เพราะมีเลขาระดับสูงมาช่วยจัดการ เื่ทุกอย่างจึงราบรื่นเป็อย่างยิ่ง ไม่นานนักขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ก็เสร็จสิ้น หมี่หลันเยว่จึงยื่นเงินให้เลขาหวัง แต่ตอนที่เธอยื่นเงินให้เลขาหวังนั่นเอง เจิ้งซวี่เหยาถึงได้เห็นจำนวนเงินที่เธอจ่ายไป มันทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
"หลันเยว่ บ้านสี่ประสานนั่น เธอจ่ายไปแค่สามพันหยวนเองเหรอ?"
รอจนเลขาหวังจากไปแล้ว เจิ้งซวี่เหยาจึงตบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กของหมี่หลันเยว่เบาๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยทีเดียว
"ทำไมคะ อาจารย์เจิ้ง อาจารย์ว่าฉันจ่ายน้อยไปเหรอ?"
เจิ้งซวี่เหยายังคงจำจิติญญาการต่อราคาของหมี่หลันเยว่ตอนซื้อห้องแถวได้ดี ดังนั้นพอเห็นว่าเธอซื้อบ้านสี่ประสานได้ในราคาแค่สามพันหยวน ก็รู้สึกว่ามันน้อยเกินไป
"ว่าแล้วเชียว ทำไมเธอไม่ต่อราคาเลย ที่ดินกว้างขนาดนั้น เธอกลับซื้อได้ในราคาแค่สามพันหยวน"
หมี่หลันเยว่มองเขาด้วยสายตาเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด
"อาจารย์เจิ้งที่รัก อาจารย์เคยถามบ้างไหมว่าตอนนี้ราคาบ้านมันเท่าไหร่แล้ว?"
คำว่า ‘อาจารย์เจิ้งที่รัก’ ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบ แต่เจิ้งซวี่เหยารีบระงับความตื่นเต้นนั้นลง ควบคุมสีหน้าของตัวเองให้ดี
"ฉันไม่ได้ถามนี่ ฉันไม่ได้ซื้อบ้านสักหน่อย"
"แล้วอาจารย์รู้ได้ยังไงว่าฉันจ่ายน้อยไป ตอนนี้แค่ไม่กี่สิบหยวนก็ซื้อบ้านได้แล้ว อย่างดีก็ไม่เกินร้อยหยวน ในบ้านนั้นมีแค่สิบกว่าหลัง เขาคิดราคาหลังละร้อยหยวน ก็แค่พันกว่าหยวนเท่านั้นเอง ไอ้บ้านใหญ่โตนั่น มันไม่คุ้มที่ฉันจะจ่ายตั้งพันกว่าหยวนเลยเหรอคะ?"
หมี่หลันเยว่รัวคำถามใส่ จนเจิ้งซวี่เหยาอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
"ทำไม ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหรอคะ อาจารย์เจิ้ง อาจารย์จะเอามาเทียบกันไม่ได้นะ เพราะคราวก่อนฉันซื้อห้องแถวในราคานั้น ที่ตรงนั้นมันเป็ร้านค้าใจกลางเมืองปักกิ่ง มันต่างกับบ้านเรือนธรรมดาแบบนี้"
หมี่หลันเยว่พูดอย่างหนักแน่น แต่ในใจกลับหัวเราะอย่างมีความสุข ถึงตอนนี้จะคิดราคาแค่บ้านธรรมดาก็เถอะ แต่รออีกสิบยี่สิบปีข้างหน้า แม้แต่ร้านค้าใจกลางเมืองก็อาจจะสู้ราคาบ้านหลังนี้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่ นั่นมันเป็เื่ของอีกหลายปีข้างหน้าน่ะสิ
"ฉันไม่ได้คิดจะวัดตามมาตรฐานนั้นหรอกนะ ฉันลดระดับลงมาแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าราคาบ้านกับร้านค้ามันจะต่างกันขนาดนี้ ฉันนึกว่า ถึงที่นี่จะเป็บ้าน แต่พื้นที่มันใหญ่กว่าร้านค้าที่ว่าเยอะ ราคามันถึงจะถูกกว่า ก็คงไม่ถูกกว่ากันมากมายขนาดนี้"
"อาจารย์เจิ้ง อาจารย์ต้องลงไปััชีวิตให้มากกว่านี้นะ เื่กินกาแฟฉันสู้อาจารย์ไม่ได้ แต่เื่ชีวิตประจำวันของชาวบ้าน ฉันเชี่ยวชาญกว่าอาจารย์เยอะค่ะ"
หมี่หลันเยว่ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างอวดๆ ให้เจิ้งซวี่เหยาดู ส่วนหมี่หลันหยางได้แต่มองน้องสาวด้วยรอยยิ้ม ไม่พูดอะไร
"เธอกล้าดียังไงมาหัวเราะเยาะฉันว่าเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับชนชั้นนายทุน ฉันกินกาแฟก็เพราะความพยายามของตัวเอง ไม่ได้เอาเปรียบใครสักหน่อย"
เจิ้งซวี่เหยายื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่เบาๆ ยังไงซะ เขาก็เป็บัณฑิตหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยชิงหัวเชียวนะ
"ค่ะๆ อาจารย์เจิ้งเก่ง ฉันเองก็เก่งเหมือนกันนี่คะ ต่างคนต่างเต็มใจ คุณลุงหลี่เขายินดีขายบ้านหลังใหญ่ให้ฉันในราคาถูก แล้วฉันจะทำยังไงได้ล่ะคะ"
ถูกหรือไม่ถูก มันก็พูดยากจริงๆ ถ้าเป็ในยุคนี้ มันก็ถือว่าราคาสูงแล้ว
หมี่หลันเยว่ยังไม่ค่อยรู้เื่ราคาบ้านในปักกิ่งมากนัก แต่เธอรู้เื่ราคาบ้านในเมืองเล็กๆ ของตัวเองดี ถ้าห้าสิบหกสิบหยวนก็ซื้อได้แล้ว ถ้าจ่ายแปดสิบถึงร้อยหยวน ก็จะได้บ้านที่ดูดีหน่อย อาจจะเป็สองห้องนอน หนึ่งห้องครัว พร้อมลานเล็กๆ ด้วย
ทั้งสามคนคุยกันไปหัวเราะกันไป ขณะเดินกลับบ้าน หมี่หลันเยว่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด และส่งต่อความรู้สึกนั้นไปให้เจิ้งซวี่เหยาและหมี่หลันหยาง ทั้งสองคนคุยกับเธออย่างสนุกสนาน จนลืมความร้อนระอุของอากาศไปเลย เพราะเื่นี้คลี่คลายความกังวลในใจของหมี่หลันเยว่ไปได้มาก
"หลันเยว่ แล้วเธอจะทำยังไงกับผู้เช่าพวกนั้น?"
ไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหน เื่ก็วกกลับมาที่บ้านสี่ประสานอีกครั้ง คำพูดของหมี่หลันหยางทำให้หมี่หลันเยว่ชะงักไป แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก
"พรุ่งนี้พี่กับพี่หย่งจิ้นช่วยกันเขียนป้ายประกาศขนาดใหญ่หลายๆ แผ่น เอาไปติดที่บ้านหลังนั้น บอกให้พวกเขารู้ว่าบ้านสี่ประสานถูกขายไปแล้ว ให้ย้ายออกไปภายในสิ้นเดือนนี้ ถ้าไม่ย้ายออก ภายในต้นเดือนหน้า สถานีตำรวจท้องที่จะเข้ามาจัดการ และต้องเน้นย้ำว่าห้ามทำลายทรัพย์สินส่วนกลางในบ้าน ใครฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก"
"เขียนแบบนี้จะได้ผลเหรอ สิ้นเดือนนี้ก็เหลืออีกไม่กี่วันแล้วนะ?"
หมี่หลันหยางรู้สึกว่าน้องสาวของตัวเองค่อนข้างแข็งกร้าวไปหน่อย เพราะพวกเขาเป็ชาวบ้านธรรมดา ถ้าแสดงท่าทีแบบนี้ออกไป อาจจะทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นมาก็ได้
"ก็เพราะคุณลุงหลี่ไม่แข็งแบบนี้ไงคะ ผลถึงเป็อย่างนั้น เขาก็บอกมานานแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้เช่าพวกนั้นก็ไม่สนใจอยู่ดี แถมถ้าไม่ได้เห็นแก่หน้าว่าพวกเขาเป็ชาวบ้านธรรมดา ฉันจะให้พวกเขาย้ายออกไปเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ พี่รู้ไหมว่า่เวลาก่อนเปิดเทอมมันมีค่าสำหรับเราขนาดไหน?"
หมี่หลันหยางจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่ลุงหลี่บอกว่าควรใช้วิธีที่นุ่มนวล การเผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้าไม่ใช่ทางออกที่ดี ถ้าเกิดผู้เช่าพวกนั้นต่อต้านขึ้นมา เื่มันอาจจะยุ่งยากกว่าเดิม ไม่เป็การเสียเวลาไปมากกว่าเดิมเหรอ
เห็นสีหน้ากังวลของพี่ชาย แต่เขาไม่ได้คัดค้านอะไร หมี่หลันเยว่จึงรีบปลอบใจ
"พี่คะ ไม่ต้องห่วงนะ ตอนที่ฉันไปดูคุณยายเฉินที่บ้านหลังนั้น คุณยายเฉินกระซิบกับฉันว่า พวกเขาเตรียมพร้อมกันอยู่แล้ว แค่ลุงหลี่ขายบ้านได้ พวกเขาก็จะย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว"
เธอขยับเข้าไปใกล้พี่ชาย ยื่นมือคล้องแขนเขาไว้
"แถมในส่วนพ่อแม่ของลุงหลี่ เร็วหน่อยก็คืนนี้ ช้าหน่อยก็พรุ่งนี้เช้า พวกเขาก็จะย้ายออกจากบ้านไป นั่นแหละคือสัญญาณเตือนที่สำคัญที่สุด"
"ถึงผู้เช่าพวกนั้นอยากจะเบี้ยวแค่ไหน พอเ้าของบ้านเดิมย้ายออกไปแล้ว พวกเขาก็ไม่มีสัญญาเช่าที่ทำไว้กับเ้าของบ้านเดิม ถ้าพวกเขายังดึงดันที่จะอยู่ในบ้านหลังนั้นต่อไป นั่นก็เท่ากับทำผิดกฎหมาย ลุงหลี่เป็ถึงข้าราชการระดับสูง เขาอาจจะไม่ถือสา แต่พวกเราเป็ชาวบ้านธรรมดา จะไม่ถือสาได้อย่างไร"
"ดังนั้น พี่วางใจได้เลย พวกเขาย้ายออกเร็วกว่าเวลาที่เรากำหนดไว้แน่นอน ไม่เชื่อพี่ก็คอยดู ถึงจะมีสักหลังสองหลังไม่อยากย้าย พอเห็นคนอื่นย้ายออกไปหมดแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีใจสู้ แค่พี่ๆ ไปขู่สักหน่อย พวกเขาก็จะรีบย้ายออกไปอย่างว่าง่ายแล้วค่ะ"
หมี่หลันหยางจะเชื่อหรือไม่ ก็ต้องรอดูต่อไป เขาหวังว่าเื่ทุกอย่างจะเป็ไปในทิศทางที่ดี
"ก็ได้ รอดูว่าเื่มันจะเป็ไปตามที่เธอว่าไว้หรือเปล่า อย่าให้มีอะไรผิดพลาดเลย เราเพิ่งจะมาลงหลักปักฐานที่ปักกิ่ง ไม่อยากมีเื่มีราวให้วุ่นวาย"
พูดจบก็เห็นสีหน้าไม่เห็นด้วยของเจิ้งซวี่เหยาที่อยู่ข้างๆ จึงรีบเสริมอีกประโยค
"ถึงจะมีครอบครัวอาจารย์เจิ้งคอยปกป้องเราอยู่ เราก็ควรจะพยายามอย่าก่อเื่ให้มากนัก จะได้ไม่รบกวนให้อาจารย์เจิ้งต้องเป็ห่วง หรือต้องลำบากคุณลุงคุณป้า"
"ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็มีฉันอยู่ทั้งคน จะยอมให้พวกเธอสองคนพี่น้องต้องเสียใจได้ยังไง หลันเยว่ อย่าไปฟังพี่เธอ อยากทำอะไรก็ทำ ฉันเชื่อว่าเธอคงไม่ทำอะไรที่มันเกินเลยไป ถ้าเรามีเหตุผล เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น มีฉันอยู่ทั้งคน ฉันจัดการให้เธอเอง"
เจิ้งซวี่เหยาให้การสนับสนุนหมี่หลันเยว่อย่างไม่ลังเล ทำให้แววตาของหมี่หลันเยว่เป็ประกายขึ้นมา
"ขอบคุณค่ะอาจารย์เจิ้ง แต่ฉันจะจัดการเื่นี้ให้ดี อาจารย์วางใจได้เลยค่ะ"
สำหรับกำลังใจที่เจิ้งซวี่เหยามอบให้โดยไม่ถามเหตุผล หมี่หลันเยว่รู้สึกซาบซึ้งจากใจจริง
"ฉันเชื่อใจเธอ แต่ถ้ามันไม่เป็ไปตามที่เธอคิดก็ไม่ต้องกลัว มีฉันคอยหนุนหลังเธออยู่ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น ฉันจะช่วยเธอเอง ดังนั้น เธอไม่ต้องลังเล"
จมูกของหมี่หลันเยว่รู้สึกตื้อขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอไม่เคยรู้เลยว่าจะมีใครสักคนดีกับเธอได้ขนาดนี้ ดีจนเธอทำอะไรไม่ถูก
"เป็อะไร ซึ้งใจเหรอ ฉันเป็คนแรกที่เธอรู้จักในปักกิ่ง นี่คือพรหมลิขิตของเราสองคน ดังนั้น ฉันยินดีที่จะปกป้องเธออย่างสุดกำลัง ดังนั้น เธอไม่ต้องซึ้งใจ แค่รับไว้ก็พอ"
เจิ้งซวี่เหยาเห็นดวงตาของหมี่หลันเยว่แดงก่ำ จึงยื่นมือไปเขี่ยปลายจมูกของเธอเบาๆ
ถึงเจิ้งซวี่เหยาจะพูดอย่างสบายๆ แต่หมี่หลันหยางที่อยู่ข้างๆ กลับมีประกายวาบผ่านในดวงตา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ยังไงซะ เขาก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้อะไรเลยสักหน่อย สำหรับความรู้สึกระหว่างชายหญิง เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่คำพูดของเจิ้งซวี่เหยา เขาไม่รู้จะโต้แย้งยังไง เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรที่คลุมเครือ แถมยังดูจริงใจเสียด้วยซ้ำ
"ขอบคุณค่ะ อาจารย์เจิ้ง"
ถึงเจิ้งซวี่เหยาจะบอกว่าไม่ต้องให้หมี่หลันเยว่ซึ้งใจ แต่หมี่หลันเยว่ก็ยังอยากจะขอบคุณ ั้แ่ที่เธอได้เจอเจิ้งซวี่เหยาบนรถไฟที่เดินทางมาปักกิ่ง เจิ้งซวี่เหยาก็ให้ความช่วยเหลือเธออย่างต่อเนื่อง
"เอาน่า บอกว่าไม่ต้องทำแบบนี้ไง แล้วแผนการต่อไปของพวกเธอคืออะไร?"
เห็นว่าถ้าไม่เปลี่ยนเื่ หมี่หลันเยว่อาจจะมีอารมณ์ที่สั่นไหวไม่มั่นคง เจิ้งซวี่เหยาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในทิศทางที่หมี่หลันเยว่สนใจ
"แผนการต่อไปของเราก็คือรอการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็ร้านค้าหรือบ้านสี่ประสาน ต่างก็จะต้องคืนพื้นที่ให้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ ดังนั้น เราก็จะต้องเริ่มตกแต่งบ้านแล้ว เื่ร้านค้ายังพอว่า เพราะเราเคยตกแต่งร้านมาหลายร้านแล้ว มีแบบแปลนที่กำหนดไว้ในมืออยู่แล้ว"
"ตอนนี้แค่ปรับเปลี่ยนตามขนาดพื้นที่ของร้านเล็กน้อยก็พอ ถึงจะมีการปรับปรุงบ้าง แต่ก็คงไม่มากนัก เพราะร้านของเรา้ารูปแบบที่เป็เอกลักษณ์ แต่บ้านสี่ประสาน เราคงต้องคิดกันให้หนักหน่อย ต้องใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด"
พอพูดถึงเื่ที่อยู่ในความสนใจ สมาธิของหมี่หลันเยว่ก็กลับมา เจิ้งซวี่เหยาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่วนหมี่หลันหยางก็ไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเจิ้งซวี่เหยา หัวใจของเขากระตุกวูบ ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งที่เขาต้องใส่ใจแล้ว
ถึงเจิ้งซวี่เหยาจะไม่ได้ทำอะไรที่คลุมเครือกับหมี่หลันเยว่ แต่ความห่วงใยและการเอาใจใส่ที่มากเกินไปของเขา หรือแม้แต่การปกป้องอย่างไม่มีเงื่อนไข ก็ทำให้หมี่หลันหยางรู้สึกระแวดระวัง หมี่หลันหยางรู้ว่าตัวเองได้พบเจอกับความลับที่ยิ่งใหญ่เข้าให้แล้ว
