ความสัมพันธ์ที่ไม่ไว้วางใจระหว่างพวกเขาก่อให้เกิดพายุภายใต้ความเงียบสงบนี้ ลิ่วซีไม่รู้ว่าเขาั้แ่เมื่อใดหรือโกรธเพราะอะไร แต่อวิ๋นซู่ รู้สึกว่าการที่นางออกไปเที่ยวเล่นนอกวังเป็เวลานาน แม้ว่าตัวจะกลับมาแต่หัวใจของนางก็อยู่ข้างนอก
ในตำหนักลิ่วชิง กงกงและนางกำนัลทั้งหมดก็เดินเหมือนอยู่บนน้ำแข็ง พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงดังในขณะที่ทำงานประจำวัน ยังคงตัวสั่นเทาเพราะกล้าว่าจะเผลอไม่ระวัง จนกลายเป็ความผิดที่นำพาตนไปสู่คความตาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังคิดว่าสนมผู้นี้เป็สัตว์ร้ายที่มากับอุทกภัยที่สามารถปลิดชีพพวกเขาได้ตลอดเวลา นอกตำหนักลิ่วชิง ข่าวลือว่านางเป็สนมใจคอโเี้ได้แพร่ไปทั่ว และตอนนี้นางได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ยิ่งก่อกรรมทำเข็ม สักวัน นางจะถูกฮ่องเต้ส่งเข้าไปในตำหนักเย็นเหมือนเมื่อก่อน
ลิ่วซีคิดถึงครั้งแรกที่นางปรากฏตัว ก็ถูกสร้างภาพพจน์ให้เป็เช่นนี้ แต่คนที่สร้างจะเป็ตัวนางเอง หรือมีคนตั้งใจทำให้เป็เช่นนี้ แต่คนที่มีเจตนาเช่นนี้จะเป็ใคร นางยังไม่สนใจ
เพราะว่าหลังจากเสียวอวี่จากไป สาวใช้ในวังอีกคนก็ดูแลชีวิตประจำวันและอาหารของนาง แต่สาวใช้คนนี้ตัวสั่นทุกครั้งที่เห็นลิ่วซีราวกับนกใกลัว อันกงกงมอบนางกำนัลอีกคนมาให้นาง
“ถวายพระพรสนมซี”
เมื่อสาวใช้คนใหม่มาถึง ก็โค้งคำนับกล่าวด้วยความเคารพ ลิ่วซีใจาเกือบเสียสติไปครู่หนึ่ง แต่โชคดีที่อันกงกงไม่ได้สังเกต
นางคือเตี๋ยเย่ เป็เตี๋ยเย่จริงๆ นางสวมชุดนางกำนัลสีชมพู โค้งตัวเล็กน้อย ยืนอยู่ต่อหน้านางอย่างนอบน้อมถ่อมตน หัวใจของนางเต้นรัวอย่างมาก ควบคุมนางเสียงแล้วถามออกไป
“เ้าชื่ออะไร?”
“หม่อมฉันชื่อเตี๋ยเย่เพคะ”
“ลุกขึ้นมาเถอะ ”
จากนั้นก็หันไปกล่าวกับอันกงกง
“ลำบากเ้าแล้ว”
ั้แ่เข้าวังมาก็ไม่มีวันไหนไม่กดดัน เมื่อได้เห็นเตี๋ยเย่ นางก็สบายใจได้ในที่สุด
นี่หรือที่เรียกว่ามีความโชคร้ายก็ต้องมีความโชคดี? นางสูญเสียอิสรภาพ จากนั้นก็ได้เตี๋ยเย่ที่ทำให้นางสบายมาทดแทน เมื่อไม่มีใครแล้ว นางจึงเอ่ยถามด้วยความกังวลหลังจากดีใจเสร็จ
“ในวังนั้นอันตรายมาก เ้ามาที่นี่ทำไม?”
เตี๋ยเย่ยังคงเหมือนเดิม ไม่ร้อนรน แต่ตอบด้วยความเคารพ
“การปกป้องท่านคือหน้าที่ที่องค์ชายมอบให้ข้า และเป็ความรับผิดชอบของข้า”
แววตาของลิ่วซีร้อนเผ่าเล็กน้อยเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เสวียนเหย่เลี่ยเป็คนแบบนี้มาโดยตลอด ปกป้องนางทุกที่ที่ทำได้ ขณะที่นางยังเป็เด็ก นางต่อสู้กับพ่อของนางที่แคว้นเสวียน ถูกจับไปเป็เชลย และถูกขังไว้ในห้องเก่าๆ ทรุดโทรม เรียกฟ้าฟ้าไม่ขานรับ เรียกดินดินไม่ไหวติง เพราะความยังเป็เด็ก นางร้องไห้อยู่สองวันถึงได้หยุด
ในเวลานั้นเหย่เลี่ยก็เป็เด็กเหมือยกัย เขายืนมองนางอยู่ข้างหน้าต่างและถามนาง
“เหตุใดเ้าถึงได้ร้องไห้หนักขนาดนี้?”
“เ้าเป็ใคร” นี่คือคนแรกที่นางเห็นหลังจากถูกจับมาขัง
“อะ ข้าให้เ้ากิน” เหย่เลี่ยไม่ตอบในตอนนั้น แต่กลับโยนซาลาเปาเข้าไป
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เหย่เลี่ยก็มายืนอยู่ข้างหน้าต่างตอนเที่ยงและโยนอาหารอร่อยๆ ให้นางและคุยกับนาง
ต่อมาพ่อของนางได้ทำการตกลงกับแคว้นเสวียน และปล่อยให้นางเป็อิสระ เหย่เลี่ยเปิดประตูให้นางและปล่อยนางออกไป เด็กทั้งสองยังจับมือบอกลาอย่างไม่เต็มใจ
การต่อสู้ระหว่างแคว้นทงและแคว้นเสวียนบนชายแดนไม่เคยสงบ ทุกๆ ปีเมื่อแม่ทัพเจิ้นไปสู้รบ เขายังคงนำลิ่วซีไปด้วย และเหย่เลี่ยก็จะแอบมาที่ค่ายทหารเพื่อเล่นกับนาง ตอนนั้นพวกเขายังเด็กมาก ยังไม่เข้าใจเื่าของสองแคว้น
เหย่เลี่ยขี่ม้าและยิงธนู เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ กลับมีรูปลักษณ์ที่สง่างามและอ่อนโยน เขาสอนให้ลิ่วซีขี่ม้า ทักษะขี่ม้าของลิ่วซีตอนนั้นดีกว่าเจิ้นลิ่วเฉิงพี่ชายของนาง ทั้งยังสอนแยกแยะทิศทางจากดวงดาวในคืนที่ดวงดาวเต็มท้องฟ้าให้นาง แม้ว่าเขาจะดูแก่กว่าลิ่วซีไม่เท่าไหร่ แต่หลายปีหลายเดือนผ่านไป เขาดูแลนางเหมือนพี่ชายมาตลอด แม้ว่านางจะถูกขังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือในตอนนั้น เหย่เลี่ยก็เสี่ยงอันตรายมาเยี่ยมนาง
แต่หลังจากที่นางกลับมาจากยุคปัจจุบัน เหย่เลี่ยก็ไม่ปรากฏตัวอีก มีเพียงมอบหมายให้เตี๋ยเย่มาดูแลนาง
“เขาสบายดีไหม เตี๋ยเย่ ข้าอยากพบเขา”
ลิ่วซีคิดถึงสหายเก่าคนนี้มาก และอีกเื่หนึ่ง นางมีคำถามสำคัญในการกลับมาชาตินี้ของนาง หลังจากคิดดูอย่างละเอียดแล้ว นางคิดว่ากุญแจทั้งหมดอาจอยู่ที่เหย่เลี่ย เขาคือไต้ซืออู๋เสวียนที่ดึงดูดนางไปที่ลาซา แค่ได้พบเหย่เลี่ยเท่านั้น นางก็สามารถคลี่คลายปัญหานี้ได้แล้ว
เตี๋ยเย่ส่ายหัวและปฏิเสธ
“ตอนนี้าระหว่างแคว้นทงและแคว้นเสวียนกำลังใกล้เข้ามา คงไม่เหมาะหากจะให้องค์ชายมาปรากฏตัวที่แคว้นทง”
ลิ่วซีหยุดพูดถึงหัวข้อนี้ ก่อนจะกำชับเตี๋ยเย่
“อยู่ในวัง เ้าต้องระวังให้มากขึ้น อย่านำดอกชุนจิ่นติดการ และห้ามใช้กลิ่นดอกชุนจิ่น เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย”
“เพคะ ขอบพระทัยสนมซีที่เตือนข้า”
“เ้ากลับไปพักผ่อนก่อน อยู่ในตำหนักลิ่วชิง เ้ากับข้าไม่จำเป็ต้องทำตัวเป็นายบ่าว แค่แสดงตอนอยู่ข้างนอกก็พอ ขอบใจเ้านะ เตี๋ยเย่”
เตี๋ยเย่ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะหันตัวออกไปจากตำหนักลิ่วชิง
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเป็เหมือนะเิเวลา แต่เตี๋ยเย่ยังเสี่ยงชีวิตเข้ามาในวังเพื่อดูแลนาง เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่งก็แวบเข้ามาในหัวของนาง ข้อมูลหนึ่งที่นางลืมไปนานแล้วคือ เจิ้นลิ่วเจิ้งพี่ชายของนาง นางเคยเห็นเขาอยู่กับองค์ชายใหญ่ที่หอเฟยชุ่ย และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ดูเหมือนจะใกล้ชิดกันมาก นางยังเคยได้ยินมาว่า พรรคสนับสนุนขององค์ชายใหญ่กำลังซ่อนอำนาจ รอโอกาสที่จะลงมือ เมื่อครั้งนั้น หลังจากอวิ๋นซู่แย่งชิงบัลลังก์ ขุนนางขององค์หญิงใหญ่หลายคนถูกเขาสั่งฆ่าแทบไม่เหลือ กระทั่งครอบครัวของขุนนางเก่าเ่าั้เกิดความคับแค้น อยากกลับคืนตำแหน่งอีกครั้ง เจิ้นลิ่วเจิ้งพี่ชายของนางอาจจะถูกล้างสมอง และเดินทางผิด จนนำหายนะที่ไม่อาจย้อนคืนได้มาสู่ตน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงต้องหาโอกาสกลับไปที่ตระกูลเจิ้นและพูดคุยกับพี่ชายของนางดีๆ เมื่อนางจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เตี๋ยเย่ที่อยู่หน้าประตูก็รายงานว่า กู้ซิน สนมซินมาเยี่ยม
นางไม่มีเวลาคิดอีกต่อไป จึงรีบลุกขึ้นไปต้อนรับนาง แต่กู้ซินเดินเข้ามาในตำหนักเอง และนั่งลงในตำแหน่งหลักในห้องโถง มองเจิ้นลิ่วซีอย่างเ็า
ลิ่วซีไม่ได้พูดอะไรมาก นางไปนั่งลงตรงตำแหน่งข้างๆ รอให้สนมซินพูดก่อน เพราะอยากทราบจุดประสงค์ของการเยี่ยมของอีกฝ่าย
สนมซินมองนางอย่างเ็าเป็เวลานานก่อนจะพูด
“สนมซี? สนมซีผู้แสนดี!” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการดูถูก จู่ๆ ก็พูดอย่างเ็า
“เ้าเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถบอกเื่ที่เ้าอยู่นอกวังมาตลอด และไม่เคยอยู่ในตำหนักลิ่วฉือเลยให้ฝ่าาฟังได้”
ในราชวงศ์ทง นอกจากอวิ๋นซู่แล้ว ก็มีเพียงกู้ซินและกู้หนานเฟิงที่รู้ว่านางอยู่ด้านนอกมาตลอด ดังนั้นกู้ซินจึงมาที่นี่เพื่อบับคั้นนาง? นางไม่ได้โง่ขนาดนั้น ดังนั้นลิ่วซีจึงมองกลับไปแล้วตอบ
“เ้าไม่กล้าหรอก”
“ใช่ ข้าไม่กล้า เพราะข้ามีพี่ชายโง่ๆ ที่อยากปกป้องเ้า ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าสนมซินมีความสามารถแค่ไหน ถึงได้ทั้งฮ่องเต้ และยังได้พี่ชายของข้าไปเล่นอยู่ในมือ”
สนมซิน จำได้ว่าครั้งแรกที่นางเห็นเจิ้นลิ่วซีในตระกูลเฟิง เป็วันที่ฮ่องเต้ป่วยหนัก นางไปหาพี่ชายของนางเพื่อระบาย ในเวลานั้นนางพูดถึงฮ่องเต้ และพูดถึงแม่ทัพเจิ้น และเจิ้นลิ่วซีที่ปลอมตัวเป็ผู้ชายก็ฟังอย่างใจเย็นอยู่ด้านข้าง ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย เมื่อมองย้อนกลับไป แผนการของเจิ้นลิ่วซี นั้นล้ำลึกมาก
ลิ่วซีนั่งข้างๆ แล้วพูดอย่างไม่รีบร้อน
“สนมซิน ข้าอยู่ในตำหนักลิ่วฉือมาหกปีแล้ว ข้าไม่เคยออกจากวังเลย และไม่รู้จักพี่ชายของเ้า เ้าคงจำคนผิดแล้ว”
แววตาของนางชัดเจนจ้องมองกู้ซินอย่างยืนกราน เพียงคำเดียวก็ทำลายจุดประสงค์การมาของกู้ซิน นางจะไม่ทรยศกู้หนานเฟิง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต นางจะไม่ใช้กู้หนานเฟิงมาบีบคั้นกู้ซิน
กู้ซินโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบของนาง และไม่อยากจะคุยกับนางไปมากกว่านี้ ขณะที่นางกำลังจะออกไปข้างนอก ประโยคหนึ่งก็ลอยออกมา
“มันไม่คุ้มกับพี่ชายข้า”
ลิ่วซีอยากจะถามถึงกู้หนานเฟิงว่าสบายดีหรือไม่ เขาเป็หนึ่งเ้าสำราญไม่เคยขาดสตรี เขาน่าจะลืมนางไปแล้ว แต่คำพูดของกู้หนานเฟิงก็แวบเข้ามาในหัวของนาง
“เ้าอยากไปไหน ต่อให้ไกลสุดขอบฟ้าข้าก็จะไปเป็เพื่อนเ้า”
ไกลสุดขอบฟ้า? มันเกินเอื้อมแล้ว นางต้องอยู่ในเมืองนี้ เหมือนนกในกรงเท่านั้น
ลิ่วซีไม่รู้ว่าอวิ๋นซู่ยุ่งอะไรอยู่? ั้แ่วันนั้น เขาก็ไม่ได้มาหานางที่ตำหนักลิ่วชิงเป็เวลาหลายวันแล้ว รู้แค่ว่าเขาอยู่ในตำหนักอวี้เซวียนอ่านฎีกาตลอดทั้งวันทั้งคืน และเรียกพบขุนนางใหญ่ ราวกับว่ากำลังหารือเื่ออกรบกับแคว้นเสวียน
และในตอนกลางคืน ตำหนักอวี้เซวียนก็ยังคงสว่างอยู่ และแผ่นหลังของเขาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง เนื่องจากตำหนักลิ่วชิงและตำหนักอวี้เซวียนนั้นถูกกั้นไว้ด้วยกำแพงเท่านั้น นางรู้ทุกอย่างที่นั่นได้ตราบใดที่นางตั้งใจฟัง ดังนั้นนางจึงรู้ว่าอวิ๋นซู่ยุ่งมาก ถึงแม้จะไม่มาที่ตำหนักลิ่วชิงของนาง เขาก็ไม่ได้ไปที่ตำหนักของสนมอื่น น่าแปลกที่ทำให้นางรู้สึกโล่งใจโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ นางยังหาโอกาสที่จะพูดคุยกับพี่ชายของนาง และตอนนี้เป็เวลาที่ดีที่สุด นางจึงเรียกเตี๋ยเย่
“เตี๋ยเย่ พาข้าออกจากวังที”
“เพคะ”
เตี๋ยเย่ไม่ได้พูดอะไรมาก ทั้งยังสนับสนุนการกระทำของนาง ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าและแอบออกจากวังโดยไม่มีใครสนใจ พวกนางคิดว่าจะรีบไปรีบกลับ
เวลานี้ ตามที่นางเดาไว้ไม่มีผิด พี่ชายของนางอยู่ในหอเฟยชุ่ย เขาไม่ใช่คุณชายเ้าสำราญ ไม่ใช่คนที่จะมาหอนางโลมบ่อยๆ เหตุผลที่เขามาคลุกอยู่ในหอเฟยชุ่ยทั้งวัน คงเป็เพราะมีคนจูงจมูก
เตี๋ยเย่คุ้นเคยกับที่นี่มาก ดังนั้นพวกนางสองคนจึงปลอมตัวเป็ผู้ชาย และพบห้องส่วนตัวของพี่ชายนางที่ชอบมาอยู่ระยะยาว
เมื่อลิ่วซียืนอยู่ตรงหน้าเจิ้นลิ่วเจิ้ง เขาก็มองน้องสาวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“เ้ามาได้อย่างไร”
“ท่านพี่ ข้ามีเวลาไม่มาก ข้ามาคุยกับท่านไม่นานเดี๋ยวก็ไป”
“นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูด” เจิ้นลิ่วเจิ้งยกเก้าอี้ให้นางแล้วมองดูนางด้วยสายตาห่วงใย
“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับองค์ชายใหญ่มาั้แ่เด็กเหมือนเป็พี่น้อง แต่มีบางสิ่งที่ท่านควรทำและบางสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ท่านต้องตัดสินใจเอง ใต้หล้าตอนนี้เปลี่ยนไปมาก และฮ่องเต้ที่มีความสามารถและดูแลใต้หล้านั้นก็หายาก ประชาชนมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง แคว้นมีความมั่นคง ท่านเองก็นับว่าสำเร็จในการงานแล้ว ท่านพี่”
“ซีเอ๋อร์ พี่ไม่รู้ว่าเ้าพูดอะไร เ้ารีบกลับวังเถอะ ในฐานะสนมผู้สูงศักดิ์ แต่งตัวเช่นนี้ออกมาสภาพดูไม่ได้เลย”
เจิ้นลิ่วเจิ้งดูเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด ลิ่วซีกังวลเล็กน้อยจึงพูดต่อ
ท่านพี่ อำนาจขององค์ชายใหญ่จบแล้ว ถ้าท่านไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงพ่อแม่และตระกูลเจิ้นด้วย”
“เอาล่ะ พี่เข้าใจแล้ว เ้ารีบกลับวังเถอะ ข้จะไม่เชื่อคนอื่น จะเชื่อเ้าคนเดียว”
“สัญญา?”
“ได้ สัญญา”
ด้วยความมั่นใจของเจิ้นลิ่วเจิ้ง หัวใจของลิ่วซีก็ผ่อนคลายเล็กน้อย
ในตอนกลางคืนหอเหยชุ่ยเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดง และความลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ หลังจากคุยธุระเสร็จแล้ว เตี๋ยเย่ก็ใช้ทางลัดเดินออกไปที่ประตูหลัง