ฟางเสียกลับส่ายหน้า “นี่อธิบายได้เพียงว่า ค่ายกลใหม่ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีช่องโหว่! แม่นางเฟิงสามารถทำลายค่ายกลได้ในระยะเวลาสั้นเช่นนี้ ซือคงเซิ่งเจี๋ยในฐานะนักเดินหมากอัจฉริยะก็ทำลายได้เช่นกัน!"
แววตาของเขาเปล่งประกายวับวาวขึ้นหลายส่วน “บางทีนี่อาจเป็โอกาส! ให้ข้าได้ฝึกฝนฝีมือกับแม่นางเฟิง เพื่อพิสูจน์หาช่องโหว่ของค่ายกลใหม่ และแก้ไขให้ค่ายกลสมบูรณ์ขึ้น!”
“แต่...” จ้าวฉีคิดจะพูดแต่อึกอัก ฟางเสียตัดบทเขา “ข้าได้ตัดสินใจแล้ว พวกเ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้า”
พูดแล้วเขาก็หยิบหมากดำขึ้นมาตัวหนึ่งวางลงบนกระดานหมาก
เฟิ่งเฉี่ยนที่อยู่ในห้องพิเศษฝั่งตรงข้ามร้องเอ๊ะ แล้วเดินหมากโต้กลับไปทันที
หมากดำพุ่ง!
หมากขาวข้าม!
หลังจากปะทะกันหลายก้าว มือของเฟิ่งเฉี่ยนที่ถือหมากดำอยู่นั้นหยุดชะงัก นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เกิดอันใดขึ้น” มู่ชิงเซียวอดถามไม่ได้
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าและพูดว่า “หมากดำเปลี่ยนแผนแล้ว!”
มู่ชิงเซียวถามอีก “ทำลายค่ายกลได้หรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าเบาๆ พูดติดๆ กันสามคำ “ยาก! ยาก! ยาก!”
ริมสระบุปผา ร่างของซือคงเซิ่งเจี๋ยโน้มเข้าใกล้กระดานหมากอีกหลายส่วน เขาจับจ้องสายตาหมากบนกระดานด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “น่าสนใจ เปลี่ยนค่ายกลใหม่อีกแล้ว!”
สายตาอบอุ่นอ่อนโยนของซือคงจวินเย่ตกลงบนใบหน้าหล่อเหลาของน้องชาย เขาพูดยิ้มๆ “ดูท่าแล้ว เพื่อโจมตีเ้าให้พ่ายแพ้ สามปีมานี้ฟางเสียทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อย”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยหัวเราะ ร่างของเขาเอนไปด้านหลัง “แต่น่าเสีย ยังขาดความเฉียบคมอยู่อีกเล็กน้อย”
คิ้วคมของซือคงจวินเย่เลิกขึ้น “เ้าคิดวิธีทำลายค่ายกลได้แล้วหรือ”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยหัวเราะแต่ไม่พูดจา นิ้วเรียวยาวหยิบหมากขาวขึ้นมาตัวหนึ่งแล้ววางลงบนกระดานหมากเบาๆ...
แนวตั้ง 7 แนวนอน 9!
ในวังหลวง เมื่อหมากดำถูกวางลงไป สีหน้าคร่ำเคร่งของเฟิ่งชังผ่อนคลายลงช้าๆ รอยยิ้มกลับมาสู่ใบหน้านั้นอีกครั้ง เขาหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ หมากดำตัวนี้เดินได้เยี่ยมยอด ดูแล้วอย่างไรผู้เดินหมากดำก็ยังล้ำเลิศกว่าผู้เดินหมากขาวขั้นหนึ่ง! มือเดินหมากระดับเก้าก็คือระดับเก้า จะไปเปรียบเทียบกับมือเดินหมากสมัครเล่นได้อย่างไร!”
เซวียนหยวนเช่อกลับส่ายหน้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “นั่นเป็เื่ยังไม่แน่นอน! ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ยากจะบอกได้ว่าใครแพ้ใครชนะ!”
บนกระดานหมากขนาดใหญ่ หมากขาวเข้าสู่การใคร่ครวญอันยาวนานอีกครั้ง คนในห้องโถงเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง
“เหตุใดจึงไม่เคลื่อนไหว”
“ตอนนี้สถานการณ์เป็อย่างไรกันแน่ ข้ารู้สึกว่าสมองของข้าตามไม่ทัน!”
“ข้าเองก็มองไม่ออก! แต่ขอจดบันทึกไว้ก่อน กลับไปค่อยๆ วิเคราะห์!”
ไม่โทษพวกเขาที่มองไม่ออก เพราะความเป็จริงนั้นฝีมือการเดินหมากของนักเดินหมากทั้งสองท่านเก่งกาจเกินไป เพราะการเดินหมากก้าวเดียวของพวกเขาเป็การคำนวณไปถึงชัยชนะของสิบก้าวข้างหน้าหรืออาจจะหลายสิบก้าวข้างหน้าก็เป็ได้ หากไม่ใช่คนที่มีความสังเกตที่ละเอียดละออและมีความสามารถในการคำนวณวางแผนที่ยอดเยี่ยม ผู้ที่เข้ามาชมการเดินหมากกระทั่งมองก็มองไม่ออก!
ภายในห้องพิเศษ เสวียน คนทั้งหมดพรูลมหายใจโล่งอกออกมาพร้อมเพรียงกัน
“นับได้ว่าสกัดฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ได้แล้ว!”
“ค่ายกลพระจันทร์ข้างแรมมีความพลิกแพลงได้มากกว่าค่ายกลพระจันทร์ข้างขึ้น อีกทั้งมีการป้องกันที่แข็งแกร่งกว่า แทบจะไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้ นางไม่มีทางทำลายได้หรอก!”
“หากนางสามารถทำลายค่ายกลพระจันทร์ข้างแรมลงได้ ข้าที่เป็นักเดินหมากระดับเก้าจะเป็ฝ่ายลดขั้นของตนเอง ต่อไปจะไม่เรียกตนเองว่านักเดินหมากระดับเก้าอีก!”
“ฮ่าๆ นับรวมข้าด้วยหนึ่งคน!”
“ข้าก็เดิมพันด้วย!”
หานไท่ฟู่อารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขาหัวเราะเสียงดังลั่น “มืออาชีพก็คือมืออาชีพ จะไปเปรียบเทียบกับพวกมือสมัครเล่นได้อย่างไร ฟางเสีย ทำได้ดีมาก! รอให้ชนะหมากกระดานนี้ ข้าจะจดจำผลงานครั้งนี้ของเ้าเอาไว้!”
หานหลินเยว่นำน้ำชาถ้วยใหม่มาเปลี่ยนให้ฟางเสีย นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเลื่อมใส “ศิษย์พี่ฟาง ค่ายกลใหม่ของท่านล้วนแต่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ช่างทำให้คนเห็นแล้วชื่นชม ต้องหาโอกาสสอนข้าให้ได้นะเ้าคะ!”
ฟางเสียรับถ้วยน้ำชามา เขาตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่มีปัญหา”
เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาที่โล่งอกโล่งใจอย่างมีความสุข องค์ไท่จื่อน้อยและลั่วเฟิงลอบขมวดคิ้วแน่น
หานไท่ฟู่กวาดตามองมายังเด็กน้อยสองคนแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “พวกเ้าอย่าได้ทุกข์ใจไปเลย! เื่ในวันนี้จะได้สอนพวกเ้าให้ตระหนักถึงเหตุผลข้อหนึ่ง ขิงแก่อย่างไรก็เผ็ด! ฮ่าๆๆ...”
องค์ไท่จื่อน้อยเม้มปากแน่น เขาลอบกำหมัดแน่น
หมากขาวเคลื่อนไหวอีกครั้งในเวลานี้เอง ฟางเสียและคนอื่นๆ หุบยิ้มพร้อมกับคอยืดคอยาวมองไปบนกระดานหมาก แต่ละคนราวกับถูกสกัดจุดอย่างไรอย่างนั้น แข็งค้างอยู่ที่นั่น
แนวตั้ง 7 แนวนอน 9!
หานไท่ฟู่รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไป จึงหันมองมา ความห่างชั้นกันระหว่างนักเดินหมากระดับเจ็ดและระดับเก้ายังคงมีอยู่ เขาไม่กระจ่างแจ้งในทันทีจึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างร้อนรน “อย่างไรเล่า หมากก้าวนี้มีปัญหาอะไรหรือไม่”
ฟางเสียหัวเราะเสียงขื่น “มีปัญหา มีปัญหาแน่นอน!”
หานไท่ฟู่ “ปัญหาอะไร”
ไม่รอให้ฟางเสียตอบ จ้าวฉีส่งเสียงหัวเราะอเนจอนาถออกมา เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจังว่า “แตกแล้ว! ค่ายกลพระจันทร์ข้างแรมถูกทำลายแล้วเช่นกัน!”
หานไท่ฟู่ตื่นตะลึง!
ริมสระบุปผามีเสียงหัวเราะดังขึ้น ซือคงเซิ่งเจี๋ยสะบัดแขนเสื้อออก เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีอย่างที่หาได้ยากนัก “คนที่เดินหมากขาวผู้นี้ ช่างเหมาะกับความ้าของข้า!
ซือคงจวินเย่ไม่เคยเห็นน้องชายดีใจเช่นนี้มานานมากแล้ว เขาจึงหัวเราะตามไปด้วย “หากเ้าชอบ พี่จะพานางกลับแคว้นหนานเยียน ให้นางเดินหมากเป็เพื่อนเ้าทุกวัน!”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยกลับเบะปากส่ายหน้า “พานางกลับไปทำอันใดกัน ท่านพี่ ท่านมิใช่ไม่รู้ว่าข้ารำคาญสตรีที่สุด!”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ซือคงจวินเย่กลับรู้สึกยินดีขึ้นมาหลายส่วน เขาลูบผมของน้องชาย “ได้ เ้าไม่ชอบก็ไม่พากลับมา!”
ซือคงเซิ่งเจี๋ยส่ายหน้าอีก “แต่หากนางสามารถทำให้ฟางเสียพ่ายแพ้ได้จริงๆ ข้ากลับอยากจะประลองการเดินหมากกับนางสักกระดาน!”
ในวังหลวง ใบหน้าของเฟิ่งชังเพิ่งจะผ่อนคลายความตึงเครียดก็ต้องทำหน้าเคร่งขึ้นมาอีกครั้ง “เป็ได้อย่างไร”
เซวียนหยวนเช่อหัวเราะเบาๆ ดวงตารูปหงส์นั้นกลับทอประกายราวกับมีดวงดาราอยู่ในนั้น “ท่านมหาเสนาบดี ตอนนี้ท่านยังคิดอีกหรือไม่ว่าหมากขาวเป็เื่บังเอิญ”
“นี่...” เฟิ่งชังหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ในห้องพิเศษ หวง เฟิ่งเฉี่ยนยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง นางพูดยิ้มๆ “ข้าอยากจะดูนักว่า เ้าจะใช้ค่ายกลใหม่ๆ อะไรอีก!”
มู่ชิงเซียวมองสีหน้าท่าทางสบายใจเฉิบของนางแล้วอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ได้ยินว่า ฟางเสียผู้นี้เก็บตัวอยู่ในชุนซานจวีเป็เวลาถึงสามปีเพื่อคิดค้นค่ายกลใหม่ๆ ออกมา ดูท่าแล้วแทบจะงัดทุกกระบวนท่าที่มีอยู่ออกมาใช้จนหมดแล้ว”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ถือเป็ค่ายกลที่มีความแปลกใหม่จริงๆ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ค่อยสมบูรณ์!”
และเป็เพราะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงหาช่องโหว่พบ หาไม่แล้วนางก็คงต้องหมดหนทางเช่นกัน
แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้มิใช่เื่ง่ายดายเช่นกัน นางต้องเค้นสมองของนางไม่น้อย
ในห้องพิเศษ เสวียน ฟางเสียกำหมากดำในมือไว้แน่น หน้าผากเริ่มปรากฏให้เห็นเหงื่อเย็นชั้นบางๆ แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่ม
เดิมทีเขามาด้วยความคิดที่ว่าจะออกมาผ่อนคลายจิตใจเสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจเช่นนี้ ค่ายกลชนิดใหม่สองชนิดยังไม่อาจหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้ นั่นถือเป็เื่ที่ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว!
นักเดินหมากระดับเก้าที่เหลืออีกห้าคนรู้สึกกดดันเป็เท่าทวีคูณเช่นกัน!
ค่ายกลชนิดใหม่สองชนิดที่ทำให้พวกเขาไม่อาจเดินหมากต่อไปได้ ถึงกับถูกผู้อื่นทำลายลงอย่างง่ายดาย อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็เพียงแค่นักเดินหมากมือสมัครเล่น นี่มันะเืใจเกินไปแล้ว!
พวกเขาเพิ่งจะพูดปาวๆ ว่าหากนางสามารถทำลายค่ายกลพระจันทร์ข้างแรมลงได้ พวกเขาจะลดขั้นของตนเอง ต่อไปจะไม่เรียกตนเองว่านักเดินหมากระดับเก้าอีก...คิดไม่ถึงว่าคำพูดนั้นจะเป็ลางร้ายที่กลายเป็ความจริง!
สีหน้าของหานไท่ฟู่ย่ำแย่ถึงขีดสุด!