ในขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์รีบสาวเท้าก้าวใหญ่กลับไปนั้น เสียงร้องอันน่าหวาดกลัวพลันดังขึ้นมาจากบนูเา เสียงนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาในหูของหลิงมู่เอ๋อร์
“แย่แล้ว
พี่เฉิงจื่อถูกสัตว์ป่าโจมตีแล้ว” มีคนผู้หนึ่งวิ่งลงมาจากบนูเา
พูดกับชาวบ้านคนอื่นๆ “ทุกคนรีบไปดูเขาเร็วเข้า
เขาเืออกเยอะมาก ตอนนี้นอนอยู่บนพื้นหิมะ ข้าไม่กล้าแตะต้องเขา
เกรงว่าจะทำให้าเ็สาหัสหนักกว่าเดิม เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”
สีหน้าของชาวบ้านแปรเปลี่ยนไป
คนผู้หนึ่งในจำนวนนั้นกล่าว “สัตว์ดุร้ายที่พวกเ้าเจอนั้นคือสัตว์ชนิดใด?”
“เป็เสือดาวตัวหนึ่ง
พวกข้าเห็นเสือดาวตัวนั้นก็คิดจะวิ่งหนี แต่พี่เฉิงจื่อพูดว่าหิวมาหลายวันแล้ว
ถ้ายังไม่ได้กินอะไรอีกก็คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว ไม่สู้เสี่ยงอันตรายสักยกหนึ่ง”
“แต่คิดไม่ถึงว่าสัตว์ป่าจะน่ากลัวเช่นนี้
พวกข้าบุรุษสิบกว่าคนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
พี่สามยังถูกเสือดาวตัวนั้นคาบไปแล้ว พี่เฉิงจื่อถูกกัดแขนขาดไปหนึ่งข้าง
ตอนนี้ยังไม่ได้สติ”
“พวกเ้าช่างเหลวไหลจริงๆ
สัตว์ป่าในูเาเป็สัตว์ดุร้ายที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ปกติพวกข้าไม่กล้าไปยุ่งกับพวกมัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอากาศของฤดูหนาวที่เลวร้ายเช่นนี้
พวกสัตว์ป่ายิ่งบ้าคลั่งมากกว่าปีก่อนๆ ” ผู้าุโท่านหนึ่งส่ายหัวแล้วกล่าว
“แค่ครู่เดียวก็าเ็หนึ่งตายหนึ่ง ดูสิว่าพวกเ้าจะกล้าบุ่มบ่ามอีกหรือไม่”
“ท่านปู่สาม
พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
บุรุษที่วิ่งลงจากูเาเพื่อบอกข่าวกล่าวพร้อมตัวสั่น “พวกข้าไม่สามารถละเลยพี่เฉิงจื่อได้!ตอนนี้เขายังไม่ตาย!”
“พวกเราทุกคนไปช่วยหามเขาลงมากันเถิด!สัตว์ป่าตัวนั้นคาบเ้าสามไปแล้ว น่าจะไม่ได้กลับมาภายในเวลาอั้นสั้นหรอก ” พวกชาวบ้านได้ยินแล้วก็พูดคุยหารือกัน
ถึงแม้ว่าคนในหมู่บ้านนี้ต่างก็มีความคิดเป็ของตนเอง
แต่ก็ไม่ได้มีจิตใจโหดร้ายที่เห็นคนยังไม่ตายก็ไม่ช่วยเหลือ
ในเมื่อเฉิงจื่อนั้นยังไม่ตาย แน่นอนว่าต้องหามลงมารักษาตัว
ส่วนพี่สามที่ถูกเสือดาวคาบหนีไปนั้น พวกเขาไม่ความคิดที่จะตามหาต่อแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากเขายังไม่ตาย เช่นนั้นถึงจะเรียกว่าแปลกประหลาดนัก
หลิงมู่เอ๋อร์เบียดอยู่ในกลุ่มคน
เห็นคนเ่าั้หามเฉิงจื่อลงมา
บุรุษร่างกำยำไปทั้งหมดสี่คน
ชื่อเสียงในหมู่บ้านของทั้งสี่คนนั้นไม่เลว ล้วนมีนิสัยใจคอที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
ในตอนที่พวกเขาใช้แคร่หามเฉิงจื่อที่แขนหนึ่งข้างขาดเืท่วมตัวนั้น
พวกชาวบ้านที่ล้อมดูแต่ละคนก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างอดไม่ได้
“เฉิงจื่อ…”
หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหมู่บ้าน หญิงสาวนางนั้นอุ้มเด็กอายุครบเดือนไว้
หญิงสาววิ่งซวนเซเข้ามา คว่ำหน้าบนตัวเฉิงจื่อที่อยู่บนแคร่
เรียกด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา “เฉิงจื่อ เ้าตื่นเถิด…
เ้าลุกขึ้นมามองข้าสิ! เ้าห้ามตาย
หากเ้าตายแล้วทิ้งให้พวกเราเป็หญิงหม้ายกับลูกที่กำพร้าบิดา เช่นนั้นก็มิกับว่าถูกคนรังแกให้ตายหรอกหรือ?”
“ภรรยาเฉิงจื่อ
เ้าอย่าร้องเสียงดังเลย เดิมทีเฉิงจื่อไม่เป็อันใด
ทว่าถูกเ้าร้องเรียกเสียงดังอย่างนี้สองที เช่นนั้นอายุก็สั้นลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว” ชายชราผู้หนึ่งขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ถนนในหมู่บ้านถูกตัดขาดแล้ว พวกข้าจนปัญญาที่จะไปเชิญหมอมาให้ ตอนนี้ได้แต่ดูว่าชะตากรรมเขาจะเป็อย่างไร ถ้าผ่านความตายนี้ไปได้
หลังจากนี้พวกเ้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ถ้าหาก..."
“หลี่เจิ้งล่ะ?” มีคนพูดขึ้น “เกิดเื่ใหญ่เช่นนี้
ทำไมถึงยังไม่ไปเชิญหลี่เจิ้งอีก?”
“ไม่ต้องเรียกแล้ว
ข้ามาแล้ว” หลี่เจิ้งเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เอื่อยเฉื่อย
เขามองเฉิงจื่อที่นอนอยู่บนพื้น ขมวดคิ้วแล้วพูด “พวกเ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วจริงๆ หรือ เพื่ออาหารเพียงเล็กน้อย
กล้าที่จะต่อสู้กับสัตว์ป่าในูเา ยามนี้ถูกทำร้ายเข้าแล้วสินะ?สมน้ำหน้านัก! ก็สมควรให้พวกเ้าจำเป็บทเรียนเอาไว้”
“หลี่เจิ้ง
พวกข้าหิวกันมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่ยอมเปิดถนนสักที
แม้แต่เปลือกต้นไม้ก็คงไม่มีกินแล้ว อาหารเพียงนิดเดียวจากปากของท่าน
สำหรับพวกเรามันคือชีวิตทั้งชีวิต!” บุรุษผู้หนึ่งพูดทั้งน้ำตา “พวกเราสามารถตายได้ แต่เด็กที่บ้านไม่มีความผิด ตอนที่พวกเขาร้องไห้หิวโหย
ทุกคนแทบอยากจะเฉือนเนื้อตนเองป้อนให้ ดังนั้นเห็นเสือดาวตัวใหญ่ขนาดนั้น
ก็เลี่ยงที่จะมีความฮึกเหิมขึ้นมาไม่ได้”
“เช่นนั้นตอนนี้สบายแล้วหรือ?” หลี่เจิ้งหัวเราะเยาะ “แทนที่จะไปหาสัตว์ป่าในูเา
ไม่สู้เฉือนเนื้อตนเองป้อนลูกไม่ดีกว่าหรือ ไม่ว่าอย่างไรเฉือนเนื้อไปสองชิ้นก็ไม่ถึงตายหรอก”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลี่เจิ้งอย่างโกรธเคือง
คนแบบนี้เป็หลี่เจิ้งของที่นี่ได้อย่างไร?สมัยโบราณนับเป็ที่ที่ไม่มีสิทธิมนุษยชนจริงๆ
อำนาจคือทุกสิ่งในที่นี้ อยากจะมีตำแหน่งที่มีเกียรติจำเป็ต้องมีอำนาจ
ทว่าหลี่เจิ้งเล็กๆ นี้
ในที่นี้แม้แต่อันธพาลเ้าถิ่นยังไม่คู่ควรที่จะเรียกด้วยซ้ำ
นึกไม่ถึงเลยว่าจะมองชีวิตของชาวบ้านไม่มีค่าแม้แต่น้อย
ช่างหลงระเริงอย่างถึงที่สุด
คนผู้นี้...จะต้องจัดการ
ในดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ทอประกายด้วยความเ็าถึงขีดสุด
นางสังเกตไปที่หลี่เจิ้งผู้นั้นอย่างละเอียด จินตนาการว่าควรเอายาพิษอะไรให้เขาดี
เขาควรขอบคุณนางที่ตอนนี้ยากจนจนเกินไป ซื้อสมุนไพรเ่าั้ไม่ได้
อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในหน้าหนาว สมุนไพรหลายชนิดก็ยังไม่งอกเงยขึ้นมา เพราะฉะนั้น
เขาถึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้
พวกชาวบ้านต่างก็โกรธในคำพูดของหลี่เจิ้งแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
หลี่เจิ้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยใส่ใจพวกเขาอยู่แล้ว
และพวกเขาก็ไม่ได้หวังที่จะได้คำปลอบใจจากเขา
เพียงหวังว่าเขาไม่ซ้ำเติมก็ดีเท่าไรแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ดูสีหน้าของเฉิงจื่อที่แย่ลงเรื่อยๆ
นางหายไปจากด้านข้างของกลุ่มคนอย่างเงียบเชียบ
นางปีนขึ้นไปบนูเาอีกรอบ
หาสมุนไพรที่ตำแหน่งที่เคยเจอเมื่อก่อน จากนั้นก็รีบลงจากูเา ตอนนางกลับมา
คนอื่นๆ ยังคงอยู่ในท่าเดิมไม่ไหวติง
ไม่มีผู้ใดคิดว่าเฉิงจื่ออยู่บนพื้นหิมะเช่นนี้จะทำให้อาการาเ็เพิ่มมากขึ้น
ควรที่จะหามเขากลับบ้านก่อนค่อยว่ากันอีกที
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัว
เบียดเข้าไปในกลุ่มคน คุกเข่าลงมาดูที่ที่เฉิงจื่อได้รับาเ็
“พวกท่านยังไม่หามเขากลับไปอีกหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์มองที่าแของเฉิงจื่อ พบว่าาแนั้นเืไหลออกมาไม่หยุด
ถ้าเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาจะเสียเืเยอะเกินไปจนตายได้
“แม่นางมู่
เ้าเป็สตรียังไม่ออกเรือน จะมองบุรุษเช่นนี้ได้อย่างไร?เ้าไม่อายบ้างหรือ”
ชายชราผู้นั้นที่อยู่ด้านข้างร้องลั่น
“ตอนนี้พี่เฉิงจื่อาเ็จนมีสภาพเช่นนี้
ท่านยังมีอารมณ์พูดเื่เหล่านี้อีก หรือว่าในสายตาพวกท่าน
ชีวิตคนไม่สำคัญเท่าชื่อเสียงหรือเ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ “อีกอย่าง ตรงนี้มีผู้คนมากมาย
พี่เฉิงจื่อก็อยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ทุกคนควรให้ความสำคัญกับเขาไม่ใช่หรือ?เหตุใดถึงยังหาเื่ข้าที่เป็แค่เด็กสาวเพียงคนหนึ่ง?”
“ท่านปู่สาม
ช่างเถอะ ตอนนี้สนใจเฉิงจื่อก่อนเถิด!” บุรุษวัยกลางคนด้านข้างพูดโน้มน้าว
“ตอนนี้เฉิงจื่อยังไม่ตาย น่าจะยังพอช่วยได้อยู่”
หลิงมู่เอ๋อร์คร้านจะสนใจพวกเขา
พวกเขาพูดเื่ไร้สาระอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็ไม่มีแม้แต่ความคิดเห็นเดียวที่ใช้ได้
ถ้าเป็อย่างนี้ต่อไป ชีวิตของเฉิงจื่อผู้นั้นก็คงสิ้นไปแล้ว
เืที่แดงฉานไหลออกมาจากแขนที่ถูกตัดตรงนั้น
ภรรยาของเฉิงจื่อมือหนึ่งอุ้มลูกไปด้วยอีกมือปิดาแที่ได้รับาเ็ของเขาไว้
ภรรยาร่างอรชรผู้นั้นร้องไห้ดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [1] บุรุษข้างๆ มองแล้วต่างก็รู้สึกเ็ปใจ
แทบอยากจะเข้าไปปลอบนาง
หญิงสาวที่ออกเรือนแล้วหลายคนที่อยู่ด้านข้างต่างทอดถอนหายใจ
อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีความคิดเห็นอันใด
นอกจากความเห็นใจแล้วก็ไม่สามารถให้อะไรกับคู่สามีภรรยาคู่นั้นได้
หลิงมู่เอ๋อร์เคี้ยวสมุนไพรที่นำกลับมา
แล้วนำสมุนไพรมาทาที่บริเวณาแ
ภรรยาของเฉิงจื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างประหลาดใจ
นางขมวดคิ้ว อยากถามว่านี่คือสมุนไพรอะไร ใช้ได้ผลหรือไม่
แต่เมื่อเห็นว่าาแไม่มีเืไหลแล้ว คำพูดสงสัยเ่าั้ก็พูดไม่ออกอีกต่อไป
นางมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความซาบซึ้งใจแล้วกล่าว “ขอบคุณแม่นางมู่ คิดไม่ถึงว่าเ้าจะรู้วิชาแพทย์ด้วย”
“เป็โรคมานานจนพอจะมีความรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวนิ่งๆ “ถ้าหากท่านเป็ข้าก็สามารถเรียนรู้แบบผิวเผินได้อยู่บ้างเล็กน้อยเช่นกัน”
หลิงมู่เอ๋อร์เพียงแค่หาข้ออ้างไปเรื่อย
แต่ว่าความหมายที่พวกชาวบ้านได้ยินกลับแตกต่างกัน ในความเห็นของพวกเขา
สาเหตุที่หลิงมู่เอ๋อร์มีความรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง
ก็เพราะว่าที่บ้านมีพี่ชายขาเป๋และน้องชายที่โง่เขลา ด้วยเหตุนี้
แววตาที่พวกเขามองหลิงมู่เอ๋อร์นั้นจึงเต็มไปด้วยความเห็นใจ
“แม่นางมู่ไม่เลวเลย! นึกไม่ถึงว่าเืจะหยุดไหลจากาแของเฉิงจื่อแล้ว
เมื่อครู่ไหลจนกลายเป็เช่นนั้น เป็ห่วงว่าเขาจะเืไหลหมดตัวจนตายแล้วจริงๆ ”
บุรุษที่ลงจากูเาเพื่อแจ้งข่าวกล่าวด้วยความประหลาดใจ “แขนที่ขาดนี้จะทำอย่างไร?ถ้าหากต่อกลับไปได้ก็คงจะดีมาก
”
หลิงมู่เอ๋อร์มองแขนที่ขาดบนพื้น
และมองไปที่เฉิงจื่อด้วยความเห็นใจ นางคิดในใจ
ถ้าหากตอนนี้นางยังมีกล่องรักษาพยาบาลก็จะสามารถต่อแขนที่ขาดให้เขาได้อย่างแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่นี่ล้าหลังจนเกินไป
ไม่มีสิ่งของที่นาง้า เป็เพราะยังไม่เจริญเต็มที่
ดังนั้นทั้งที่สามารถต่อแขนกลับไปได้ แต่กลับไม่สามารถทำการผ่าตัดได้
หลิงมู่เอ๋อร์ลูบที่นิ้วมือ
ลวดลายบนนั้นมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่านางยังไม่สามารถก้าวเข้าไปในมิติได้
นี่เป็เพราะอะไรกันนะ?นางแน่ใจได้ว่ามิติของนางได้ทะลุมิติตามนางมาด้วย
เช่นนั้นตอนนี้ยังไม่มีวิธีเปิดใช้งาน เป็เพราะว่ายังไม่ถึงจังหวะที่เหมาะสมหรือ?หรือเพราะจะต้องพลิกผันสถานการณ์เพื่อเปิดใช้งาน
และนางยังหาจุดพลิกผันนั้นไม่เจอ?
“ทุกคนหามเฉิงจื่อกลับไปเถิด!ต่อไปอย่าให้ขึ้นูเาอีก
พรุ่งนี้ทุกคนต้องไปทำความสะอาดถนนด้วย รีบทำความสะอาดถนนให้เรียบร้อย
ทุกคนก็จะได้รีบออกจากเมืองเพื่อหาหนทางรอด" หลี่เจิ้งกล่าวนิ่งๆ “ส่วนเ้าสาม
เขาได้ตายไปแล้ว พวกเราก็ทำอันใดไม่ได้ บ้านของเ้าสามก็เหลือแค่หญิงหม้ายชราเพียงคนเดียว
ต่อจากนี้ทุกคนก็ช่วยกันดูแลนางด้วย อย่าปล่อยให้นางแก่เฒ่าโดยไร้ที่พึ่ง”
ได้ยินคำพูดที่ภายนอกดูสง่าผ่าเผยแต่ความจริงนั้นไม่ใช่แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์พลันยิ้มเยาะอยู่ในใจ
ถ้าอยากให้ดูแลหญิงหม้ายชราผู้นั้น
เช่นนั้นตนเองก็ทำเป็แบบอย่างเสียสิ
ทั้งที่ในหมู่บ้านครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในคือครอบครัวหลี่เจิ้ง
นอกนั้นทุกคนล้วนไม่มีอะไรกิน หิวจนหน้าอกติดกับหลัง
ทว่าคนในครอบครัวของพวกเขายังคงอ้วนพี เห็นได้ชัดว่าไม่ขาดแคลนอาหาร
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้พูด ‘แค่อาหารเพียงเล็กน้อย’ ออกมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“ภรรยาเฉิงจื่อ เืของเฉิงจื่อหยุดไหลแล้ว ส่วนหลังจากนี้จะเป็เช่นไร
นั่นก็ต้องดูฟ้าลิขิตแล้วล่ะ”
หลี่เจิ้งมองที่ภรรยาเฉิงจื่อด้วยดวงตาคู่นั้นที่มีแววชั่วร้าย
ภรรยาของเฉิงจื่อกับเฉิงจื่อเพิ่งแต่งงานกันได้เพียงหนึ่งปี
เด็กคนนั้นเกิดได้เพียงหนึ่งเดือน ภรรยาของเฉิงจื่อมีหน้าตาที่งดงาม
ยิ่งตอนนี้อยู่ใน่ให้นมบุตร ดังนั้นรูปร่างจึงอวบอัดเร่าร้อนเป็พิเศษ
บุรุษที่บ้ากามเ่าั้ในหมู่บ้านมักจะทำท่าทางอยากได้จนน้ำลายหกทุกครั้งเมื่อเห็นนาง
แน่นอนว่านั่นเป็เพียงแค่บุรุษบางส่วนเท่านั้น คนชนบทนั้นเรียบง่ายซื่อตรง
บุรุษส่วนใหญ่ไม่มีความคิดที่ไม่ควรต่อภรรยาของผู้อื่น
ทว่า
หลี่เจิ้งบ้ากามตัณหาผู้นั้นปรารถนาในตัวภรรยาเฉิงจื่อมานานแล้ว
เขาแทบอยากจะให้เฉิงจื่อตายไปใจจะขาด
เช่นนี้ภรรยาของเฉิงจื่อก็จะกลายเป็เป็หญิงหม้าย นั่นไม่ใช่ว่านางจะกลายเป็ลูกไล่ในเงื้อมมือของเขาหรอกหรือ?
เมื่อครู่ภรรยาของเฉิงจื่อคว่ำหน้าร้องไห้อยู่บนร่างเฉิงจื่อ
กล่าวว่าถ้าเขาไม่อยู่แล้วหลังจากนี้จะต้องถูกผู้อื่นเหยียดหยามเป็แน่
แสดงให้เห็นว่านางเป็คนที่ฉลาด
รู้ั้แ่แรกว่าถ้าสูญเสียสามีไปนางจะต้องกลายเป็เป้าหมายของบุรุษเ่าั้และต้องถูกรังแกเป็แน่
ตอนนี้เฉิงจื่อยังอยู่ พวกเขายังไม่กล้ากำเริบเสิบสาน เฉิงจื่อไม่อยู่แล้ว
จุดจบของนางจะเป็อย่างไรก็รู้ๆ กันอยู่
“ขอบคุณหลี่เจิ้ง
บุญคุณครั้งนี้ข้าจะจดจำไว้” ภรรยาของเฉิงจื่อพูดกับหลี่เจิ้งจบ มองไปที่บุรุษคนอื่นๆพร้อมกล่าว “รบกวนพวกพี่ชายทั้งหลายช่วยหามเฉิงจื่อกลับไปด้วยเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าเฉิงจื่อเืหยุดไหล
ตรงนี้ก็ไม่มีเื่ของนางแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉิงจื่อกับภรรยาเฉิงจื่อยังนับว่าถูกชะตา
นางก็ไม่สนว่าคนพวกนี้จะเป็หรือตาย ไม่ใช่เพราะนางโหดร้าย
แต่เป็เพราะคนในหมู่บ้านถ้าไม่ใช่เคยรังแกครอบครัวพวกนาง
ก็ชอบพูดจาให้ร้ายบ้านของพวกนาง ถ้าไม่ใช่เป็เพราะว่าลูกๆ
อย่างพวกเขายัง้าให้หยางซื่อดูแล หยางซื่อก็คงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
คนสมัยใหม่รู้ดีว่าบางครั้งการกดดันจากคำพูดของประชาชนนั้นโหดร้ายถึงเพียงใด
สามารถบังคับให้คนมีชีวิตอยู่หรือตายได้ หยางซื่อเคยอยากจะฆ่าตัวตายมาก่อน
ด้วยเหตุผลเช่นนี้
นางเลยไม่มีความรู้สึกว่าเป็ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้ เมื่อนางหาเงินได้มาก
ก็จะพาหยางซื่อและคนในครอบไปให้ห่างไกลจากที่นี่ และจะไม่กลับมาอีก
เชิงอรรถ
[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน หมายถึง
เมื่อร้องไห้ก็ยังดูงดงาม