ไท่ไท่รองแทบจะโมโหตาย นางใช้เสียงดุ "ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กจะสอดปากอันใด"
นางไม่กล้าเถียงเื่อื่น ได้แต่เอ่ยถึงเื่นี้
เฉียวเยว่ยังแกว่งเท้าน้อยๆ ของตนเองไม่หยุด ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ข้าจะไปถามท่านปู่ ระหว่างป้าสะใภ้รองกับฮ่องเต้ ผู้ใดเก่งกล้ากว่ากัน ท่านปู่ปราดเปรื่องที่สุดจะต้องทราบอย่างแน่นอน"
"ข้าเคยพูดเยี่ยงนี้เสียที่ไหน ข้าพูดเพียงว่าพี่สาวเ้าไม่ดี มิได้เอ่ยว่าฮ่องเต้เสียหน่อย..."
เฉียวเยว่ยืดอก ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง "เช่นนั้นขอถามป้าสะใภ้รอง พี่สาวข้าไม่ดีอย่างไร? ฝ่าาทรงเป็คนชื่นชม ท่านกลับบอกว่าไม่ดี อ้อ จริงด้วยสิ ท่านใจเย็นลงหน่อยดีกว่า เด็กน้อยในท้องของท่านเฉลียวฉลาดยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวคงจะเตะท่านอีก"
นี่คือการอุดปากไม่ให้นางยกเด็กในท้องมาอ้าง
"เฉียวเยว่..." ฮูหยินผู้เฒ่าดึงเฉียวเยว่มากอด "ป้าสะใภ้รองของเ้าหาได้มีเจตนาร้ายอันใด"
เฉียวเยว่ไม่ใช่คนที่เกลี้ยกล่อมได้ง่ายนัก ตรงข้ามกลับจริงจังยิ่งกว่าเดิม " เช่นนั้นอย่างไรถึงจะเรียกว่ามีเจตนาร้าย ข้าอยากถามว่า พี่สาวของข้าไปทำสิ่งใดให้ป้าสะใภ้รองขัดเคืองใจนักหรือ?"
บัดนี้รอบด้านต่างเงียบสนิท เสียงของหรงเยว่จึงแจ่มชัดยิ่ง "เฉียวเยว่ มารดาข้าไม่ดีเอง ข้าขอขมาแทนมารดาของข้า เ้าอย่าโกรธเลยนะ"
ถึงแม้หรงเยว่จะเอาแต่ใจ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเื่ใหญ่ นางกลับมีสติแจ่มชัดยิ่ง
"พี่หญิงสาม ข้าหาได้โกรธเคืองท่าน ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดป้าสะใภ้รองถึงต้องพูดว่าร้ายพี่สาวข้า" เฉียวเยว่ยังคงมีสีหน้าจริงจัง ไม่อ่อนข้อ ดื้อดึงอย่างที่ยากจะได้เห็น
ไท่ไท่สามลุกขึ้นมาอุ้มเฉียวเยว่ พลางตำหนิกระต่ายอ้วนตัวน้อย "เคยบอกเ้าแล้วมิใช่หรือ พูดจากับผู้ใหญ่ต้องมีมารยาท แม่พูดกับเ้ากี่ครั้งกี่หนแล้ว เ้ากลับไม่เคยฟังเข้าหูสักนิด"
อาจเป็เพราะเห็นไท่ไท่สามเป็เช่นนี้ ไท่ไท่รองก็ยิ่งได้ใจ "นั่นสิ คนคนนี้ของพวกเ้าไร้มารยาทเกินไปแล้ว มีใครที่ไหนทำเช่นนี้กับผู้ใหญ่..."
ยังไม่ทันกล่าวจบ ไท่ไท่สามก็ลูบศีรษะของเฉียวเยว่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "แม่เคยสอนว่าอย่าโต้เถียงผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วก็เคยสอนว่าอย่าต่อปากต่อคำกับคนโง่ เ้าควรจะจำใส่ใจให้ดี"
ไอ๊หยา!
เฉียวเยว่มองมารดาของตนเอง ความโกรธขึ้งหายไปในพริบตา เดิมทีนึกว่ามารดาจะอดทนอดกลั้นเหมือนที่ผ่านมา แต่ไม่นึกว่าครานี้จะเป็เช่นนี้
นางผ่อนคลายลง ตอบอย่างเชื่อฟัง "ข้าทราบแล้วเ้าค่ะ ท่านแม่ สิ่งที่ท่านสองทั้งสองเื่นี้ข้าจดจำไว้แล้ว"
รอบด้านเงียบกริบทันที ราวกับว่าเข็มตกสักเล่มก็ยังได้ยิน
ไท่ไท่สามวางสีหน้าเฉยชาอย่างยิ่ง "พี่สะใภ้รอง อิ้งเยว่ของพวกเราจะไม่ดีได้อย่างไร ก็อย่างที่เฉียวเยว่กล่าวไว้ แม้แต่โอรส์ยังชื่นชมนางต่อหน้าทุกคน ท่านอย่าคิดว่าตนเองฉลาดเหนือกว่าโอรส์ หากคำกล่าวที่ไม่เหมาะสมของท่านทำให้เกิดความบาดหมางในครอบครัว ก็ย่อมจะไม่ดี อย่างไรเสีย เฉียวเยว่ของเราก็ยังเล็ก เด็กๆ มักจะพูดจาไปเรื่อยเปื่อย"
ไท่ไท่รองโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
ไท่ไท่ใหญ่อมยิ้มพลางปลอบประโลม "น้องสะใภ้สามอย่าเก็บมาใส่ใจเลย อิ้งเยว่มีความสามารถเพียงไหน พวกเราล้วนรู้ดี ผู้ใดจะกล้าคลางแคลงพระราชดำรัสของฝ่าา อีกอย่างอิ้งเยว่เป็สตรีจวนซู่เฉิงโหวของพวกเรา ยิ่งนางเก่งกล้าสามารถ พวกเราก็ยิ่งมีเกียรติมีศักดิ์ศรี น้องสะใภ้รองกำลังตั้งครรภ์อารมณ์จึงไม่ค่อยเข้ารูปเข้ารอย คงมิได้เคลือบแคลงอันใดจริงจังนักหรอก เฉียวเยว่ยังเล็ก ไม่รู้เื่ น้องสะใภ้สามคงต้องกำชับกำชาให้มากขึ้น"
หลังจากนั้นก็หัวเราะ "มีคำกล่าวว่าสตรีตั้งครรภ์ก็เขลาลงไปสามปี คิดว่าตอนนั้นข้าก็คงเป็เช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นอย่าได้ถือสาหาความเลย"
เข้าได้กับทุกฝ่ายจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มนับลูกประคำไม่กล่าววาจาใดๆ อีก
ไท่ไท่สามมีท่าทีอ่อนลง "พี่สะใภ้ใหญ่คิดมากไปแล้ว แต่บุตรทุกคนล้วนแต่เป็แก้วตาดวงใจของข้า ดังนั้นจึงอาจวู่วามไปบ้าง หวังว่าพี่สะใภ้รองจะไม่เก็บไปใส่ใจ"
หลังจากนั้นก็หันมารับผิดกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าจริงจัง "ท่านแม่เ้าคะ เป็สะใภ้เองที่ทำเื่เล็กให้กลายเป็เื่ใหญ่"
ฮูหยินผู้เฒ่าทอยิ้มอ่อนจาง "เื่เกี่ยวกับบุตร เ้าจะเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาก็เป็เื่ธรรมดา"
จากนั้นก็มองไปที่ไท่ไท่รอง "ตอนนี้ครรภ์ของเ้ายังอ่อน ควรกลับไปพักผ่อนให้มาก อย่าเที่ยวเพ่นพ่านไปไหนต่อไหน ป้องกันมิให้กระทบกระเทือนถึงเด็กในครรภ์"
ไท่ไท่รองบีบผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น คับแค้นใจเป็ที่สุด อยากจะสบถออกมาแรงๆ แต่ไม่สามารถแสดงออกมาให้เห็นได้ จำต้องฝืนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน กล่าวว่า "ท่านแม่โปรดวางใจ ข้าจะดูแลครรภ์นี้อย่างดีเ้าค่ะ"
ฮูหยินโบกมือไล่ "เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเ้ากลับไปกันเถอะ"
เฉียวเยว่ดิ้นขลุกขลัก ไท่ไท่สามจึงปล่อยนางลงมา เฉียวเยว่วิ่งเข้าไปข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า นางปีนขึ้นไปบนเตียงเตาอย่างทุลักทุเล แล้วหอมแก้มของฮูหยินผู้เฒ่าฟอดหนึ่ง ก่อนจะประกาศเสียงดัง "ท่านย่า เมื่อครู่ข้ามิได้ตั้งใจจะเถียงท่าน แต่ท่านพ่อเคยสอนไว้ หากข้าไม่เข้าใจให้ถาม ข้าถึงต้องถามให้รู้เื่ อย่างไรเสียพี่หญิงอิ้งเยว่ก็เป็พี่สาวที่ข้ารักที่สุด นางฉลาดปราดเปรื่อง มีความสามารถเป็พิเศษ แม้แต่ขนมที่ผู้อื่นทำไม่ได้ นางก็ยังทำเป็"
"พรืด" เพียงชั่วพริบตาฮูหยินผู้เฒ่าก็ถูกนางพูดเสียจนหลุดหัวเราะออกมา นางหยิกแก้มของเด็กหญิงตัวน้อย อมยิ้มถามว่า "เ้าทำเพื่อของกินเองรึ?"
เฉียวเยว่เท้าสะเอว "ไม่ เพราะข้าเป็เซียนหญิงผู้พิทักษ์ของพี่สาวต่างหากเ้าค่ะ"
คราวนี้คนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะตามกันหมด
เฉียวเยว่หอมแก้มฮูหยินผู้เฒ่าอีกฟอดจนน้ำลายเปรอะเต็มหน้า ฮูหยินผู้เฒ่าหลบไม่ทันได้แต่ถอนใจ "ไอ๊หยา"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก "ท่านย่า ข้ากลับก่อนนะเ้าคะ"
แม้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะอวบอ้วน แต่กลับคล่องแคล่วฉับไว
ไม่ช้าก็ไถลลงมาจากเตียงเตา นางลูบก้นน้อยๆ ของตนเองพลางถอนใจบ่นพึมพำ "ตอนลงง้ายง่าย ขึ้นทีแสนจะลำบาก"
หลังจากจัดเสื้อผ้าของตนเองเรียบร้อย ก็วิ่งเข้าไปหาหรงเยว่ หรงเยว่เสียใจมากที่มารดาถูกตำหนิ แต่กลับแสร้งทำเป็เข้มแข็ง ขณะกำลังเศร้าใจ ก็เห็นกระต่ายอ้วนตัวน้อยวิ่งพุ่งเข้ามาหาตนเอง
นางไม่กล้าหลบเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหกล้ม
เฉียวเยว่ปราดเข้าหาอ้อมแขนของหรงเยว่ นางรัดเอวของหรงเยว่ไว้ แล้วเขย่งปลายเท้าจะหอมแก้มของอีกฝ่าย
หรงเยว่หลบหลีกด้วยความโมโห "เ้าจะทำอันใด"
เฉียวเยว่ก็ตอบอย่างจริงจัง "เมื่อครู่ข้าไม่เชื่อฟัง ท่านเสียใจใช่หรือไม่ ข้าจะจุมพิตมอบความรักให้ท่าน ท่านยังรักข้าเหมือนเมื่อก่อนใช่หรือไม่?"
"เ้ารีบไปเลยนะ ใครเขารักเ้ากัน" หรงเยว่บ่ายเบี่ยง
เฉียวเยว่ไม่ยอมปล่อย "หากไม่รับจุมพิตจากข้า ก็แสดงว่าท่านยังเสียใจอยู่ ข้าไม่อาจทำให้ท่านเสียใจได้"
"์ เ้ารีบปล่อยข้าเร็วๆ" หรงเยว่เอ่ย
เห็นทุกคนหัวเราะกันจนท้องแข็งแล้ว ไท่ไท่สามจึงรีบเข้าไปช่วยหรงเยว่ด้วยการอุ้มเฉียวเยว่ของตนออกมา แล้วจิ้มหน้าผากของนาง "เ้านี่นะ ไม่ได้ซุกซนสักชั่วขณะ ก็รู้สึกว่าชีวิตจืดชืดนักใช่หรือไม่"
เฉียวเยว่ทำสีหน้าไร้เดียงสา "ท่านแม่ ท่านอย่าขัดขวางการบ่มเพาะความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพี่หญิงสามสิเ้าคะ"
หรงเยว่ราวกับกลัวว่าจะถูกกระต่ายน้อยะโเกาะหลัง รีบเอ่ยขึ้นว่า "ข้าเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยังต้องไปเรียนหนังสือ ใช่ ข้าต้องไปเรียนหนังสือ อาจารย์ของข้ามาแล้ว..."
หลังจากนั้นก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
"พี่หญิงสาม พี่หญิงสาม ท่านจะรีบวิ่งไปไหน" เฉียวเยว่ะโถาม
ไท่ไท่สามหน้าแดง รีบยอบกายคำนับพลางเอ่ยว่า "ข้าจะอุ้มนางกลับไปก่อน ท่านแม่พักผ่อนนะเ้าคะ"
น่าขายหน้าจริงเชียว!
ทุกคนล้วนเข้าใจความรู้สึกของไท่ไท่สาม แล้วเฉียวเยว่ก็ถูกอุ้มออกไป
บอกตามตรง เฉียวเยว่ตัวอ้วนกลมขนาดนี้ ไท่ไท่สามอุ้มนางย่อมเปลืองแรงอยู่มาก เงาร่างของไท่ไท่สามซวนเซบ้างเล็กน้อย
ไท่ไท่ใหญ่ถอนหายใจ "น้องสะใภ้สามลำบากไม่น้อย"
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
พอสองแม่ลูกพ้นจากประตู เฉียวเยว่ก็เอ่ยอย่างจริงจัง "ท่านแม่ปล่อยข้าลง ข้าจะเดินเอง"
แต่ไท่ไท่สามไม่ยอม "ปล่อยไม่ได้หรอก ใครจะรู้ว่าเ้าจะทำอันใดอีกบ้าง"
เฉียวเยว่ปรายตามองเล็กน้อย "ข้าจะทำอันใดได้ เพียงกลัวว่าท่านจะเหนื่อยเท่านั้นเอง"
ไท่ไท่สามไม่ยอมปล่อยนางลง เอ่ยเสียงเบาว่า "แม้ว่าจะเหนื่อย แต่สำหรับแม่แล้วนี่เป็ความรับผิดชอบอันแสนหวานชื่น เฉียวเยว่ของแม่แสนดีเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเทียบเทียมได้"
กระต่ายน้อยอ้วนตัวน้อยที่ออกหน้าปกป้องพี่สาวของตนเองก็มีเพียงตัวเดียวนี่แหละ
เฉียวเยว่ยิ้มหน้าบาน "ท่านพ่อมีวาทศิลป์ขึ้นชื่อลือชาทั่วใต้หล้า ข้าเป็บุตรสาวของเขา ย่อมเป็สีครามที่เข้มไม่แพ้สีน้ำเงิน การจัดการกับคนบกพร่องทางสติปัญญาอย่างป้าสะใภ้รอง ก็แค่เื่ง่ายๆ"
ไท่ไท่สามฟังไม่เข้าใจ "อันใดนะ?"
เด็กคนนี้พูดภาษาวิหคออกมาอีกแล้ว
แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางคุยโวโอ้อวดของนาง ก็น่าจะไม่ใช่ถ้อยคำที่ดี
"อย่าใช้คำด่า เป็คนมิควรเปิดโปงจุดอ่อนของผู้อื่นซึ่งๆ หน้า"
เฉียวเยว่ขำพรืดออกมาทันที เดิมนางนึกว่ามารดาของนางเป็สตรีผู้อ่อนโยนใจดี แต่ดูจากตอนนี้ คงจะมีให้เพียงฮูหยินผู้เฒ่าคนเดียวเท่านั้น กับผู้อื่นไม่ใช่เลย
เฉียวเยว่รู้สึกดีใจมาก นางกลัวว่ามารดาของตนเองจะเป็เพียงซาลาเปานุ่มนิ่ม แต่หากไม่ใช่ ก็ย่อมดีที่สุด
นางแค่นเสียงหึ "ป้าสะใภ้รองน่าชังจริงๆ"
บางครั้งคนเราจะเข้ากันได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา เมื่อนึกถึงบุตรสาวของนางที่ไม่ชอบพี่สะใภ้รองั้แ่ยังเป็ทารก นางก็หัวเราะเอ่ยว่า "เ้านี่นะ ถ้ารู้สึกไม่ชอบ เพียงแค่ไม่สนใจนางก็พอแล้ว"
เฉียวเยว่ตอบอื้ม
"ใครจะอยากสนใจนาง เพียงแต่ครั้งหน้าหากนางยังมาหาเื่อีก ข้าก็จะไม่เกรงใจเหมือนกัน รังแกมาถึงคนในครอบครัวของข้า ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง"
"ยกเื่ความร้ายกาจให้กับเ้าเลย" ไท่ไท่สามกลับไม่ตำหนิบุตรสาวของตนเอง
แม้ว่าเื่นี้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถึงตอนเย็นเฉียวเยว่ก็ยังคงหาโอกาสมาบอกให้บิดารับรู้
จะได้ไม่เสียชื่อคนขี้ฟ้อง
นางถ่ายทอดทั้งเสียงและสีหน้าท่าทาง เดี๋ยวก็แสดงเป็ตนเอง เดี๋ยวก็แสดงเป็ไท่ไท่รอง สักพักก็สวมบทเป็มารดาของนาง
ซูซานหลางได้ยินเื่จากทางนั้นมาบ้างแล้ว แม้จะเข้าใจคร่าวๆ แต่ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด ตอนแรกคิดจะเรียกเฉียวเยว่มาสอบถาม แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาหาเขาเองถึงที่
เพียงดูจากการแสดงของเฉียวเยว่ สีหน้าของซูซานหลางก็เยียบเย็นขึ้นมาแล้ว
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็แสดงจบ นางกรอกน้ำเข้าปากอึกๆ แล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง "ท่านพ่อ ท่านคิดว่าสตรีควรเรียนหนังสือหรือไม่?"
นางฉลาดที่จะหาจุดตัดเข้าเื่ที่ดีที่สุด
ซูซานหลางกล่าวเสียงเรียบ "ข้าเคยพูดแล้วมิใช่หรือ ฮองเฮาของต้าฉีทุกรัชสมัยล้วนจบการศึกษาจากสำนักศึกษาสตรี เ้าว่าดีหรือไม่เล่า?"
เฉียวเยว่ตอบ "ข้าคิดว่าดี"
นางนั่งขัดสมาธิ เริ่มกินขนม "การเรียนหนังสือสามารถเปิดโลกทัศน์ให้แก่ผู้คน และยังมีความคิดเป็ของตนเอง ดูจากป้าสะใภ้ใหญ่และท่านแม่ของข้าไม่เหมือนป้าสะใภ้รองแม้แต่นิดเดียว หากไม่ศึกษาหาความรู้ ภายภาคหน้าต้องกลายเป็คนอย่างป้าสะใภ้รอง เช่นนั้นข้าเรียนหนังสือดีกว่า"
"การเรียนหนังสือก็ไม่แน่ว่าจะช่วยให้เ้าดียิ่งขึ้น การไม่เรียนหนังสือก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็คนไม่ดี ต้องดูจากสภาพแวดล้อมและอุปนิสัยประกอบ แต่เมื่อมีโอกาสที่ดีกว่า เหตุใดจะไม่ศึกษาเล่าเรียนให้มากเล่า? บางคราอาจพบเจอผู้คนที่แตกต่างมากมาย ชีวิตคนเราหาได้อยู่เพียงก้นครัว ข้าเองก็มิพึงปรารถนาให้บุตรสาวของข้าจมปลักอยู่แต่เรือนหลัง"
เฉียวเยว่ปรบมือ ดวงตาเป็ประกายดุจดารา "ท่านพ่อสุดยอดไปเลย!"
บิดาของนางไม่ธรรมดาจริงๆ เป็เื่น่ายินดียิ่งนักที่แิและตรรกะเหตุผลเช่นนี้มีอยู่ในสมัยโบราณ
"ท่านพ่อของข้าล้ำเลิศที่สุดในใต้หล้า"
ติ๊งต่อง! มือตบสะโพกม้าออนไลน์เ้าค่ะ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้