หอเหลียงชุนคือหอนางโลม เป็สถานที่ที่ผู้คนพากันไปหาความรื่นเริงและยลโฉมสาวงาม
ทั้งยังเป็สถานที่สำหรับขุนนางหรือชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่ไม่ว่าใครต่างก็อยากไป
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ของบ้านเมือง หรงจิ่งจึงแอบซื้อหอเหลียงชุนและใส่ไว้ในนามของไป๋มู่
แต่จุดประสงค์หลักที่หรงจิ่งให้ไป๋มู่เข้าไปอยู่ในหอเหลียงชุนนี้ก็เพราะ้าให้เขาสอดแนมข่าวคราว
เดิมทีสถานะของไป๋มู่ในหอนางโลมเป็เพียงเด็กรับใช้คนหนึ่ง แต่เนื่องจากมนุษย์ล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกอยาก
ใครจะไปรู้ว่าวันหนึ่งที่เขากำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปทำงานกลับได้พบกับฉินข่าย ฉินข่ายรู้สึกราวกับไป๋มู่คือรักแรกพบ พร้อมห้ามไม่ให้ผู้ใดก็ตามมาแตะต้องเขา
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็เช่นนี้อยู่นาน ฉินข่ายปฏิบัติกับเขาดั่งสมบัติอันแสนหวงแหน ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง แม้แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน
ดวงตาของไป๋มู่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ก่อนที่ไหล่จะสั่นไหวพร้อมกับเริ่มมีเสียงร้องสะอื้น
“ขอความเมตตา ท่านอ๋องกับนายท่านหรงช่วยฉินข่ายด้วยเถิด”
หรงจิ่งไม่รู้ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาจึงหันไปถามอวี้ฉู่จาว แต่ท่านอ๋องเพียงหันมาสบตากับหรงจิ่งเท่านั้น อย่างกับ้าบอกว่านี่คนของเ้า เ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวจึงหันกลับมาสนใจดื่มชาต่อ
หรงจิ่งไม่เคยรู้เื่นี้มาก่อน ความสัมพันธ์ของเขากับไป๋มู่มีเพียงการรายงานข่าวคราวเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่ทำให้อวี้ฉู่จาวรู้เื่ของฉินข่ายกับไป๋มู่มาจากตอนที่เขาจัดการกับหลินเหลียง ในตอนนั้น เขาเพียง้าให้ไป๋มู่ช่วยทำลายชื่อเสียงของหลินเหลียงก็เท่านั้น เจตนาทำให้นางเว่ยแพ้ภัยตัวเอง
ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะมีฉินข่ายโผล่เข้ามาในเื่นี้
ภายหลังเื่ราวของหลินเหลียง แม้ว่าฉินข่าย้าฆ่าอีกฝ่ายเพื่อล้างแค้นเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยนึกรังเกียจไป๋มู่
เขาพาไป๋มู่กลับไปที่จวนจนทะเลาะกับผู้เป็บิดา ต่อมากลับกลายเป็เริ่มสร้างความแตกแยก
และเหตุการณ์ในครั้งนี้เอง ทำให้ไป๋มู่ยอมรับในตัวฉินข่าย
ก่อนหน้านี้ ไป๋มู่ไม่ได้มีความสันพันธ์อะไรกับหลินเหลียง แต่เพื่ออวี้ฉู่จาว เขาจึงไม่ได้บอกเื่นี้กับฉินข่าย
หรงจิ่งพอจะเข้าใจแล้วว่า ‘มู่เอ๋อร์คงจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเ้านั่น’
ไป๋มู่คือเด็กที่หรงจิ่งเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาจะไม่เข้าใจและไม่สงสารได้อย่างไรกัน
ไป๋มู่ยกแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “บนโลกนี้ ไม่มีทางที่จะมีใครดีกับข้าได้เท่ากับเขาอีกแล้ว เขารู้ใจข้า ทำให้ข้ามีความสุข ไม่เคยบังคับให้ข้าทำเื่ที่ไม่ชอบ ถึงแม้จะรู้ว่าข้าแปดเปื้อนก็ไม่เคยนึกรังเกียจข้าแม้แต่น้อย…” ไป๋มู่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ
บุคคลเพียงผู้เดียวที่ดีกับเขาจะถูกตัดสินหลังผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงเสียแล้ว
หรงจิ่งรู้สึกเห็นใจไป๋มู่ จึงได้แต่หันไปมองอวี้ฉู่จาว
ฉับพลัน อวี้ฉู่จาวกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ “การค้าของตงเยวี่ยอยู่ในมือแล้ว เ้าเข้าใจด้านการค้าหรือไม่”
หรงจิ่งได้แต่ส่ายหัวด้วยความงุนงง
“เปิ่นหวังก็ไม่เข้าใจ…” อวี้ฉู่จาวพลันลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นให้เป็หน้าที่เ้า ไปคิดหาทางออกมา”
“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” หรงจิ่งมองอวี้ฉู่จาวที่เดินห่างออกไปด้วยความสงสัยเปี่ยมล้น
แต่เมื่อหรงจิ่งหันกลับไปมองไป๋มู่ที่คุกเข่าร้องไห้อยู่ เขาก็เข้าใจในทันที
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่านอ๋องเอ่ยออกมาว่าหากสงสารก็จงหาทางช่วยเหลือ นั่นคงหมายความว่าอยากให้เขาช่วยเหลือฉินข่าย
ในตระกูลฉิน ฉินข่ายทำหน้าที่ดูแลด้านการค้าเป็หลัก การค้าตงเยวี่ยก็อยู่ในความดูแลของพวกเขาแล้ว
หลังจากเข้าใจเื่ราว ความรู้สึกภายในใจของหรงจิ่งเริ่มดีขึ้น แต่เขาก็ยังแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา
“มู่เอ๋อร์ จะช่วยอีกฝ่ายออกมาจากคุกมันไม่ใช่เื่ง่ายเลยนะ อีกทั้งสถานการณ์ตอนนี้ช่างวุ่นวายนัก ความสัมพันธ์ขององค์ชายห้ากับตระกูลฉินและท่านอ๋องของพวกเราก็ค่อนข้าง…”
หรงจิ่งกล่าวออกมาครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งไป๋มู่ก็เข้าใจเป็อย่างดี
ศัตรูของท่านอ๋องมีอยู่รอบด้าน
“...หลังจากที่ช่วยฉินข่ายออกมา พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะเป็มิตรหรือศัตรู หากมันกลายเป็การนำความเดือดร้อนมาให้ท่านอ๋องล่ะ เ้าจะทำเช่นไร”
ไป๋มู่ได้แต่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
นี่หมายความว่าไม่อาจช่วยเหลือฉินข่ายได้ใช่หรือไม่? หากเป็เช่นนั้นจะทำอย่างไร…
“แต่ว่า…” ทันที่เอ่ยประโยคต่อมา หรงจิ่งจึงเห็นท่าทีของไป๋มู่ที่เปลี่ยนไปโดยพลัน
ไป๋มู่เงยหน้าขึ้นมอง ราวกับ้าคว้าฟางเส้นสุดท้าย
“หากเ้าสามารถโน้มน้าวฉินข่ายไม่ให้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลฉินได้อีก พร้อมทั้งจงรักภักดีต่อจ้านหวัง ข้าจะหาทางบอกกับท่านอ๋องให้ช่วยเขาออกมา”
ฉินฉือลากตนเองออกมาให้เป็แพะรับบาปเช่นนี้ ก็เพื่อปูทางให้กับองค์ชายห้า
หากเป็อย่างนั้น วันนี้ฉินข่ายคงโกรธเคืองตระกูลฉินอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ว่าเื่ใดก็ทำเพื่ออวี้ฉู่หลิง แถมเมื่อเกิดเื่ยังเอาชีวิตตัวเองมาแลกอีก
หรงจิ่งคิดว่า หากสามารถคว้าโอกาสในครั้งนี้ ให้ฉินข่ายตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลฉิน เปลี่ยนให้กลายมาเป็บุญคุณที่อวี้ฉู่จาวได้ช่วยชีวิตเอาไว้ก็คงจะเป็กำไรต่อฝั่งพวกเขาไม่น้อย
ไป๋มู่เข้าใจเป็อย่างดี ตอนนี้ในใจเขาเองก็โกรธแค้นตระกูลฉินยิ่งนัก
“ข้าทำได้ขอรับ ขอเพียงนายท่านหรงช่วยหาทางให้ข้ากับเขาได้พบกัน”
“ไม่มีปัญหา” หรงจิ่งตอบกลับด้วยท่าทีมีความสุข
.........
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งหลินหร่านที่อยู่ในตำหนักเทพเ้าแห่งานั้น เขาหมกตัวอยู่แต่ในห้องตำราตลอด่เช้า
หลินหร่านอ่านตำราจนเหนื่อย ในตอนที่กำลังจะผล็อยหลับ เข้าสู่ห้วงนิทรานั้น
หลานจื่อกับเหม่ยจื่อได้นำชากับขนมเข้ามาให้ ก่อนเหลือบไปเห็นตำราเกี่ยวกับการแพทย์ที่วางอยู่บนโต๊ะของหลินหร่านพอดี
“เอ๋ พระชายา้าศึกษาด้านการแพทย์หรือเพคะ” หลานจื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางระบายยิ้มเล็กน้อย
“ใช่แล้ว...ถือว่าได้เรียนรู้อะไรสักหน่อยใน่เวลาว่างน่ะ” หลินหร่านก้มหน้าบอก
การพูดกับท่าทางนั้นช่างเชื่องช้าและเขินอาย ดูไม่เป็ธรรมชาติ เขาไม่กล้าสบตากับพวกหลานจื่อเลย
หลานจื่อยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น พระชายาของพวกนางเป็คนอ่อนโยน เวลาพูดคุยกับเหล่านางกำนัลอย่างพวกนางมักจะเขินอาย และยังแสดงท่าทีไม่ค่อยผ่อนคลายเสมอ เื่พวกนี้นางรับรู้ดี
“ศึกษาด้านการแพทย์ก็ดีนะเพคะ” เหม่ยจื่อเป็อีกคนที่อายุยังน้อย หลินหร่านเป็คนดีในสายตาของนาง เวลาทำอะไรมักให้ความรู้สึกที่เป็กันเอง
“ท่านอ๋องของพวกเราเป็แม่ทัพใหญ่ บ่อยครั้งต้องออกรบ อีกหน่อยพระชายาก็ไปเป็แพทย์สนามประจำกองทัพได้ นอกจากนี้ ไม่แน่พระชายาอาจได้ดูแลท่านอ๋องด้วยตนเองนะเพคะ”
ถ้อยคำของเหม่ยจื่อทำให้หลินหร่านจินตนาการไปไกล
หากได้ออกรบร่วมกับท่านอ๋อง ต่อสู้กับศัตรูเคียงข้างกัน ได้ก้าวไปด้วยกันเช่นนั้นก็คงดี
“หากจำไม่ผิดคงเป็เมื่อสี่ปีก่อน ท่านอ๋องได้รับาเ็จากการไปออกรบทางตะวันออกเฉียงเหนือ เกือบไม่รอดชีวิต ทุกคนต่างเร่งรีบเดินทางไม่สนเดือนสนตะวัน ้าพาท่านอ๋องกลับมายังเมืองหลวงและช่วยชีวิตให้จงได้...แต่่เวลานี้ก็นับว่าดีแล้ว หากพระชายาจะศึกษาด้านการแพทย์จริงก็จะได้อยู่เคียงข้างท่านอ๋อง หากท่านอ๋องาเ็หรือเกิดเหตุอันใดจะได้ไม่ต้องกังวลพระทัย…”
“เหม่ยจื่อ!”
หลานจื่อพลันตำหนิเหม่ยจื่อออกมาเสียงดัง “เ้าพูดอะไรออกมา นี่เ้าแช่งให้ท่านอ๋องาเ็หรือ?”
“อ้ะ” เหม่ยจื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเอ่ยอะไรออกไป นางรีบแลบลิ้นออกมาพร้อมกับยอมรับผิด “พระชายาเพคะ เหม่ยจื่อยอมรับผิดแล้วเพคะ”
แต่หลินหร่านกลับสนใจสิ่งที่เหม่ยจื่อเอ่ยออกมาก่อนหน้านี้ ที่พูดว่าช่วยชีวิตท่านอ๋องไว้ได้เสียมากกว่า
“เมื่อครู่เ้าบอกว่า...ท่านอ๋อง...ท่านอ๋องเกือบจะไม่รอดชีวิตอย่างนั้นหรือ? เกิด...เกิดเื่อะไรขึ้น?” หลินหร่านรู้สึกตะลึงงัน
เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าอวี้ฉู่จาวเคยพบเจอเื่ใดมาบ้าง แต่ก็หักห้ามใจตนเองไม่ให้อยากรู้เื่ราวของท่านอ๋องไม่ได้
หลานจื่อเห็นสีหน้าหลินหร่านดูไม่ค่อยดีจึงได้พยายามเอ่ยโน้มน้าว “พระชายาไม่ต้องไปฟังเหม่ยจื่อหรอกเพคะ นางก็พูดมั่วไปเรื่อย นางเป็คนชอบพูดอะไรเกินจริงอยู่แล้ว พระองค์…”
“ข้าอยากรู้...หลานจื่อ บอกข้ามาเถอะ” แววตาของหลินหร่านเป็ประกายราวกับกำลังอ้อนวอน
หลานจื่อจึงปฏิเสธอะไรไม่ได้ และทำได้เพียงบอกเื่ที่พวกนางรู้
----------------------------------------------------
