ว ข้าจะคืนถุงให้เขา
นางพูดในใจซ้ำๆ หลายหน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน นางใส่ใบไม้ลงไปในถุง และรู้สึกสบายใจเพิ่มมากขึ้น
ถุงเล็กใส่ไปแล้วไม่น้อย ถ้าดูจากปริมาณสิบใบต่อวัน ใช้เวลาเดือนกว่าๆ ย่อมไม่ใช่ปัญหา เดิมใบหญ้าใบอื่นๆ ตั้งใจจะเอากลับไปที่จวนเฉิน แต่หลังจากคิดได้ว่าในจวนเฉินมีศัตรูจำนวนมากคอยซุ่มซ่อนอยู่ หลังจากคิดพิจารณา จึงมอบถุงใบใหญ่ให้กับจ้าวจื่อซิน “รบกวนเ้าดูแลมันให้ข้าด้วย จงจำไว้ว่าอย่าเปิดถุงนี้เด็ดขาด”
จ้าวจื่อซินรับถุงโดยไม่พูดอะไร กระทั่งเห็นจ้าวจื่อซินนำถุงไปเก็บ มู่หรงฉิงถึงได้เลื่อนสายตามองไปที่เฉินเทียนหยูที่ยังคงมีท่าทีหวั่นกลัวด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉากที่เห็นก่อนหน้าแปลกประหลาดเกินไปแล้ว แม้เฉินเทียนหยูจะเป็คนใจกล้าเพียงใด แต่ครั้นเห็นว่า สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก เขาย่อมกลัวเช่นกัน
“ท่านพี่ ท่านพี่อยากกินอะไรในตอนเย็น? ฉิงเอ๋อร์จะทำให้ท่านพี่กิน” พูดกล่อมเฉินเทียนหยูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล ขณะมือรินน้ำเปล่าหนึ่งถ้วย ใบไม้ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ถูกแช่ลงไปในน้ำ โดยปราศจากร่องรอย เมื่อลดสายตามองจะเห็นของเหลวในลายเส้นสีดำคล้ายกับของเหลวสีหมึกและสีม่วงค่อยๆ ผสมรวมกันกับน้ำ ภายในเวลาเพียงชั่วขณะหนึ่ง น้ำในถ้วยก็ไม่ใสอีกต่อไป และใบไม้ก็เหมือนกับใบชาทั่วไป
เฉินเทียนหยูไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำในถ้วย ชายหนุ่มฟังแค่เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของมู่หรงฉิงที่ถามเขาว่าอยากจะกินอะไร? ในสมองของเขาก็ปรากฏจานขนมลอยขึ้นมาหลายจาน “ข้าอยากกินขนมของว่าง อยากกินขนมของว่างเยอะมาก”
“ขนมของว่างควรจะกินหลังอาหารเย็น แต่ใน่เวลาอาหารเย็น จะต้องกินอาหารตามปกติก่อน” ขณะพูดก็หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาดมกลิ่นเบาๆ รู้สึกว่าััได้ถึงกลิ่นแปลกๆ เข้าไปในจมูกซึ่งมีกลิ่นคาวปะปนอยู่เล็กน้อย
“อืม ปี้เอ๋อร์ นี่เป็ชาดีที่หามาจากที่ไหนกัน คิดไม่ถึงว่ามันจะหอมมากถึงเพียงนี้ ท่านพี่ลองดื่มดู รสชาติของมันก็ดีด้วยจริงๆ” มู่หรงฉิงส่งถ้วยชาถึงปากของเฉินเทียนหยูโดยไม่ได้ให้เฉินเทียนหยูเห็นแม้แต่ปราดเดียว นางเขย่งปลายเท้าพลางเกลี้ยกล่อมเฉินเทียนหยูให้อ้าปาก “อ้า ท่านพี่อ้าปาก ชาประเภทนี้ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับดื่มเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือ รสชาติของชา ยังอร่อยมากด้วย ท่านพี่ลองดื่ม”
เฉินเทียนหยูเดิมไม่้าดื่มชา แต่ครั้นเห็นใบหน้าเคลิบเคลิ้มของมู่หรงฉิงซึ่งพูดถึงรสชาติชาว่าอร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากลองดื่ม เดิมเขาเพียง้าลิ้มรสเพื่อชิมว่ามันอร่อยเท่าที่มู่หรงฉิงพูดไว้จริงๆ หรือไม่ แต่เขาไม่คิดว่า เมื่อเขาอ้าปาก มู่หรงฉิงกลับรินน้ำชาจากถ้วย และแม้กระทั่งใบไม้ยังถูกเทใส่ปากของเขาด้วย
“ท่านพี่อย่าคาย ใบชานั้นอร่อยจริงๆ” เห็นเฉินเทียนหยูอ้าปาก กำลังจะคายใบไม้ออกมา มู่หรงฉิงจึงรีบยกฝ่ามือขึ้นเพื่อกุมปากของเขาพลางมองดูเขาด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว และ้าให้เขากินใบไม้ก่อนที่จะปล่อยมือ
เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจว่าทำไมน้องหญิงถึงอยากให้เขากินใบชา แต่หลังจากพบว่าฝ่ามือที่กุมปากของน้องหญิงสั่นเทา เขาคิดว่ามือของนางเย็นอีกแล้ว เขาจึงรีบเอามือมาถูที่ฝ่ามือของนาง “ข้าจะไม่คาย ข้ากินแล้ว น้องหญิงดูสิ ข้ากินแล้ว”
พูดพลางเคี้ยวใบไม้จนกระทั่งกลืนใบไม้ทั้งหมด เขาถึงได้เปิดปากเพื่อให้มู่หรงฉิงตรวจสอบ
มือของมู่หรงฉิงสั่นเทาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากนางรู้ว่า ถัดจากนี้เฉินเทียนหยูจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างสุดจะทนได้
มองเฉินเทียนหยูกินใบไม้และดื่มชาโดยไม่เหลือแม้กระทั่งหยดเดียว ความกลัวอย่างไม่มีสาเหตุก็เกิดขึ้นในใจของมู่หรงฉิง นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ปล่อยให้เขากินใบไม้
“น้องหญิง ฝ่ามือของน้องหญิงเย็นมาก” เฉินเทียนหยูจับฝ่ามือของผู้เป็ภรรยาและเป่าลมร้อนหลายหน ทว่าฝ่ามือของนางกลับเย็นลงเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่นั้นฝ่ามือที่เขาจับมือนั้น ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอีกด้วย
เริ่มจากอึดอัดที่หัวใจจากนั้นจึงเริ่มปวดศีรษะ ราวกับว่ามีบางอย่างทิ่มแทงเข้าไปในสมองของเขา ขมับของเขากระตุก และหน้าผากของเขาก็ยิ่งเ็ปมากขึ้น
“น้องหญิง ข้าปวดศีรษะ” เฉินเทียนหยูพูดก่อนดวงตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนสี จากสีดำเข้มกลายเป็สีม่วงจางๆ ขณะที่เส้นเืสีน้ำเงินบนขมับของเขากระตุกอย่างรุนแรง สีม่วงจางๆ ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็สีม่วงเข้ม
มือที่จับมู่หรงฉิงถูกแทนที่ด้วยการถูหน้าผากของตนเอง เ็ปถึงกับอยากจะฉีกชิ้นส่วนของิัออกเพื่อให้สมองของเขาสบายขึ้น มือของมู่หรงฉิงสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้เห็นเฉินเทียนหยูกำหมัดชกศีรษะ นางจึงปรากฏความคิด จากนั้นรีบก้าวไปข้างหน้าและจับมือทั้งสองข้างของเขา พยายามจำกัดแรงมือของเขา ด้วยมือและแขนอันบอบบางของนาง
“น้องหญิง ข้าเจ็บ เจ็บมาก เจ็บมาก…” ะโร้องด้วยความเ็ป สติของเฉินเทียนหยูเริ่มพร่ามัว ก่อนเขาจะจำไม่ได้ว่าผู้หญิงที่กอดเขาคนนี้เป็ผู้หญิงที่เขา้าปกป้อง ความเ็ปในศีรษะเป็สาเหตุให้เขาอยากที่จะทำลายสมองข้างใน มือทั้งสองของเขาถูกจำกัดโดยมู่หรงฉิง และเฉินเทียนหยูผู้ซึ่งเกือบจะเสียสติก็ยกมือขึ้นผลักมู่หรงฉิงออกไปเต็มแรง
มู่หรงฉิงย่อมทนต่อแรงนั้นไม่ไหว ร่างกายของนางกระแทกเข้ากับผนังจนมีเืไหลออกมาจากปากเต็มคำ เืสีแดงสดหยดลงบนเสื้อคลุมราวกับดอกบ๊วยกำลังแบ่งบาน ทั้งสวยทั้งน่าอนาถใจ
“โอ๊ย... โอ๊ย...”
ความเ็ปในศีรษะของเขาเป็สาเหตุให้เฉินเทียนหยูตบศีรษะด้วยมือทั้งสองข้าง ทำร้ายตัวเองด้วยความรุนแรง แต่ทำเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถคลายความเ็ปของเขาได้ ทันทีที่เขาหันหลังกลับ เขาก็เอาศีรษะโขกเข้าที่กำแพง
ครั้นต้องเผชิญหน้ากับการทำร้ายตัวเองของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงได้แต่กัดริมฝีปากของตนเอง นางรีบเข้าไปข้างหน้าอีกหนโดยไม่ได้คิดอะไรอื่น “ท่านพี่ ท่านพี่อดทนไว้… เ้าอดทนไว้… อีกสักพักก็จะไม่เป็ไรแล้ว … ท่านพี่อย่าทำเช่นนี้... ได้โปรดอย่าทำเช่นนี้เลย…”
เืพุ่งกระฉูดออกจากหน้าผาก ทั้งยังทิ้งคราบเืไว้บนผนัง ขณะได้เห็นเืไหลลงมาจากหน้าผาก หัวใจของมู่หรงฉิงคล้ายกำลังจะแตกสลาย นางโผกอดเฉินเทียนหยูและร่ำไห้อย่างยากระงับ
แม้นางจะรู้ว่า หลังจากรับประทานหญ้าชิงโยว เขาจะเ็ปมากมาย แต่สิ่งที่รู้กับสิ่งที่เห็นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางเคยคิดเื่นี้มาหลายพันหมื่นตลบแล้ว บางทีเฉินเทียนหยูอาจจะตายด้วยความเ็ป หรือกรีดร้องด้วยความเ็ป แต่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ความเ็ปของเขาจะทำให้เขาพยายามบรรเทาความเ็ปด้วยการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
นางเสียใจแล้ว สีหน้าท่าทางของเฉินเทียนหยูทำให้นางรู้สึกเสียใจจริงๆ ถ้ายังคงต้องตายหลังจากกินยานี้ ทำไมต้องให้เขาทนทุกข์ทรมานกับความเ็ปด้วย? สู้ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวันจะดีกว่า ให้เขาได้กิน ได้ดื่ม ถึงเวลานั้นเขาจะผอมเนื้อติดกระดูกแล้วอย่างไร? ถ้าเขาไม่รอดชีวิตภายในเวลาครึ่งปี แล้วอย่างไรหรือ? อย่างน้อยเขาจะไม่ต้องทรมานมากถึงเพียงนี้...
โอบกอดเฉินเทียนหยูไว้แน่น นางได้แต่ปรารถนาว่าตนเองจะสามารถกลายเป็เทพ์ผู้มีความกล้าหาญที่จะผลักดันูเาและโลก และสามารถหยุดเขาได้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง
“อ๊า... อ๊า...”
เฉินเทียนหยูคำรามอย่างต่อเนื่อง ผลักมู่หรงฉิงออกไปอีกหน คราวนี้นางเหมือนใบไม้ตายถูกโยนกระแทกเข้ากับผนังอย่างดุเดือด เืไหลออกมาจากปากราวกับละอองเืทำให้ดวงตาของนางเลือนราง...
“ท่านพี่... ท่านพี่...” นางเกลียดมาก นางเกลียดคนพวกนั้น ทำไมคนพวกนั้นถึงทำกับท่านแม่ของนางเช่นนั้น? ทำไมพวกเขาถึงมีจิตมุ่งหมายจะทำร้ายพี่ชายใหญ่ของนาง? และทำร้ายนาง? รวมถึงเฉินเทียนหยูด้วย พวกเขาทำไปเพื่ออะไรหรือ?