มู่อวิ๋นจิ่นพิจารณาก่อนมองไปที่อาจารย์เฟิงเสวียน แล้วฉู่ลี่ตามลำดับ
ถึงแม้ในใจไม่ยินยอมไหว้เฟิงเสวียนเป็อาจารย์ แต่คำพูดที่เขากล่าวเมื่อครู่ ล้วนเป็สิ่งที่บีบบังคับนาง
ตอนนี้ิญญาดอกบัวดำได้เข้าสู่ร่างของนาง หากไม่ขับออกมา เกรงว่าจะมีผลต่อชีวิตของนางเป็ได้
อีกอย่างถ้าสำเร็จในการเร่งให้ดอกบัวดำผลิบานแล้ว การช่วยเหลือหรงเฟยก็จะมีความหวังมากขึ้น นี่เป็สิ่งที่ฉู่ลี่อยากเห็นมานานแสนนานแล้ว หากนางปฏิเสธไป อาจดูโเี้ จิตใจดำมืด
หลังจากที่พิจารณาถึงผลด้านดีและด้านลบแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันหันจ้องไปที่อาจารย์เฟิงเสวียน “จะไหว้เ้าเป็อาจารย์ต้องทำยังไงบ้าง?”
ฉู่ลี่มองนางด้วยความแปลกใจ ภายในใจของเขาเหมือนมีน้ำใสคอยหยดลงกัดกร่อนทีละเล็กทีละน้อย……
อาจารย์เฟิงเสวียนหัวเราะอย่างชอบใจ ในที่สุดเขาก็เป็อาจารย์ของมู่อวิ๋นจิ่นจนได้
เมื่อครู่นางยังเก่งกล้าสามารถ ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม ตอนนี้มานับเขาเป็อาจารย์ ช่างสาแก่ใจ คลายความโกรธเมื่อครู่ได้หมดสิ้น
“ข้าจะบอกเ้าให้นะ ทางที่ดีที่สุดเ้าสอนวรยุทธ์ให้ข้าเสร็จแล้ว มันคงใช้ทำลายค่ายกลได้จริง มิอย่างนั้นจะโดนเล่นงานแน่ๆ” มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้มให้กับเฟิงเสวียน แววตาเปี่ยมด้วยการตักเตือน
อาจารย์เฟิงเสวียนหุบยิ้ม เลิกคิ้วขึ้น นั่งตัวตรง “มาได้แล้ว คำนับอาจารย์สามครั้ง!”
มู่อวิ๋นจิ่นชักสีหน้าทันที อาจารย์อย่างเขานั้น นางไม่เต็มใจรับเป็อาจารย์ แต่เขายังคงยืนยันให้นางคำนับสามครั้งอยู่นั่นแหละ สงสัยอยากทดสอบความอดทนนาง
มู่อวิ๋นจิ่นชายตามองฉู่ลี่ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ฉู่ลี่เห็นสายตาที่น่าสงสารจับใจของนาง พลันเกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา ที่จริงแล้วเื่ของท่านแม่หรงเฟยของเขา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย ่ระยะเวลาที่ได้ััเรียนรู้นางมานั้น เขารู้ดีว่าคนที่หยิงยโสถือตัวเพียงใด
“ไปเถอะ” ฉู่ลี่หันไปพูดกับนาง
มู่อวิ๋นจิ่นตกตะลึงคิดว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นคงหูฟาดไป พอรู้ว่าฉู่ลี่พูดออกมานั้นเป็เื่จริง จึงถามย้ำอีกครั้ง “เ้าแน่ใจใช่ไหม?”
“แน่ใจ” ฉู่ลี่พยักหน้าด้วยสายตาที่หนักแน่น
มู่อวิ๋นจิ่นค่อยๆ ลดความถือตัวลงมาบ้าง ในเมื่อฉู่ลี่ยังทำได้ คนอย่างนางย่อมทำได้เช่นกัน!
ในตอนนี้มีทางรอดอยู่เบื้องหน้านางแล้ว เหตุใดนางจะยอมทิ้งไปให้เปล่าประโยชน์ด้วยเล่า?
ดังนั้นนางจึงหันกลับไปคุกเข่าเบื้องหน้าอาจารย์เฟิงเสวียน คำนับลงไปกับพื้นดินที่ฝุ่นเต็มพื้น “อาจารย์โปรดรับข้าเป็ศิษย์ด้วย……”
ฉู่ลี่รู้สึกตระหนกใไม่คิดไม่ฝันว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะกระทำเช่นนั้น แววตาของกลับเปี่ยมด้วยความคาดคิดไม่ถึง มือทั้งสองค่อยๆ กำแแ่ ใบหน้าเย็นวูบ ภายในใจรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
การที่ได้รู้จักสตรีเช่นนาง นับเป็โชควาสนาของเขาไหมเอ่ย?
หลังจากคำนับรวดเดียวถึงสามครั้ง มู่อวิ๋นจิ่นรีบลุกขึ้นยืนโดยไม่รอให้อาจารย์เฟหิงเสวียนตอบกลับแต่อย่างใด “แค่นี้ได้แล้วใช่ไหม?”
“พออ่อมแอ่มไปได้ นับั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป เ้าจงมาเรียนรู้วิธีแก้จากอาจารย์แล้วกัน” อาจารย์เฟิงเฉวียนเอ่ยปาก
“ต้องฝึกนานเท่าไหร่?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างฉงนใจ
อาจารย์เฟิงเสวียนเหลือบตามอง “ของอย่างนี้ก็ต้องอยู่ว่าเ้าเข้าถึงได้ตอนไหน ถ้าเข้าถึงได้รวดเร็วก็แค่ครึ่งเดือน ถ้าได้ช้าก็น่าจะเกินครึ่งปี”
“……”
ฉู่ลี่อ้ำอึ้งจนพูดไม่ออก อีกทั้งไม่อยากทนอยู่ที่เรือนมุงจากนี้อีกแล้ว จึงทิ้งท้ายว่า “พรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ ข้าจะมาหาเ้า!”
……
หลังจากเดินออกมาจากเรือนมุงจาก มู่อวิ๋นจิ่นเดินขึ้นรถม้าตามด้วยฉู่ลี่ ดูท่าแล้วมู่อวิ๋นจิ่นคงพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“อาจารย์เฟิงเสวียนอะไรนั่น เก่งกาจจริงไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นใช้มือปัดอาภรณ์ที่ฝุ่นติดไปด้วย
“เขาเป็สหายของท่านอาจารย์ชิวเย่ และนับเป็หนึ่งในสามของผู้มีวรยุทธ์สูงสุดในใต้หล้า รองจากท่านอาจารย์คงซื่อและท่านอาจารย์ชิวเย่” ฉู่ลี่อธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นเบือนปาก เมื่อได้ยินว่าเป็ผู้มีวรยุทธ์สูงสุดสามท่านแรกในใต้หล้า……
ดังนั้นเมื่อครู่ อาจารย์เฟิงเสวียนตั้งใจอ่อนข้อให้นาง?
พูดก็พูดเถอะ ชายชราคนนั้นที่ดูตกอับ ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนมีวรยุทธ์สูง
“สรุปแล้ว ถือว่าข้าได้กำไรที่ได้เรียนวรยุทธ์กับอาจารย์แถวหน้า” มู่อวิ๋นจิ่นปลอบใจตนเองให้สบายใจขึ้นมา
ฉู่ลี่เห็นนางมองโลกในแง่ดี อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบไหล่เป็การปลอบใจ “ลำบากเ้าแล้ว”
ห๊ะ?
มู่อวิ๋นจิ่นเบิกแววตากว้างโต ที่เห็นมือของฉู่ลี่ขึ้นมาลูบหลัง ทำเอาหูของนางแดงฟาดขึ้นมา หากเป็เมื่อก่อน ฉู่ลี่จะพูดจะทำสิ่งใดล้วนเ็าไปกับทุกสิ่ง แต่นี่เป็ครั้งแรกที่ได้ยินเขาพูดจาอ่อนโยน
เมื่อฉู่ลี่เอ่ยเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกไม่ชิน จนต้องรีบก้มหน้าก้มตาด้วยมบหน้าที่ร้อนผ่าว “ไม่เป็ไร สามารถช่วยเ้าได้ก็ดีแล้ว”
เห็นมู่อวิ๋นจิ่นมีท่าทางแปลกๆ ไป ฉู่ลี่กลับยิ้มจางๆ ออกมา
ด้านนอกรถม้ามีเสียงของติงเซี่ยนดังขึ้น “องค์ชายจะเดินทางไปไหนก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ลวี่อิน”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
รถม้าเคลื่อนไปอีกสักระยะหนึ่งก็จอดลง
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่ลี่แหวกผ้าออกมองไปด้านนอก
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ เดินลงจากรถม้า ถึงรู้ว่ามาหยุดอยู่หน้า “โรงเตี๊ยมลวี่อิน” พอมองไปโดยรอบพบว่ามาอยู่ถนนตรงใจกลางเมืองเซินเย้า บนถนนมีผู้คนขวักไขว่ไปมาดูคึกคักอย่างมาก
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นหันกลับมา หางตาของนางเหลือบเห็นแผ่นป้าย เขียนอักษรขนาดใหญ่สามตัว “หอบุหลัน” ซึ่งเป็หอนางโลมที่ฉู่ชิงเฉียงสมคบคิด
ตอนนี้หน้าประตูหอบุหลันต่างมีหญิงงามเมืองเรียกลูกค้า โดยที่หัวหน้าของพวกนางคือลี่เนียงนี่เอง
มู่อวิ๋นจิ่นพึมพำให้ได้ยินคนเดียว การมาที่เมืองเซินเย้าคุ้มค่าแล้ว!
“เป็อะไรไป?” ฉู่ลี่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นยืนมองไม่ขยับตัว จึงมองตามนางไปพลางชะงักชั่วขณะ จากนั้นลากแขนของนางเดินเข้าโรงเตี๊ยมลวี่อินไป
พอมู่อวิ๋นจิ่นได้สติกลับคืนมา พบว่าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“องค์ชาย” เสี่ยวเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพาฉู่ลี่ไป “เ้าเมืองฉวีรอท่านอยู่ชั้นสองนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฉู่ลี่พยักหน้าแล้วพามู่อวิ๋นจิ่นเดินขึ้นไป้าด้วย
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปด้วย พยายามสะบัดแขนฉู่ลี่ที่จับให้หลุดออก “เ้าเมืองฉวี ที่ชื่อฉวีซินเหยาก็อยู่ที่นี่?”
ฉู่ลี่หรี่ตา กุมแขนมู่อวิ๋นจิ่นแน่นจนมิอาจสู้ได้ และพยักหน้าแทนคำตอบที่นางถาม
อยู่ในห้องชั้นสอง
มู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปในห้องเป็ที่เรียบร้อย กลับเห็นสตรีในอาภรณ์สีแดงนั่งยกน้ำชาขึ้นจิบ บนศีรษะมีปิ่นระย้าสีแดงเสียบอยู่ ใบหน้างดงามผุดผ่อง กิริยาท่าทางงดงามทุกระเบียบ
นางคือฉวีซินเหยาสินะ?
“ได้ยินมาว่าองค์ชายหกจะเสด็จด้วยพระองค์เอง นึกไม่ถึงว่าพาคนรู้ใจมาด้วย” ฉวีซินเหยายิ้มมุมปากให้มู่อวิ๋นจิ่น
ฉู่ลี่เดินเข้าไปใกล้ฉวีซินเหยา หยิบกล่องออกจากแขนเสื้อ วางลงเบื้องหน้าฉวีซินเหยา “เขาฝากมาให้เ้า”
ฉวีซินเหยาที่ยิ้มมุมปากอยู่ กลับหุบยิ้มหน้าเครียดในทันใด จ้องมองกล่องนั้นไม่ขยับตัว
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงด้านข้าง ด้วยนางเดินทางมาตลอด่บ่าย ถึงตอนนี้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย จึงไม่ได้สนใจทักทายฉวีซินเหยา รีบรินน้ำชายกขึ้นดื่ม
ระหว่างที่จิบน้ำชาด้วยความกระหาย มู่อวิ๋นจิ่นชายตามองฉวีซินเหยาอย่างละเอียดั้แ่หัวจรดเท้า สตรีผู้นี้มีพลังบางอย่างแผ่ซ่านจากตัว… กลิ่นอายปีศาจ
จากนั้นไม่นาน ฉวีซินเหยาค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปเปิดกล่องออก ทันทีที่เห็นของด้านในสีหน้าก็นิ่งไป
มู่อวิ๋นจิ่นจึงฉวยโอกาสเหลือบมองของด้านใน ภายในเป็ปิ่นหยกรูปดอกเหมย ที่เรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งความเรียบหรู
ฉวีซินเหยาหยิบปิ่นหยิบปิ่นที่เสียบอยู่บนหัวออก แล้วเปลี่ยนเป็ชิ้นใหม่ขึ้นแทน จากนั้นหันมาถามมู่อวิ๋นจิ่น “ดูดีไหม?”
มู่อวิ๋นจิ่นชะงักด้วยตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่พยักหน้างกๆ รับไป “ดูดีมาก!”
สิ้นเสียงได้ยินฉวีซินเหยาพึมพำขึ้นมา “น่าแปลกเหลือเกิน เหตุใดไม่เอามาให้ด้วยตัวเขาเอง……”
ภายในห้องต่างเงียบงันลงไม่มีคำตอบใดๆ
หลังจากนั้นฉวีซินเหยาค่อยถอดปิ่นดอกเหมย โยนเข้าไปในกล่องดังเดิม และโยนทิ้งออกไปนอกหน้าต่าง
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ฉวีซินเหยาทำเหลือเกิน
“ท่านทั้งสองอย่าหัวเราะเยาะไปเลย” ฉวีซินเหยาหันมายิ้มจางๆ ให้ฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่น ในมือหยิบปิ่นระย้าสีแดงขึ้นมา “เขารู้ทั้งรู้ว่าข้าชอบสีสด กลับส่งปิ่นสีอ่อนมาให้แทน นี่หรือคือการใส่ใจ……”
“หลายปีมานี้ เขากับเ้าต่างขัดเคืองด้วยเหตุนี้?” ฉู่ลี่เอ่ยถามเสียงเบา
ฉวีซินเหยาแสยะยิ้ม “ทำไมข้าจะไม่เคยคิดให้อภัย แต่เขามักทำให้ข้าโกรธได้ทุกครั้งไป……”
“เ้าสวี่เหออวี๋จะซื่อบื้ออะไรได้ป่านนี้”
หลังจากฉวีซินเหยาบ่นเสร็จก็ลุกขึ้นยืน เดินจากไปโดยไม่ให้สุ่มให้เสียงมาก่อน
เมื่อนางเดินออกไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ถอนหายใจอย่างยืดยาว สตรีผู้นี้ช่างมหัศจรรย์ แต่ก็แฝงด้วยความแปลกประหลาดไม่น้อย
……
ไม่นานนัก อาหารเลิศรสถูกจัดวางเรียงรายเต็มโต๊ะ
มู่อวิ๋นจิ่นคีบกระดูกหมูขึ้นมากัด จู่ๆ คิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ชายชราคนนั้นบอก หากสามารถเรียบรู้วิธีการจัดการกับจิติญญาดอกบัวดำได้ อย่างน้อยครึ่งเดือน อย่างมากครึ่งปี เช่นนั้น่ระยะนี้ ข้าต้องอาศัยอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
“เอาเป็ว่าอยู่สักครึ่งเดือนออก” ฉู่ลี่ตอบเสียงเรียบ
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับรู้ และเมื่อเห็นหอบุหลันที่อยู่ข้างนอก ภาพในหัวมีแต่ใบหน้าของฉู่ชิงเฉียงปรากฏขึ้นมา รอให้ข้าพบความลับที่ซ่อนอยู่เื้ัหอบุหลันได้แล้วละก็ องค์หญิงห้าเอ๋ย เ้าได้เห็นดีเเน่ๆ
หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ก็เลือกที่จะพักแรมอยู่ที่โรงเตี๊ยมลวี่อิน
พอมู่อวิ๋นจิ่นเข้าห้องกำลังพักผ่อนอยู่นั้น จู่ๆ นางนึกขึ้นมาได้ว่าจนต้องเขกหัวตนเอง “เกือบลืมไปเสียสนิท ก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าได้ซื้อเรือนที่เมืองเซินเย้าไว้นี่หน่า!!!”
ด้วยความตื่นเต้นใคร่อยากเห็นเรือนที่ซื้อในราคาที่สูงลิบลิ่ว มู่อวิ๋นจิ่นก็เด้งตัวขึ้นสวมรองเท้าเดินออกจากห้องไป
ระหว่างที่กำลังเดินลงจากบันได บังเอิญพบกับติงเซี่ยน “พระชายาจะไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นยกนิ้วชี้ขึ้นมาจุ๊ปาก “ฉู่ๆๆๆ” เบาเสียงของเ้าหน่อย “ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องบอกเื่นี้กับฉู่ลี่ล่ะ”
ติงเซี่ยนผงกหน้างกๆ
มู่อวิ๋นจิ่นจึงรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วหมายไปดูเรือนที่นางซื้อไว้กับตา และได้ถามเสี่ยวเอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม “ขอถามหน่อย ประตูเมืองทิศตะวันตกอยู่ทางไหน ที่นั่นมีเรือนที่ชื่อว่า ‘จวนชิง’ ใช่ไหม?”
เสี่ยวเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าด้วยนึกออกแล้ว “ใช่แล้วขอรับ จวนชิงว่างร้างมานานแล้ว ได้ยินมาว่ามีคนซื้อไปแล้วขอรับ”
“อย่างนั้นจะไปอย่างไร?”
“เดินออกประตูไปเลี้ยวขวา จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะพบแล้วขอรับ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้