“คารวะท่านแม่”
เหยียนชิงใบหน้าแดงก่ำเพราะจับมือกับเว่ยซูหานเดินเข้ามา ก่อนจะปล่อยมือเมื่อมาถึงตรงหน้าฮูหยิน ทั้งสองคนโค้งคำนับลง
“คารวะท่านแม่”
เว่ยซูหานเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
ฮูหยินเหยียนมองไปที่ลูกชายของนาง พลางมองไปที่ลูกเขยของนาง นางแกล้งทำเป็ไม่เห็นใบหน้าแดงก่ำของพวกเขา และแกล้งทำเป็ไม่รู้การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นั่น สุดท้ายก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“อืม นั่งลงเถิด นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เื่ยกน้ำชาแสดงความเคารพก็ไม่จำเป็แล้วล่ะ นั่งกินข้าวด้วยกันเถอะ ที่นี่ไม่มีคนนอก ไม่จำเป็ต้องมากพิธี”
“ขอบคุณท่านแม่” สองสามีภรรยาเอ่ยตอบอย่างพร้อมเพรียง และนั่งลงตามลำดับ
ไม่นาน สำรับก็ยกมาส่ง
“วันนี้ลูกตื่นนอนผิดเวลา จึงมาช้า ต้องขออภัยท่านแม่ด้วย”
เหยียนชิงเอ่ยปากก่อน พร้อมลงมือตักน้ำแกงให้มารดา ก่อนจะตักให้เว่ยซูหาน
“เมื่อวานชิงเอ๋อร์ดื่มหนักไปหรือ? เห็นเ้าสีหน้าไม่ดีเลย ที่จริงแล้วหากไม่ไหว ไม่มาก็ไม่เป็ไร ไม่ใช่เื่ใหญ่โตอันใด”
ชิงเอ๋อร์เป็ชื่อเล่นของเหยียนชิง ฮูหยินเหยียนเรียกเขาเช่นนี้เป็การส่วนตัว เมื่อกล่าวจบก็มองไปที่เว่ยซูหาน แล้วเอ่ยอีกครั้ง
“เ้าหลับก็ช่างไปเถิด แต่ปล่อยให้ซูหานหิวเป็เพื่อนเ้าครึ่งค่อนคืน เ้าเด็กคนนี้ ช่างไร้หัวใจเสียจริง”
เหยียนชิงตะลึงงัน เพราะก็เพิ่งคิดถึงปัญหานี้เช่นเดียวกัน ใบหน้าจึงเริ่มแดงเรื่อขึ้น “ลูกสะเพร่าเกินไปแล้ว…”
“ไม่เป็ไร ข้าเองก็ไม่ได้หิว…”
เว่ยซูหานก้มหน้าตอบ ในใจพลันโล่งอก น้ำเสียงนี้ หมายถึงฮูหยินเหยียนไม่ได้ตำหนิเขา
“ั้แ่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ จะไม่หิวได้อย่างไร?” ฮูหยินเหยียนมองตำหนิลูกชาย และคีบอาหารให้พร้อมกับกล่าวอีกรอบ
“ที่นี่มีแต่พวกเราสามแม่ลูก ล้วนเป็ครอบครัวเดียวกัน พูดจาไม่ต้องมากพิธีเหมือนเป็คนนอก ดังนั้นแม่พูดตรงๆ แม่หวังว่าพวกเ้าจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ร่วมทุกข์ร่วมสุข มีชีวิตคู่ที่สงบราบรื่นเพียงแค่นั้น อย่างอื่นแม่ไม่ขออะไร”
“พวกเราทราบแล้วขอรับ”
สองสามีภรรยาเอ่ยตอบพร้อมกัน ก่อนจะมองหน้ากันด้วยความเขินอาย
ฮูหยินเหยียนส่งเสียงจิ๊ๆ และแอบนินทาในใจตัวเอง
ดูเหมือนว่าโชคชะตาที่ฝืนใจ ทว่าผลออกมาเป็เช่นนี้ก็นับว่าเหมาะสมกันดี เมื่อครู่คิดว่าทั้งสองกำลังเล่นละคร แต่ท่าทางที่เข้าอกเข้าใจกันเป็อย่างดีนี้ กลับเหมือนเป็สามีภรรยากันจริงๆ หรือว่าในคืนเข้าหอเมื่อคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น…
ไม่สิ เมื่อวานเร่งรีบเกินไป จึงหาคนมาสอนเื่ในห้องหอไม่ทัน อีกอย่าง เขาก็ดื่มจนเมา ดังนั้นน่าจะยังไม่เคย…
หรือว่าทั้งสองคนตกหลุมรักกันั้แ่แรกเห็น ถึงอย่างไรเว่ยซูหานก็หน้าตางดงามราวัหงส์
เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่ละเอียดอ่อนของมารดา เหยียนชิงก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในตอนนี้กลับอธิบายอะไรไม่ได้ ใบหน้าจึงร้อนผ่าว แอบคิดในใจว่าใบหน้าอ่อนเยาว์ของตัวเองนี้ช่างบางเสียเหลือเกิน
อาหารที่ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันจึงจบลงในบรรยากาศที่กลมกลืนและผ่อนคลาย
หลังจากนั่งพูดคุยกันอยู่สักพัก ทั้งสามคนก็เดินออกจากศาลาเล็กนี้เดินไปยังสวนดอกไม้ต่อ ทว่าไม่นานฮูหยินเหยียนก็หาข้ออ้างแยกตัวเหยียนชิงออกไป
เหยียนชิงลังเลและปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น ฮูหยินเหยียนเห็นท่าทางของเขาเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะตำหนิ
“เ้าเด็กคนนี้ ข้ามีเื่อยากพูดกับเว่ยซูหานสักหน่อย ยังจะทำให้ฮูหยินคนใหม่ลำบากใจหรืออย่างไร?”
“ข้าไม่ได้…” ใบหน้าของเหยียนชิงร้อนผ่าว มองเว่ยซูหานครู่หนึ่งก่อนจะถอยไปอย่างนอบน้อม เสียงหัวเราะของมารดาดังตามหลังมา
เหยียนชิงจากไปแล้ว ฮูหยินเหยียนและเว่ยซูหานยังคงเดินเล่นอยู่ในสวนต่อ หลังจากนั้นไม่นานเว่ยซูหานก็เป็ฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ท่านแม่มีเื่ใดก็เชิญกล่าวมาได้เลยขอรับ ซูหานจะจดจำให้ขึ้นใจ”
“จะให้พูดอะไร ข้าเองก็ไม่รู้…” ฮูหยินเหยียนจับมือเขาขึ้นมาแล้วตบลงไปเบาๆ “เด็กคนนี้… เ้าเองก็มีชีวิตที่ลำบากเช่นกันใช่หรือไม่?”
เว่ยซูหานก้มหน้าลง “ขอบคุณท่านแม่ที่เมตตา…”
“เ้าควรจะขอบคุณชิงเอ๋อร์” ฮูหยินเหยียนหัวเราะเบาๆ “อดีตที่ผ่านนั้นช่างมันเถิด ไม่ว่าเ้าจะมีความคิดใดหรือความตั้งใจใด วันนี้ข้าจะพูดอย่างชัดเจน และพูดเพียงครั้งเดียว”
เว่ยซูหานพยักหน้าอย่างนอบน้อม “ท่านแม่พูดมาเถอะขอรับ”
การที่เขามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็เพราะบุญคุณของตระกูลเหยียนที่แลกมาด้วยราคามหาศาล แม้จะเป็ความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดในเวลาแบบนี้ได้?
ดังนั้น เว่ยซูหานจึงแอบตัดสินใจอย่างเงียบๆ ไม่ว่าฮูหยินเหยียนจะพูดอะไร เขาก็จะเชื่อฟังโดยไม่คัดค้าน