หลังจากเทศกาลโคมไฟ ฮูหยินเหยียนก็ส่งคนไปซื้อคฤหาสน์ที่เมืองเทียนชู เพื่ออำนวยความสะดวกให้อิ้งหลีหลังจากไปอยู่ที่นั่น ในเวลาเดียวกันเหยียนชิงก็ให้จิงโม่ส่งจดหมายไปบอกหยางเหิง เพื่อที่เขาจะได้ดูแลอิ้งหลีเมื่อถึงเวลานั้นด้วย
หลังจากเดือนแรกสิ้นสุดลง อิ้งหลีจึงเดินทางออกจากจวนเพื่อไปยังเมืองหลวง เดินทางไปก่อนเวลาเพื่อปักหลักเตรียมตัวรอสอบในเดือนสอง และรอประกาศผลสอบในเดือนสาม
การสอบขุนนางก็เป็เช่นนี้
การสอบเข้าร่วมขุนนางสำหรับอิ้งหลีแล้วกลับเป็เื่ที่เฉยๆ มาก ไม่มีความเร่งด่วนไม่มีความวิตกกังวล แต่ความเศร้าเดียวที่เกิดก็คืออิ้งหลีต้องออกมาจากตระกูลเหยียน ครั้งนี้มาไม่กี่เดือนก็ได้กลับไป แต่ต่อไปหากได้รับตำแหน่งขุนนางแล้วคงยากจะได้กลับไป
หลังจากที่เขาเข้าเมืองหลวงและเริ่มเข้าที่เข้าทาง ก็รอหลังจากเหยียนชิงเข้าพิธีสวมกวานแล้วค่อยเริ่มลงมือจัดการเื่ของตระกูลเว่ย เมื่อถึงตอนนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ถึงขั้นพายุนองเื แต่ก็อาจจะเกิดความโกลาหลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้ก็ยากจะถอนตัวออกมาได้ง่าย เขาจะทำตามที่เหยียนชิงคาดหวังเอาไว้ได้หรือไม่?
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตระกูลเหยียนนับว่าเป็ครอบครัวของเขาในชีวิตนี้ ในใจของเขาคิดว่านี่คือบ้านที่แท้จริงของเขาไปนานแล้ว
สิ้นเดือนแรกจบลง ก็เริ่มต้นเดือนสอง ก่อนที่อิ้งหลีจะไปเมืองหลวง ตระกูลเหยียนได้จัดงานเลี้ยงเลี้ยงส่งให้กับเขา ในเวลาเดียวกัน บางสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเว่ยซูหานและเหยียนชิง ในงานเลี้ยง ฮูหยินถังก็กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บอกจะหาวันดีๆ ให้คนไปเจรจาสู่ขอม่อเสียวเสี่ยว
ทุกคนต่างก็ยกแก้วแสดงความยินดี แต่ในใจของเหยียนชิงและเว่ยซูหานกลับมีความคิดอื่น
ชาติก่อนม่อเสียวเสี่ยวเป็อนุของเหยียนิฮ่วนั้แ่นางอายุสิบสองปี แต่ชาตินี้นางจะได้แต่งกับเหยียนิฮ่วนในฐานะชายาเอก ซึ่งต่างไปจากเดิม
หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา แเื่กลับกันสิ้น ฮูหยินเหยียนจึงเรียกเหยียนชิงไปที่ห้องหนังสือของนายท่านเหยียนเพียงลำพัง
“ท่านแม่”
เหยียนชิงทำความเคารพ หลังจากที่ท่านพ่อจากไป ท่านแม่ก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลย ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ ท่านแม่มักจะอยู่ที่นี่คอยจัดการเื่ต่างๆ เป็เพื่อนท่านพ่อ
ฮูหยินเหยียนนั่งลงหน้าโต๊ะซึ่งเคยเป็โต๊ะที่พ่อของเขาเคยนั่งตอนมีชีวิตอยู่ นางกำลังพลิกดูบันทึกที่เขาเคยทำเอาไว้ แล้วมองไปที่เหยียนชิงซึ่งกำลังเดินเข้ามาและพยักหน้าเล็กน้อย
“นั่งสิ”
“ขอรับ” เหยียนชิงนั่งลงตามที่สั่ง มองฮูหยินเหยียนพลิกบันทึกเื่ที่ไม่สำคัญของบิดาเสร็จแล้วก็วางลง
“เห็นตัวอักษรก็เหมือนได้เห็นหน้า เผลอแป๊บเดียว พ่อเ้าก็จากไปสามปีแล้ว”
ฮูหยินเหยียนเงียบไป นึกถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่านางผ่านมาได้อย่างไร
เหยียนชิงก้มหน้า “ลำบากท่านแม่แล้ว”
ฮูหยินเหยียนส่ายหน้า “พวกเ้าโตเป็ผู้ใหญ่ ความลำบากนี้ย่อมคุ้มค่า”
เหยียนชิงไม่พูดจา เพียงกัดปากเบาๆ กว่าจะพูดได้น้อยเช่นนี้ไม่รู้ว่าต้องผ่านความขมขื่นมามากแค่ไหน
ฮูหยินเหยียนมองดูชายที่นั่งตัวตรงและก้มศีรษะครู่หนึ่งแล้วถามว่า
“จริงสิ ข้าเองก็รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ... ชิงเอ๋อร์ เ้าคิดเห็นอย่างไรกับการที่ฮูหยินถังจะสู่ขอคุณหนูม่อ?”
เหยียนชิงคิดอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยตอบ
“แม้ว่าพี่ชายจะเสเพลไปหน่อย แต่ก็เป็คนมีพร์ เขาก็เป็คุณชายตระกูลเหยียนด้วย คุณหนูม่อเพียบพร้อมทุกอย่างแต่งงานกับเขาย่อมเป็เื่เหมาะสม”
ฮูหยินเหยียนพูดไปก็สังเกตสีหน้าของเขาไปด้วย หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“เสียวเสี่ยวเป็เด็กรู้ความ ฉลาด เรียนรู้เร็ว... แม่เองก็ชอบนาง”
“...” เหยียนชิงไม่พูดอะไร รอให้นางเอ่ยต่อ
ฮูหยินเหยียนถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ชิงเอ๋อร์ เ้ารู้หรือไม่ว่าเสียวเสี่ยวชอบเ้า?”
เหยียนชิงพยักหน้า “พอรู้บ้างขอรับ”
ฮูหยินเหยียน “แม่อยากฟังคำพูดจากใจของเ้า”
เหยียนชิงเงยหน้าขึ้นมองนาง จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจัง
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้ชอบม่อเสียวเสี่ยว หากท่านแม่รู้สึกเสียดายลูกนั่นไม่จำเป็เลย หากท่านแม่รู้สึกเสียดาย ลูกต้องขออภัยและขอให้ท่านแม่ยกโทษที่ลูกอกตัญญู
“ฮ่า ๆ ... เด็กคนนี้” ฮูหยินเหยียนหลุดหัวเราะ
“สิ่งที่บังคับไม่ได้มากที่สุดในโลกนี้ก็คือความรัก ไหนเลยจะตัดสินว่าอกตัญญูหรือไม่ ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ช่างเถอะ รอให้เหยียนิฮ่วนแต่งงาน พวกเราก็ค่อยช่วยเหลือให้เต็มที่ในฐานะครอบครัวเดียวกันแล้วกัน”
เหยียนชิงมีใบหน้าร้อนผ่าว “ขอบคุณท่านแม่ที่เข้าใจ เื่นี้ท่านแม่ตัดสินเลยจะดีกว่า”
หากวันใดเหยียนิฮ่วนทำตัวชั่วร้าย ร่วมมือกับตระกูลม่อเพื่อทำร้ายตระกูลเหยียน เขาจำได้ว่าม่อเสียวเสี่ยวในชาติก่อนก็ไม่ใช่เล่น ๆ หวังว่าการแต่งงานเป็ชายาเอกในชาตินี้จะทำให้นางสามารถดูแลเหยียนิฮ่วนได้
ฮูหยินเหยียนมองไปที่ลูกชายที่นอบน้อม หลังจากนั้นไม่นานก็เอ่ยหยอกล้อ
“ผูกสัมพันธ์หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติภพ หัวใจมีจำกัด ชาตินี้ขอมีภรรยาเพียงคนเดียว... ได้ความหลงใหลในความรักมาจากสายเืของตระกูลเหยียน”
“เอ่อ...”
เหยียนชิงตะลึงงัน ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ที่แท้ท่านแม่ก็รู้อยู่แล้ว แค่เอ่ยถามหยั่งเชิงเท่านั้น
“ตอนนั้นที่ข้าแต่งเข้าจวนมาพร้อมกับสินสอดทองหมั้น พ่อของเ้าก็เป็เช่นนี้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นข้าพาตัวเองที่เบื่อหน่ายผ่านมาได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เ้าคอยไกล่เกลี่ย เกรงว่าข้าคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เ้าจากไป ความใส่ใจของเขาทั้งหมดก็คงมาอยู่ที่ข้ากับพวกเ้า ข้าน่ะ กลัวว่าจะเป็แม่เลี้ยงใจร้ายมาก ๆ ฮ่า ๆ...”
ขณะที่นางพูดนางก็อดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อนึกถึงชีวิตของคนทั้งสาม ฮูหยินเหยียนก็อดหัวเราะไม่ได้ ชายคนนั้นฉลาด แต่ก็ใส่ใจกับเื่จุกจิกเหมือนคนโง่ ทุกครั้งก็มักจะนึกถึง่เวลาอันล้ำค่า
เหยียนชิงลุกขึ้นเดินเข้ามา จับไหล่ของมารดาแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“หากไม่มีท่านแม่ ตระกูลเหยียนจะสงบสุขเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านแม่ที่ให้กำเนิดข้าบุญน้อย ท่านคือผู้มีพระคุณของตระกูลเหยียน”
ถ้าไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งและสติปัญญาของสตรีคนนี้ ตระกูลเหยียนคงล่มสลายไปนานแล้ว
เหยียนชิงลูบมือของเขาเบาๆ “แม้เ้าให้ความโชคดีกับพวกเ้าแล้ว”
เหยียนชิงพยักหน้าอย่างแรง “อือ”
“เฮ้อ พูดเช่นนี้ทำให้สตรีใจสลายได้นะ ในชีวิตนี้ต้องเป็เว่ยซูหานเท่านั้นใช่หรือไม่ ถ้าต้องแยกจากกันในอนาคต เ้าจะทำอย่างไร”
เมื่อม่อเสียวเสี่ยวมาเยี่ยมครั้งก่อน นางได้บอกสิ่งที่เหยียนชิงพูดกับนางให้ตนฟัง นางก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตัวเองเมื่อตอนที่นางยังเด็ก น่าเสียดายที่สถานการณ์ของเหยียนชิงนั้นแตกต่างจากพวกเขาในเวลานั้น ไม่ดีเลยหากนางใช้คำพูดบังคับลูกชาย
ในฐานะพ่อแม่ สิ่งที่แย่ที่สุดคือทำลายคู่เป็ดยวนยาง บังคับโชคชะตาให้บิดเบี้ยว เดิมทีนางก็รู้สึกผิดที่ตอนนั้นให้เหยียนชิงกับเว่ยซูหานแต่งงานกัน แต่ตอนนี้นางรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ที่ถูกฝืนของพวกเขากลายเป็เื่ดี
แม้ว่านางจะอาศัยอยู่อย่างมีความสุขกับมารดาผู้ให้กำเนิดเหยียนชิงและนายท่านเหยียน แต่ความเศร้าที่ไม่สามารถบรรยายได้บางอย่างยังคงเ็ปทุกครั้งที่นางรู้สึกโดดเดี่ยวไร้หนทางราวกับรอยแผลที่ลบไม่ออก
เหยียนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบอย่างจริงจัง
“อย่ากังวลไปเลยท่านแม่ เมื่อเขามีตำแหน่งขุนนาง ความอยุติธรรมของตระกูลเว่ยก็จะคลี่คลาย หากโชคชะตาของพวกเรายังไม่สิ้นสุด ข้าก็จะอยู่ต่อไป หากวาสนาหมดแล้ว เขาแต่งอนุเป็ฝูง ข้าก็จะออกมาอยู่บ้านอีกหลัง ชาตินี้ได้ไหว้ฟ้าดินกับแล้ว ข้าจะไม่หักหลังเขา”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากจะปฏิบัติต่อเว่ยซูหานอย่างอ่อนโยน และถ้าตอนนี้เขามีใจให้หลายคน ความหึงหวงของคนผู้นั้นแทบจะแช่ตระกูลเหยียนได้ทั้งหลัง
ฮูหยินเหยียนถอนหายใจเบาๆ “เ้าโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว แม่ควบคุมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ แม่อยากให้เ้ามีความสุข”
เหยียนชิง “ขอบคุณท่านแม่”
หายากนักที่ฮูหยินเหยียนจะมาพูดคุยเื่เก่า ๆ แม่ลูกนั่นคุยกันอยู่ในห้องหนังสือนานจนดึก จากนั้นฮูหยินเหยียนก็บอกว่าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก เหยียนชิงจึงเดินออกไป และกลับไปที่หอชิงเฟิง เห็นร่างผอมเรียวนั่งอยู่ขั้นบันไดหน้าประตูรอเขากลับมา
เฉินเซียงก้าวถอยหลังไปอย่างรู้งาน เว่ยซูหานเดินเข้าไปจับมือของเหยียนชิงและเดินเข้าไปด้านใน กระทั่งทั้งสองคนเดินไปถึงห้อง กอดกันเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เว่ยซูหานถึงได้บอกว่า
“ชิงเอ๋อร์ ท่านแม่พูดอะไรกับเ้า”
เหยียนชิงอยู่ในอ้อมกอดของเขาและมองเขาด้วยรอยยิ้ม "เ้าทายสิ" ฮูหยินของเขาอาจจะกำลังคิดอย่างบ้าคลั่งก็ได้
เว่ยซูหานวางคางไว้บนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เื่ม่อเสียวเสี่ยว?”
ฮูหยินเหยียนชอบม่อเสียวเสี่ยว แม้ว่านางจะไม่ได้บอกหรือไม่ได้พูดกับเหยียนชิงต่อหน้าเขา แต่เกรงว่านางก็คงรวมสตรีคนนั้นไว้ในตัวเลือกอนุของเหยียนชิง ตอนนี้ฮูหยินถังก็เอ่ยขึ้นเช่นนั้น ฮูหยินเหยียนคงอยากรู้ว่าเหยียนชิงคิดอย่างไร ถ้าฮูหยินเข้าไปก้าวก่าย ม่อเสียวเสี่ยวจะไม่ยอมรับเหยียนิฮ่วนอย่างแน่นอน
“ใช่” เหยียนชิงพยักหน้า และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จูบใบหน้าที่ขุ่นเคืองของเขาอย่างมีเลศนัย
“ท่านแม่ปรึกษาข้าว่าจะช่วยท่านพี่จัดงานอย่างไร แม้ว่าเหยียนิฮ่วนจะทำตัวน่ารำคาญไปหน่อย แต่ถึงอย่างไรก็เป็ลูกหลานตระกูลเหยียน พวกเราครอบครัวเดียวกันก็ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย แต่เื่นี้ข้าให้ท่านแม่เป็คนตัดสินใจ พวกเราไม่ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่ง”
“หืม?” เว่ยซูหานได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้ว ครู่ต่อมาก็กัดลงบนลำคอที่ขาวเนียนของเขา “เ้าจงใจ”
จงใจทำให้เขาคิดมาก ชิงเอ๋อร์ของเขาเริ่มเรียนรู้ความชั่วร้ายแล้ว
เหยียนชิงยิ้มอย่างเหิมเกริม และไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด บรรยากาศค่อยๆ เริ่มยุ่งเหยิงขึ้นมาทีละนิด
“อื้อ อืม... เอาล่ะ....”
“อืม อย่าวุ่นวาย… อื้อๆ....”
“ชิงเอ๋อร์...” เว่ยซูหานใช้ลิ้นละเลงไปทั่วลำคอของเขา สองมือััหน้าอกของเขา “สองวันมานี้ที่จวนก็ยุ่งเอาการ ข้าเองก็ไม่ได้ขอ พรุ่งนี้ต้องไปส่งอิ้งหลีที่ประตูเมือง เ้าไม่คิดจะให้รางวัลข้าหน่อยหรือ หืม?”
เหยียนชิงเงยหน้าขึ้นจับมือทั้งสองข้างของเขา หันหน้าไปด้านข้างหอบหายใจไม่หยุด
“เอ่อ อื้อ...”
“ใครใช้ให้เ้าไม่พาข้าไปด้วยอืม...”
อันที่จริงเขาอยากจะออกจากเมืองหลวงตาอิ้งหลีไปเพื่อจัดการเื่บางอย่าง
เว่ยซูหานกดคนที่อยู่เบื้องล่างแล้วยิ้มบาง “ต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศจะเย็นเล็กน้อย อากาศเย็นไม่ดีต่อร่างกายเ้า ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
“ข้าอื้อ...
เว่ยซูหานอุดปากเขาไว้
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่ให้ไปก็คือไม่ให้ไป เ้าก็อยู่บ้านดีๆ รอข้ากลับมา”
ไปครั้งนี้เขามีเื่ต้องทำ เหยียนชิงฉลาดเกินไป ไปด้วยแล้วเขาทำอะไรไม่สะดวก
“เอาเถอะ... อือ ระวังตัวดีๆ...”
“รู้แล้ว”
ก่อนที่อิ้งหลีจะออกเดินทางไปเมืองเทียนซู นอกจากกลุ่มคนที่ต้องไปรับใช้เขาในเมืองหลวง เหยียนชิงยังส่งองครักษ์และหงเย่าตามไปด้วย
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเมื่อก่อน ส่วนใหญ่เหยียนชิงจะอยู่กับเว่ยซูหาน ข้างกายมีชุนเซียง ไป๋เส่าและหลินชวน มีคนพวกนี้คอยดูแลก็เพียงพอแล้ว หงเย่าเป็คนเฉลียวฉลาด เป็สาวใช้ข้างกายเหยียนชิง เขาสบายใจได้มากกว่า
หลังจากคืนนั้นสาวน้อยไม่ได้อาวรณ์กับสถานที่อยู่เดิม วันต่อมานางเก็บกระเป๋าตามอิ้งหลีไปด้วยความตื่นเต้น
เมื่อขึ้นรถม้าไปแล้ว ไป๋เย่าจับมือน้องสาวด้วยดวงตาแดงก่ำแล้วกำชับ
“หงเย่า ไปเมืองหลวงอย่าได้ทำให้คุณชายรองรำคาญใจล่ะ”
หงเย่าพยักหน้าอดทนกับจมูกที่แสบ
“วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะทำตัวสะเพร่าได้แค่ในเรือนนี้เท่านั้น แต่ข้างนอกนั่นทำไม่ได้ พี่สาวข้าวางใจเถอะ ข้าจะดูแลคุณชายรองให้ดี”
หลังจากไป๋เส่าและเฉินเซียงถอยออกมาก็โบกมือลา ไม่นานนัก ฮูหยินเหยียนก็กำชับคนที่จะไปเมืองหลวงกับอิ้งหลี
เหยียนชิงตบไหล่ของฮูหยินเหยียน “ท่านแม่ ด้านนอกหนาวมาก พวกเรากลับกันเถอะ พี่รองต้องเดินทางปลอดภัยแน่นอน”
ฮูหยินเหยียนพยักหน้า “ดี”
