หลิวหย่งเดินทางมาพร้อมกับเงินสด
ในหนังฮ่องกงมักจะมีฉากนี้ มือหนึ่งถือกระเป๋าเดินทาง พอเปิดกระเป๋าออกมา ในนั้นก็จะเต็มไปด้วยเงิน!
โดยเฉพาะ่ต้นของยุค 80 ที่ค่าเงินหยวนมีมูลค่าน้อย สิบหยวนนั้นนับว่าเป็มูลค่าที่มากที่สุด เงินหกหมื่นหยวนก็เทียบเท่ากับเงินหกแสนหยวนในยุคปัจจุบัน ดังนั้นในกระเป๋าของหลิวหย่งจึงเต็มไปด้วยธนบัตร
เอาเป็ว่าเมื่อเงินทั้งกระเป๋ามากองอยู่ตรงหน้า ย่อมมีพลังทำลายล้างมากกว่าใบโอนเงินยิ่งนัก
หลิวหย่งหยิบธนบัตรออกจากกระเป๋าหนังมาสองปึก ที่เหลือบอกให้สวีจิ้งนับเอาเอง ความจริงในกระเป๋าของหลิวหย่งนั้นมีเงินหกหมื่นหยวนพอดี แต่เขาขอวางมาดเพื่อความเท่สักหน่อยจะเป็ไรไป สวีจิ้งมือสั่นเล็กน้อย มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษถูกเขานำไปขายทิ้งเสียแล้ว หากไม่ประสบความสำเร็จที่เมืองนอก เขาคงรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษทั้งตระกูลแน่!
สวีจิ้งชะงักไปแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น อย่างไรเงินมัดจำก็รับมาแล้ว หากไม่ทำตามสัญญา เขาจะมีปัญญาจ่ายเงินชดใช้เสียที่ไหน
ความคิดของเขาเปลี่ยนเป็หนักแน่นอีกครั้ง สวีจิ้งเชื่อว่าตนจะต้องประสบความสำเร็จที่เมืองนอกอย่างแน่นอน —— คนที่มีความคิดเช่นนี้ในยุค 80 นั้นมีมากมาย การไปต่างประเทศคือความใฝ่ฝันสูงสุด แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับคิดว่านอกเสียจากทำงานด้านวิจัยศาสตร์ความรู้ด้านใหม่ การออกนอกประเทศ่ยุค 80 ก็ไม่แน่ว่าจะไปได้สวยกว่าการอยู่ในประเทศจีน
แต่ถึงแม้เธอจะรู้ดีก็ไม่อาจพูดออกไปได้ เพราะพูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ดีไม่ดีอาจจะโดนกล่าวหาว่าเป็พวกโลกแคบอีกด้วย!
หลังนับเงินเสร็จสิ้น สัญญาซื้อขายบ้านก็ถูกเซ็นเรียบร้อยแล้ว หลิวหย่งจึงจับมือกับสวีจิ้งทันที
“อาจารย์สวี ผมให้คนไปส่งคุณดีไหมครับ”
ถือกระเป๋าเงินโต้งๆ แบบนี้ หลิวหย่งกลัวจะไม่ปลอดภัยสักเท่าไร
สวีจิ้งส่ายหน้า “ผมจะเอาเงินฝากไว้กับทางธนาคารสาขาของผู้จัดการใหญ่อู่ครับ”
เงินพวกนี้เขาจะค่อยๆ แลกเป็เงินดอลลาร์ ตอนนี้ในเมื่อได้มาครองแล้ว สวีจิ้งจึงไม่รู้สึกร้อนใจอีกต่อไป หลิวหย่งเสนอให้ทุกคนไปทานข้าวด้วยกัน แต่สวีจิ้งไม่อยู่ในอารมณ์นั้น สุดท้ายอาหารมื้อนี้ของหลิวหย่งจึงต้องทานร่วมกับผู้จัดการใหญ่อู่
อาหารมื้อนี้มีเพื่อขอบคุณผู้จัดการใหญ่อู่ ทว่าผู้จัดการใหญ่อู่กลับเริ่มการเสนอขายพันธบัตรรัฐบาลของตนอีกครั้ง
หลิวหย่งทำหน้ารู้สึกผิด “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากสนับสนุนงานของคุณนะ แต่ตอนนี้เงินทุนของผมเอาไปลงกับงานก่อสร้างหมดแล้วครับ ผมอยากช่วยแต่ทำไม่ได้จริงๆ วันนี้ผมก็ต้องจ่ายค่าบ้าน ตอนนี้ยังคิดจะขอยืมเงินจากหลานสาวอยู่เลย”
ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่สนเื่พวกนี้แต่อย่างใด
เวลาขอให้ใครซื้อพันธบัตรรัฐบาล อีกฝ่ายมักทำหน้าเศร้าบอกไม่มีเงินกันหมด เขาชินเสียแล้ว
“ไม่มีเงินทุน? เถ้าแก่หลิวทำธุรกิจอะไรหรือครับ”
“ผมค้าขายวัสดุก่อสร้างที่เผิงเฉิง และรับงานตกแต่งภายในเล็กๆ อยู่บ้าง...”
“มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายใช่ไหมครับ”
ใบอนุญาตต้องมีอยู่แล้ว แม้บริษัท ‘หย่วนฮุย’ จะมีขนาดเล็ก แต่ก็เป็บริษัทที่ถูกกฎหมาย
ผู้จัดการใหญ่อู่ยิ้มแป้น “ถ้าอย่างนั้นคงกลัวเงินทุนหมุนเวียนไม่ทันสินะครับ ถ้าเถ้าแก่หลิว้า ทางสาขาเรายินดีทำสินเชื่อกู้ยืมให้ได้นะครับ... โปรดวางใจเถอะครับ ดอกเบี้ยไม่สูงเกินไปอย่างแน่นอน”
หลิวหย่งกำลังคีบเนื้อแพะ ดีที่มันไม่ร่วงตกลงไปในหม้ออีกครั้ง
เขาใช้สายตาถามหลานสาว ผู้จัดการใหญ่อู่คนนี้เป็ใครมาจากไหน เขาเพิ่งเคยเห็นธนาคารเป็ฝ่ายเสนอให้กู้ยืมเงินเป็ครั้งแรก เื่นี้มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าตอนถือสัญญาโครงการก่อสร้างไปขอสินเชื่อเสียอีก อย่างน้อยนั่นก็เป็ธนาคารที่เผิงเฉิง
ตอนนี้เขาทำธุรกิจอยู่เผิงเฉิง แต่ธนาคารที่ปักกิ่งอยากปล่อยเงินกู้ให้เขา?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จะตอบอย่างไร เพื่อ ‘พันธบัตรรัฐบาล’ ผู้จัดการใหญ่อู่เหมือนโดนผีเข้าไปเสียแล้ว!
ผู้จัดการอู่มองสีหน้าของทั้งคู่ก็เข้าใจความคิดของพวกเขา ผู้จัดการอู่ยังจะทำอย่างไรได้อีก หากปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ นั่นจะส่งผลกระทบกับเงินโบนัสของสาขา อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการประเมินพนักงานว่าจะได้เป็พนักงานดีเด่นกับพนักงานยอดเยี่ยมหรือไม่ จะได้ขึ้นเงินเดือนหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับรางวัล ‘ดีเด่น’ กับ ‘ยอดเยี่ยม’ มิใช่หรือ เนื่องจากปีที่แล้วทางสาขาของเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการขายพันธบัตรรัฐบาล พอปลายปีสาขาของผู้จัดการใหญ่อู่จึงถูกตำหนิ โดนหักเงินโบนัสแทบไม่เหลือ และไม่มีพนักงานคนไหนได้รับรางวัลดีเด่นเลยสักคนเดียว... ผู้จัดการใหญ่อู่แค่ถูกหักเงินโบนัสยังไม่เท่าไร แต่สาขาอื่นได้รับคำชม ขณะที่ตัวเขากลับถูกตำหนิ เขาเองก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ!
หลิวหย่งไม่ได้ตอบว่าจะขอกู้ยืมหรือไม่ สื่อสารกันทางสายตามันไม่ชัดเจนนัก เขาจำเป็ต้องปรึกษากับเซี่ยเสี่ยวหลานก่อน
ในไม่ช้า หลิวหย่งก็ไปรับมอบบ้าน
นี่คือบ้านหลังแรกในตัวเมืองของตระกูลหลิว หลิวหย่งรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างยิ่ง
แต่ผู้เช่ากลับไม่มีใครยอมย้ายออกเลยสักคน
“นี่มันจะเกินไปแล้ว!”
ผู้จัดการใหญ่อู่ก็รู้สึกว่าเกินไป เขากลัวหลิวหย่งจะสั่งลูกน้องให้ลงไม้ลงมือเหลือเกิน
ที่นี่คือกรุงปักกิ่ง หากหลิวหย่งที่เป็เถ้าแก่จากทางใต้กระทำการรุนแรงเกินไปคงไม่งามเท่าไรนัก ผู้จัดการใหญ่อู่เตือนหลิวหย่งด้วยความหวังดี หลิวหย่งเองก็ยินดีรับฟังคำแนะนำ “แล้วคุณว่าควรทำอย่างไร”
ผู้จัดการอู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไปที่สำนักงานท้องถิ่น”
สวีจิ้งก็เคยไปที่สำนักงานท้องถิ่น แต่ทำไมถึงแก้ปัญหาไม่ได้น่ะหรือ? ก็เพราะวิธีการร้องเรียนของอาจารย์สวีมันไม่ถูกต้องน่ะสิ!
วิธีของผู้เชี่ยวชาญอย่างผู้จัดการใหญ่อู่จะเป็เช่นไร เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวหย่งต่างก็อยากรู้ ว่าแล้วทั้งคู่ก็ตามเขาไปเผื่อจะได้ความรู้ใหม่
—-------------------------------------------
่นี้ตระกูลหวังมีแต่เื่อึกทึกครึกโครม
บ้านเพิ่งถูกคนบุกมาพังข้าวของเสียหาย เครื่องใช้ต่างๆ ยังไม่ทันได้จัดวางใหม่ก็จัดโต๊ะจีนเลี้ยงฉลองงานหมั้น
“ตระกูลหัวหน้าหวังช่างไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ แค่งานหมั้นยังต้องจัดโต๊ะจีน!”
“นั่นน่ะสิ ได้ยินว่าคนที่ได้กลับมาปักกิ่งอีกครั้ง จะได้รับเงินเดือนย้อนหลังหลายปีในคราวเดียว เงินทองคงไม่ขาดมือสินะ...”
หากหวังก่วงผิงได้ยินคำนินทาเหล่านี้เขาคงอกแตกตาย
โต๊ะจีนฉลองงานหมั้นอะไรกัน ตอนนี้ตระกูลหวังไม่เหมาะจัดงานพวกนี้เลยสักนิด! แต่ถ้าไม่จัดโต๊ะจีนแล้วจะให้พูดปากเปล่าว่าจะหมั้นหมายอย่างนั้นหรือ? เซี่ยจื่ออวี้ไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ น่ะสิ หวังก่วงผิงยังต้องเชิญเพื่อนสนิทมิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนบ้านมาร่วมงานอีก แขกของเขารวมๆ แล้วกินที่นั่งของภัตตาคารกั๋วอิ๋งเจ็ดถึงแปดโต๊ะเลยทีเดียว นั่นก็เพื่อเป็การฉลองการหมั้นหมายของเซี่ยจื่ออวี้กับหวังเจี้ยนหัว
มีคนถามหวังก่วงผิงว่าเหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้ หวังก่วงผิงได้แต่ตอบว่าเด็กๆ เขารักกันมาก ตกลงกันว่าเรียนจบแล้วจะแต่งงานทันที ตอนนี้ควรมอบสถานะที่ถูกต้องให้กับเซี่ยจื่ออวี้ เธอจะได้เข้านอกออกในบ้านได้อย่างเหมาะสม
“เหล่าหวังคิดรอบคอบดีจริงๆ!”
เซี่ยจื่ออวี้เองก็เปิดเผยมาก
ขอเพียงไม่แตะเื่ฐานะทางครอบครัว คุณสมบัติภายนอกของเธอก็เหมาะสมกับหวังเจี้ยนหัวทีเดียว
ทั้งคู่เป็นักศึกษาวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งเหมือนกัน มีทั้งมิตรภาพของเพื่อนร่วมสถาบัน และความรู้สึกที่ให้กันดั่งคู่รัก พูดอย่างไรก็เป็เื่ที่งดงาม อย่างน้อยๆ แเื่ที่มาร่วมงานก็เอ่ยปากชมเปราะ พูดแต่คำระรื่นหู
แม้ลับหลังจะเต็มไปด้วยคำนินทา เนื่องจากใบหน้าของหวังเจี้ยนหัวยังมีาแ และรอยเย็บบนใบหน้าเซี่ยจื่ออวี้ก็ปรากฎให้เห็นชัดเต็มตา ทว่าไม่มีใครรู้ว่าตระกูลหวังกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เซี่ยจื่ออวี้ไม่สนใจเื่พวกนี้ เธอรู้แค่ว่าเื่ของตนกับหวังเจี้ยนหัวถือว่านิ่งแล้ว!
แล้วแผลที่หน้ายังจะสำคัญอะไรอีก?
ตอนนี้หัวเราะเยาะเธอ คอยดูเถอะว่าอนาคตใครกันแน่ที่จะหัวเราะเป็คนสุดท้าย!
จางชุ่ยเองก็รู้สึกดีใจ ตอนอยู่ที่หมู่บ้านต้าเหอ ใครจะไปคิดว่าหวังเจี้ยนหัวจะเป็ลูกหลานข้าราชการตกยาก
มีแต่ลูกสาวเธอที่สายตาเฉียบคม ยอมคบหากับหวังเจี้ยนหัว หวังเจี้ยนหัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งพ่อของเขาก็ยังได้กลายเป็ข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ ครอบครัวสามีของลูกสาวมีคุณสมบัติเช่นนี้จะปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานฮุบไปได้หรือ เป็ใครก็ต้องจับไว้ให้มั่นอย่างแน่นอน!
ส่วนที่ว่าลูกสาวเธอต้องสูญเสียอะไรไปบ้างกว่าจะได้แต่งเข้าตระกูลหวังนั้น จางชุ่ยไม่สนใจ
เกิดเป็หญิงใครบ้างจะไม่ถูกครอบครัวสามีกลั่นแกล้ง?
แต่งงานเข้าตระกูลที่อยู่เหนือกว่ามากเท่าไร ก็ต้องก้มหัวให้มากเท่านั้น อีกหน่อยหากมีลูกแล้วสถานะก็จะค่อยๆ สูงขึ้นเองนั่นแหละ
มีเพียงเซี่ยฉางเจิงที่รู้สึกไม่พอใจมาก เขาบ่นพึมพำกับภรรยาลับหลัง “เป็ถึงครอบครัวข้าราชการ แต่ไม่มีสินสอดอะไรให้สักอย่าง”
กว่าจะเลี้ยงลูกสาวจนเข้ามหาวิทยาลัยได้นั้นไม่ง่ายเลยทีเดียว เสียเปรียบคนอื่นชัดๆ ที่ชนบทจัดงานแต่งยังต้องให้ ‘สี่ฟุ่มเฟือย’ แต่การหมั้นหมายของเซี่ยจื่ออวี้กลับไม่ได้เงินสักแดงเดียว
จางชุ่ยนับวันยิ่งเอือมระอากับเซี่ยฉางเจิง “รอจื่ออวี้ยืนหยัดในตระกูลหวังได้แล้วยังจะขาดอะไรอีก พ่อสามีทำงานที่กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยังเป็ถึงระดับหัวหน้า อีกหน่อยจวิ้นเป่าก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัย อยากเข้าที่ไหนในปักกิ่งคงเลือกได้ตามใจชอบนั่นแล!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้