ใครพูดคุยกับเ้าแล้วเบิกบานใจ? หักใจปล่อยโอกาสลับฝีปากไม่ได้คืออะไร?
มู่จื่อหลิงโมโหจนอยากฆ่าคน
เหมือนที่คิดไว้จริงด้วย คำพูดดีๆ ไม่ออกจากปากพ่อค้า ถึงกับเห็นนางเป็อุปกรณ์ลับฝีปาก
เมื่อทนสิ่งนี้ได้ ยังมีสิ่งใดทนไม่ได้อีก
มู่จื่อหลิงคลี่รอยยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ เ้าพ่อค้าหน้าเืสมควรตาย ในเมื่อปากมีความสามารถในการพูดเสียขนาดนั้น ข้าก็จะให้เ้าพูดให้พอ
นางลอบมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ เตรียมนำสิ่งใดออกมา
ทว่า
เย่จื่อมู่ที่มือหนึ่งจับบังเหียนรถม้า อีกมือหนึ่งโบกพัดด้วยความสบายใจและเอ้อระเหย แย้มยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน “เถ้าแก่มู่ ท่านรู้หรือไม่? ข้าน้อยเลี้ยงลูกกระต่ายอยู่ตัวหนึ่ง หากไม่ให้มันกินให้อิ่ม มันจะกัดคน ท่านว่าน่าขบขันหรือไม่?”
มือที่ยื่นเข้าไปในแขนเสื้อของมู่จื่อหลิงชะงักไป กำหมัดแน่น มุมปากฉีกเป็รอยยิ้มแข็งๆ “ใช่หรือ?” ไม่ตลกแม้แต่น้อย
สิ้นเสียงพูด การเคลื่อนไหวยังคงต่อเนื่อง พ่อค้าน่าชิงชังกำลังตีวัวกระทบคราด มิได้อยากพูดว่านางเป็กระต่าย ที่ยามนี้ร้อนรนจนจะกัดคนหรือ
นางไม่ยอมรับสิ่งนี้แน่ ยามนี้นางจะกัดคนแล้ว กัดพ่อค้าหน้าเืผู้นี้ให้ตายไปซะแล้วจะเป็ยังไง
อย่างไรก็ตาม
จู่ๆ เย่จื่อมู่ก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา ราวกับจิตใจเบิกบานยิ่งนัก “ใช่สิ ยังมีลูกสุนัขอีกตัวหนึ่ง หากมิให้กินจนมันร้อนรน ก็จะทำให้มันโมโหเข้าได้ มันไม่กัดคนแต่มันจะปีนกำแพง ช่างน่าขบขันจริงๆ”
สีหน้ามู่จื่อหลิงคล้ำลงในทันใด ถลึงตาใส่เย่จื่อมู่อย่างเคียดแค้น โวยวายอย่างโกรธเคือง “พ่อค้าหน้าเื เ้าพอได้แล้ว บอกว่าข้าเป็กระต่ายก็ช่างเถิด ยังบอกว่าข้าเป็ลูกสุนัข เ้าสิลูกสุนัข ทั้งบ้านเ้าก็เป็ลูกสุนัข”
“พรืด” เย่จื่อมู่อดไม่ไหวทันที เกิดเสียงพรืดโดยพลัน กุมท้องตนหัวเราะออกมา
ยายหนูนี่ช่างน่ารักยิ่งนัก
มู่จื่อหลิงสองมือเท้าเอว เลิกคิ้วขึ้นะโใส่เย่จื่อมู่อย่างมีน้ำโห “หัวเราะๆๆ มีอะไรน่าหัวเราะกัน”
เย่จื่อมู่ดูเหมือนจะมองเห็นโทสะที่เกือบจะะเิออกมาของมู่จื่อหลิง โบกมืออย่างไร้ความผิด “เถ้าแก่มู่ สิ่งที่ข้าน้อยพูดถึงคือกระต่ายกับลูกสุนัข มิได้พูดถึงท่านเสียหน่อย ท่านไปโยงเข้ากับตนเองได้อย่างไร?”
“อ่อ...” มู่จื่อหลิงลากเสียงยาวอย่างไม่สะทกสะท้าน
เขาชะงักไป หุบพัดเข้าหากันแล้วลูบคาง แสร้งทำเป็ครุ่นคิด “หรือว่า...หรือว่าเถ้าแก่มู่กำลังโมโหจนร้อนรน คิดจะทำสิ่งใดลับหลังข้าน้อย?”
มู่จื่อหลิงถูกแทงเล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ในใจ ถลึงตาใส่เย่จื่อมู่อย่างขุ่นเคืองในทันที “เ้า ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย”
นางสูดลมหายใจเข้าลึก และสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง ราวกับโมโหไม่เบา ใบหน้าเล็กๆ แดงเรื่อ
หึ หากนางยอมรับว่าจะทำอะไรเขา ก็มิใช่เท่ากับยอมรับว่านางเป็ลูกสุนัขหรือ?
พ่อค้าหน้าเืสมควรตาย ที่แท้ก็รู้อยู่แล้วว่านาง้าทำสิ่งใด ตั้งใจพูดอ้อมไปอ้อมมาว่านางเป็กระต่ายที่ร้อนรนจนจะกัดคน สุนัขกังวลจนปีนกำแพง
รังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว!
มู่จื่อหลิงทั้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทั้งหมดหนทางกับเย่จื่อมู่ขึ้นมาโดยพลัน หากเป็ไปได้ นางแทบรอไม่ไหวที่จะยกมือตบเย่จื่อมู่จนแบนบีบจนกลมมันตรงนั้น
เย่จื่อมู่มองใบหน้าเล็กที่แดงเรื่อของมู่จื่อหลิงที่ขุ่นเคือง ก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของนางอย่างหมดทางเลือก
เขาโค้งริมฝีปากเป็รอยยิ้มบาง ั์ตาปรากฏแววตามใจอันบางเบา พูดเสียงอ่อนอย่างเอื่อยเฉื่อย “เฮ้อ ศาลต้าหลี่ถึงรวดเร็วเพียงนี้ วันนี้ได้พูดคุยกับเถ้าแก่มู่มีความสุขนัก หวังว่าครั้งต่อไปคงสำราญใจกว่านี้ หวังว่าพวกเรา...จะได้พบกันอีก”
ไม่รอให้มู่จื่อหลิงตอบสนอง เงาร่างเย่จื่อมู่ก็จางหายไปต่อหน้านาง
มู่จื่อหลิงมองเย่จื่อมู่ที่กลายเป็จุดเล็กๆ อยู่ไกลๆ นางโมโหจนคันฟัน
คนโง่งม เ้าสำราญใจ แต่ข้าไม่สำราญใจแม้แต่น้อย ตับไตไส้พุงแทบจะถูกโทสะเผาอยู่แล้ว
โทสะของมู่จื่อหลิงสุมอยู่ในอกไร้หนทางระบายออก ะโลงจากรถม้าอย่างฟึดฟัด เดินมุ่งไปศาลต้าหลี่
-
เพราะครั้งที่แล้วเสิ่นซือหยางนำกองทหารไปจัดการูเา แทบยกกันไปทั้งหมด เหลือเพียงเ้าหน้าที่เล็กที่คอยจัดการหน้าที่ประจำวันไม่กี่คน
ดังนั้นคนของศาลต้าหลี่ในยามนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักมู่จื่อหลิง ต่อให้ไม่รู้จัก ก็ล้วนได้ยินภายในสองสามวันมาแล้ว และความประทับใจที่พวกเขามีต่อมู่จื่อหลิงนั้นก็คือความเคารพเลื่อมใสและชื่นชม
สำหรับพวกเขามู่จื่อหลิงเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเขาทุกคน ถ้ามิได้เสี่ยวไตกูชี้ทางในตอนนั้น พวกเขาคงต้องจบชีวิตลงในตอนท้ายเพราะหลงทางอยู่ในป่าสายหมอก
องครักษ์ของศาลต้าหลี่สองนายเห็นมู่จื่อหลิงเดินมาก็รีบร้อนคุกเข่าทำความเคารพ
“คารวะหวางเฟย ขอให้หวางเฟยอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี”
การคุกเข่าคารวะอันกะทันหันนี้ทำให้มู่จื่อหลิงปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง นางทำเป็กระแอมในลำคอ วางท่าทีขึ้นมาทันที “ลุกขึ้น ยามนี้ใต้เท้าเสิ่นอยู่ที่ใด”
“เรียนหวางเฟย ใต้เท้าเสิ่นอยู่ในศาล ข้าน้อยจะพาท่านไป” เฮยชียืดตัวขึ้นอย่างนอบน้อม ทำท่าทางเชื้อเชิญ
เฮยชีชื่นชมมู่จื่อหลิงถึงขั้นสุด และปัสสาวะที่ทั้งเหม็นโฉ่และเหม็นสาบของเสี่ยวไตกูก็ยิ่งฝังลึกอยู่ในความทรงจำ
มู่จื่อหลิงเหลือบมองเฮยชีอย่างแปลกใจ นางเหมือนจะไม่รู้จักคนผู้นี้ สายตาที่เขามองนางเหตุใดจึงแปลกประหลาดนัก
คนผู้นี้มองนางเหมือนเทวรูปที่เคารพบูชาอย่างไรอย่างนั้น นางก็มิได้ทำเื่ะเืฟ้าดินจนเทพกับผีร่ำไห้อันใดในศาลต้าหลี่นี่?
“อืม” มู่จื่อหลิงตอบรับเสียงเบา ก้าวเท้าไปข้างหน้า
ศาลต้าหลี่เป็ศาลหลักที่รับผิดชอบพิจารณาคดี ส่วนใหญ่เป็คดีอุกฉกรรจ์ของแต่ละพื้นที่ รูปแบบการจัดการข้างในก็เป็ระเบียบไม่ยุ่งเหยิง
บนชั้นวาง แม้จะวางบันทึกคดีจนมากมาย แต่ทุกอันกลับมีเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจนเหมือนไม่ลำบากแม้แต่น้อย
และคนด้านในต่างก็ยุ่งวุ่นวายจนคล้ายว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภายนอกเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่เห็นเช่นนี้แล้ว ก็พอดูออกได้ว่าความสามารถในการจัดการดูแลของผู้ควบคุมเข้มงวดเพียงใด
เสิ่นซือหยางกำลังนั่งตัวตรงก้มหน้าตรวจสอบคดี เมื่อได้ยินว่ามีคนมา เขาจึงวางคดีในมือลงด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลง
เขาเงยศีรษะขึ้น เมื่อเห็นผู้ที่มาก็รีบร้อนลุกขึ้น ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยคารวะหวางเฟย”
“มิต้องมากพิธี” มู่จื่อหลิงกระแอมในลำคอ สายตากวาดผ่านคดีบนโต๊ะ แสร้งพูดอย่างเย้าหยอก “คล้ายว่าใต้เท้าเสิ่นจะยุ่งอยู่ เปิ่นหวางเฟยมาอย่างกะทันหัน มิได้รบกวนใช่หรือไม่?”
เสิ่นซือหยางชะงักไปโดยพลันและได้สติกลับมาทันที บนใบหน้ายังคงเงียบขรึมไร้รอยยิ้ม “หวางเฟยพูดล้อเล่นแล้ว เหนียงเหนียงมาที่นี่เพราะมีเื่ร้ายแรง เทียบกับสิ่งเหล่านี้ได้ที่ใดกัน เหตุใดจึงได้พูดว่ารบกวน?”
มู่จื่อหลิงคิดว่าเขาจะพูดอย่างเป็ทางการว่าเขามิกล้า หรือจะรบกวนได้อย่างไรทำนองนี้
ไม่คิดว่าเขาจะเอาเหตุผลที่นางมาที่นี่ มาตอบได้อย่างเป็ธรรมชาติ ไม่หวาดหวั่น ไม่ได้ด้อยค่าตนเองแม้แต่น้อย
เอาเถอะ ขิงแก่เผ็ดกว่าอย่างที่คิดไว้จริงๆ ใต้เท้าใหญ่มือสะอาดผู้เที่ยงธรรมและมากปัญญาผู้นี้ ไม่สนุกอย่างสิ้นเชิง
เสิ่นซือหยางมีความสามารถ มีฝีมือ และมีประโยชน์ต่อการทำงานนี้
เขาสามารถนั่งตำแหน่งซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่ได้อย่างมั่นคงไร้ข้อโต้แย้งอย่างชอบธรรม
เสิ่นซือหยางได้พูดอย่างชัดเจนแล้ว มู่จื่อหลิงจึงไม่เหมาะจะหยอกล้ออีก
มู่จื่อหลิงเดินไปยังที่นั่งหลักและนั่งลงด้วยตนเอง รินน้ำชาอย่างเอ้อระเหย ดื่มอย่างสบายใจ ถึงพูดว่า “ใต้เท้าเสิ่น สถานการณ์ที่พวกท่านได้พบระหว่างการสำรวจูเา เปิ่นหวางเฟยได้ฟังมาจากเสี่ยวไตกูแล้ว ไม่ทราบว่าใต้เท้าเสิ่นมีความคิดเห็นเช่นใดต่อเื่นี้?”
เสิ่นซือหยางวิเคราะห์ด้วยความเยือกเย็น “ต้องเป็ผู้บงการที่จับตาดูอยู่หลังม่านเป็แน่ ดังนั้นถึงได้รู้เบาะแสที่พวกเราสืบพบอยู่ตลอด ชิงลงมือก่อนพวกเราหนึ่งก้าวแล้วก็หมอกพิษ ทุกย่างก้าวล้วนขัดขวางการสืบค้น”
การวิเคราะห์ของเสิ่นซือหยางทุกประโยคนั้นล้วนชัดเจนและมีเหตุผล มู่จื่อหลิงพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วยกับความคิดของเสิ่นซือหยาง
สีหน้าเสิ่นซือหยางเจือไปด้วยความกังวลใจ ถอนหายใจแ่เบา “ข้าน้อยได้เชิญหมอหลวงหลี่ไปตรวจดูหมอกพิษแล้ว เพียงแต่มองไม่ออกว่าเป็พิษใด”
มู่จื่อหลิงยกมุมปากเป็รอยยิ้มงดงาม ไอเบาๆ ตบหน้าอกอย่างหลงตัวเอง “ใต้เท้าเสิ่นมิจำเป็ต้องกลุ้มใจ เสี่ยวไตกูมีปฏิกิริยาต่อพิษนี้ เปิ่นหวางเฟยในฐานะที่เป็เ้านายจะอ่อนแอได้อย่างไรกัน?”
ความหมายแฝงในคำพูดนี้คือ เสี่ยวไตกูร้ายกาจเพียงนั้น นางก็ต้องร้ายกาจยิ่งกว่า
ในเมื่อ้าขัดขวางการสืบสวน สามารถวางยาพิษในป่าสายหมอกที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ได้ พิษจะธรรมดาได้อย่างไร แล้วพิษจะแก้โดยง่ายดายได้อย่างไร
มุมปากของเสิ่นซือหยางกระตุก ยายหนูผู้นี้ไม่ถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าเสิ่น การสืบเบาะแสที่อยู่ของแมวขาวเป็อย่างไร?” มู่จื่อหลิงถามอย่างสำรวมและเคร่งขรึม
สีหน้าของเสิ่นซือหยางขรึมลงโดยฉับพลัน ส่ายศีรษะอย่างกลัดกลุ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าน้อยส่งคนไปสืบว่าแมวนั้นปรากฏตัวขึ้นที่ใด แต่กลับไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่จะมีเบาะแสเพียงเล็กน้อยก็ถูกตัดตอนไปโดยไร้สาเหตุ สุดท้ายจึงมิได้อะไรเลย ราวกับว่าแมวขาวตัวนั้นปรากฏตัวขึ้นที่ตำหนักหนานเหอจากอากาศ”
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วน้อยๆ ถามซ้ำ “ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย?”
ขอเพียงคดีมีเงื่อนงำ การไปสืบบริเวณที่สิ่งของปรากฏขึ้น เื่เช่นนี้สำหรับศาลต้าหลี่ถือเป็เื่ที่เห็นจนชินตา ไม่แปลกแต่อย่างใด
แต่ การปรากฏของเบาะแสถูกตัดตอนไปเสียแล้ว การลงมือนี้ฉับไวเกินไป!
หากแม้แต่ศาลต้าหลี่ยังสืบออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็สืบไม่ได้จริงแล้ว
และยามนี้แมวขาวตัวนั้นก็ตายไม่เห็นศพ ไร้ซึ่งหนทางจะสืบหา
เสิ่นซือหยางลูบเครา ส่งเสียงถอนหายใจหนักอึ้ง “ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย”
ยามนี้มู่จื่อหลิงรู้สึกกังวลยิ่งนัก นางไม่ใส่ใจว่าหมอกพิษในป่าสายหมอกนั้นจะรุนแรงเพียงใด จะดูไม่ออกอย่างไร
ถ้าเบาะแสแมวขาวถูกตัดตอนไปแล้ว ต่อให้หากู่ปรสิตออกมาได้ ก็ทำได้แค่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง กลับไม่อาจสาวไปถึงตัวคนร้ายออกมาได้
ในเมื่อตอนนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นให้คดีนี้มาอยู่ในมือนาง ก็แสดงว่าไม่สงสัยความบริสุทธิ์ของนางอีก ความบริสุทธิ์ของนางจะพิสูจน์ได้หรือไม่ก็ล้วนไร้ความสำคัญ
เพียงแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมู่จื่อหลิงยังคิดจะบีบผู้ที่บงการให้วางยาพิษกู่ออกมา เบาะแสของแมวขาวถูกตัดตอนไปแล้ว ยังจะบีบคนเื้ัให้ออกมาได้อย่างไร?
หากเป็เช่นนี้ ความทรมานของหลงเซี่ยวหนานที่มาจากการถูกพิษกู่ก็สูญเปล่าหรือ?
ต่อให้มิใช่เพราะหลงเซี่ยวหนาน เช่นนั้นโทษที่นางถูกขังในคุกมาหลายวันนั้นก็รับไปอย่างสูญเปล่าหรือ? ถูกฝ่ามือซื่อเสวียนอย่างไร้ที่มาที่ไป หัวไหล่ซ้ายที่เกือบถูกตัดออกก็สูญเปล่า?
หากทิ้งการสืบสวนไปเช่นนี้ วันหน้าจะมิทำให้คนที่มีเจตนายิ่งได้ใจหรือ?
ต่อไปไม่แน่ว่าจะทำสิ่งที่คนคาดไม่ถึง เื่ที่คลุ้มคลั่งออกมาอีกหรือไม่
เช่นนั้นวันหน้าจะยังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อยู่อีกหรือ?
ไม่ได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวล จะต้อง จำต้องควานหาตัวผู้ที่วางพิษกู่ออกมาให้จงได้
มู่จื่อหลิงตบโต๊ะอย่างแรง ยืดกายลุกขึ้น สีหน้าเฉียบขาด “ใต้เท้าเสิ่น เื่ยังไม่สาย ท่านส่งทหารสองสามคนตามข้าไปในป่าแห่งสายหมอกดูสถานการณ์”
“ข้าน้อยรับบัญชา” ในชั่วขณะหนึ่งแม้แต่เสิ่นซือหยางก็ยังถูกท่าทางเฉียบขาดถือดีของมู่จื่อหลิงที่ไม่สอดคล้องกับอายุของนางนี้ทำให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้