บทที่ 46 สู้สุดตัว
หลิวเสวี่ยโกรธจัด แต่นางก็รู้ดีว่าความโกรธแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้พวกเขาก็แยกทางกับพวกฉินชูมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว
“ศิษย์พี่ นี่เป็แผนที่ที่ข้าหามาได้จากหอคัมภีร์ เป็แผนที่ที่ค่อนข้างละเอียด พวกเราเดินไปตามแผนที่คงไม่มีอะไรน่าเป็ห่วง หากพวกเราปลอดภัย ก็ค่อยออกตามหาสมบัติกัน” ซาหานยื่นแผนที่ฉบับหนึ่งให้หลิวเสวี่ย
หลังจากอ่านแผนที่ดูสักพัก หลิวเสวี่ยก็พบว่าแผนที่ที่ซาหานหามาได้มีข้อความกำกับค่อนข้างละเอียดใช้ได้ จากนั้นนางก็คืนให้ซาหานไป
“เช่นนั้นข้านำทางแล้วกัน” ซาหานพูดจบ ก็เดินนำหน้าไป
ในขณะเดียวกัน พวกฉินชูก็ยังคงเดินหน้าพลางต่อสู้ไปเรื่อยๆ สัตว์อสูรที่พวกเขาเจอมีตบะไม่สูงเท่าไร จึงไม่จัดว่าเป็ภัยคุกคามแก่พวกเขา ทำให้เอาชนะได้อย่างสบายมาตลอดทาง
เมื่อยามราตรีมาเยือน พวกฉินชูก็หยุดพัก หยิบห่อกับข้าวออกมาแก้หิว ก่อนจัดเวรสลับกันเฝ้ายาม
ข้าวกินอิ่ม จัดเวรเฝ้ายามเสร็จสิ้น ฉินชูก็ดื่มโอสถหลิงหยวนและเริ่มเข้าฌาน มิติลี้ลับอย่างโบราณสถานชิงหวางจะปรากฏขึ้นมาเป็เวลาสองเดือน หลังจากนั้นมันจะจมลงสู่ใต้ดินอีกครั้ง แล้วจะปรากฏขึ้นมาอีกตอนไหนก็ไม่มีใครทราบได้ ดังนั้นในเวลาสองเดือนนี้ถือเป็โอกาสอันดีที่จะแสวงหาของขวัญแห่งวาสนาที่หายาก แต่ฉินชูก็ไม่อยากเสียเวลาฝึกตน หากเป็ไปได้ เขาก็อยากบรรลุขั้นที่สามใน่เวลานี้
เช้าวันรุ่งขึ้นมาเยือน ฉินชูดูแผนที่สักพัก จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ
“โบราณสถานชิงหวางใหญ่แค่ไหนกัน” ไป๋อวี้ถามขึ้น
“ใหญ่มาก ท่านาุโชิงหวางในสมัยนั้นได้พิชิตพื้นที่แห่งนี้โดยไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้ เขามีคุณสมบัติก่อตั้งสำนักเป็ของตัวเอง แต่กลับไม่ทำ เขาเอาแต่จมปลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เพราะยังคงยึดติดกับสำนักชิงหยุนอยู่ เขาเสียแรงสร้างที่นี่ขึ้นมาเป็เวลานาน ทำให้ที่นี่มีขนาดไม่เล็กไปกว่าสำนักชิงหยุนเลย ดังนั้นพวกเราค่อยๆ สำรวจก็แล้วกัน” ฉินชูบอกรายละเอียดที่ตัวเองรู้ให้ทุกคนฟัง
ในระหว่างนั้น ฉินชูสังเกตเห็นซากกระดูกสัตว์อสูรและมนุษย์เป็ระยะ เขารู้ดีว่าคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้มีแต่ลูกศิษย์จากสำนักชิงหยุน ดังนั้นเขาจึงจัดเก็บซากกระดูกให้อยู่ในที่ที่ถูกที่ควรตามกำลังที่พอจะทำไหว ส่วนสมบัติที่หลงเหลืออยู่ แน่นอนว่าพวกฉินชูล้วนเก็บเรียบ
ฉินชูไม่เร่งรีบ เขาค่อยๆ เดินหน้าไปอย่างช้าๆ และมั่นคง เขาไม่คิดว่าของขวัญแห่งวาสนาจะถูกแย่งไปหมด เพราะถ้ามันถูกง่ายขนาดนั้น เหล่าลูกศิษย์สำนักชิงหยุนที่เข้ามาก่อนหน้านี้คงเอามันไปตั้งนานแล้ว
พวกเจิ้งชิวไม่รีบเช่นกัน พวกเขาเชื่อใจฉินชูเป็ยิ่งนัก เพราะทุกครั้งที่สัตว์อสูรโผล่ออกมา ส่วนใหญ่ฉินชูล้วนเป็คนจัดการ
“ดูจากความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกเรา คิดว่าน่าจะไปถึงเขตพื้นที่หอร้อยชัยภายในสองวัน” หลังจากฆ่าสัตว์อสูรที่โผล่ออกมาเสร็จอีกครั้ง ฉินชูก็กางแผนดู
“ศิษย์น้องฉิน โครงสร้างของโบราณสถานชิงหวางช่างแปลกประหลาด จะเหมือนพระราชวังก็ไม่เหมือน เหมือนสุสานใต้ดินก็ไม่เชิงเพราะมีแสงสว่างทุกที่” หานอวี้พูดขึ้น
“แปลกอย่างที่ศิษย์พี่บอกจริงๆ นั่นแหละ ดังนั้นต้องระวังตัวให้ดี” ฉินชูเก็บแผนที่ลง ก่อนนำทางต่อ
เดินต่อมาอีกสักระยะ ฉินชูก็ยกมือสั่งหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน เขาสังเกตเห็นซากกระดูกของผู้ฝึกตนสามร่าง กระดูกเชิงกรานและกะโหลกปรากฏรอยเล็บฝังลึก
ทันใดนั้น บังเกิดเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้น อสูรพยัคฆ์ปีกคู่สีดำทั่วทั้งร่างพลันปรากฏตัว มันจ้องพวกฉินชูด้วยแววตาดุร้าย
“ถอย” ไม่รอให้เจิ้งชิวระบุระดับตบะ ฉินชูก็ะโออกคำสั่งทันที
พวกฉินชูรีบถอยหลังเข้าไปในจวนหลังไม่ใหญ่มากด้านหลัง แต่ฉินชูกลับจ้องมองอสูรพยัคฆ์อยู่ที่หน้าประตู
“ลูกพี่ คลื่นพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากเ้านี่ทรงพลังมาก” ไป๋อวี้พูดกับฉินชู
“รอยเล็บที่ฝังลึกลงบนซากกระดูกก่อนหน้านี้เป็ฝีมือของมันแน่นอน ในอดีตมันสามารถฆ่าเหล่าลูกศิษย์ของสำนักได้แล้ว หมายความว่ามันแข็งแกร่งั้แ่ตอนนั้น แล้วเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ พลังของมันจะเพิ่มขึ้นถึงขนาดไหน อันตรายมาก” ฉินชูจ้องพยัคฆ์อสูรพร้อมตั้งท่าเตรียมต่อสู้ทุกเมื่อ
พยัคฆ์อสูรเดินวนไปมาด้านนอกจวนสองสามรอบ ทันใดนั้นก็พุ่งกระโจนเข้าใส่พร้ะปบกรงเล็บพลังผ่านทางอากาศใส่ฉินชู
เคร้ง
เสียงของแข็งกระทบดังกังวาน ครั้งนี้ฉินชูไม่ยั้งมือ หลังจากชักกระบี่ออกมาก็กำหนดจิตรวมเป็หนึ่งเดียวกับกระบี่ ครั้นเข้าถึงวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิง ก็ปลดปล่อยกระบวนท่าบรรพกายสิทธิ์ในทันที นี่เป็ท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาในตอนนี้ และนี่เป็ครั้งแรกที่เขางัดออกมาใช้ ทันทีที่ปลดปล่อยกระบวนท่านี้ออกไป ฉินชูไม่รอช้า รีบควงหมัดซ้ายอัดตามเข้าไปติดๆ
สวบ
กระบี่ยาวคลาดผ่านกรงเล็บจากอุ้งเท้าซ้ายของอสูรพยัคฆ์และเสียบแทงเข้าที่กระดูกไหปลาร้าของมัน เดิมทีฉินชู้าจะแทงไปที่คอ แต่มันเคลื่อนไหวเร็วมาก ทำให้เขาโจมตีพลาด
หลังจากถูกฉินชูโจมตีใส่ อุ้งเท้าพร้อมกรงเล็บแหลมคมก็หมายตะปบใส่ฉินชูอีกครั้ง
ฉินชูเอี้ยวตัวหลบกรงเล็บไปทางด้านซ้าย ในเวลาเดียวกันก็เค้นพลังไปที่หมัดซ้ายและซัดเข้ากับกรงเล็บด้านขวาของมันอย่างจัง
ตูม
ฉินชูถูกพลังอัดกระแทกจนกระเด็นลอยออกไป แต่ในเวลาเดียวกัน ไป๋อวี้และพวกเจิ้งชิวก็ตามเข้ามาสมทบ พวกเขาพลันะโเข้ารุมโจมตีอสูรพยัคฆ์อย่างไม่รีรอ
อสูรพยัคฆ์ตะปบกรงเล็บอัดพลังอย่างคลุ้มคลั่ง ทำเอาพวกเจิ้งชิวกระเด็นถอยหลังไปตามๆ กัน ทว่ากระบี่ของไป๋อวี้กลับพุ่งเข้าเสียบแทงที่าแตรงกระดูกไหปลาร้าของมันอีกครั้ง
เขาโคจรพลังตามคัมภีร์ไร้นาม สยบเืลมเดือดพล่านในร่างกายให้สงบนิ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าจู่โจมอสูรพยัคฆ์อีกครั้ง ต้องรีบจัดการมันให้เร็วที่สุด ขืนปล่อยไว้นานมันจะยิ่งคลุ้มคลั่งเกินควบคุม
ฉินชูโจมตีด้านหน้า พวกไป๋อวี้โจมตีด้านข้าง ทั้งห้าคนตะลุมบอนต่อสู้กับอสูรพยัคฆ์ แต่กระนั้นก็ยังตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ
“ศิษย์น้องฉิน ข้ามองตบะของเ้านี่ไม่ออก” เจิ้งชิวะโขึ้น
“ไม่ใช่ขั้นสี่ตอนปลาย ก็เป็ขั้นสี่ระดับสมบูรณ์ หากมันบรรลุขั้นห้าตอนต่อสู้กับพวกเรา มีหวังจบเห่แน่” ฉินชูพูดขึ้นจากการวิเคราะห์ของตัวเอง
การต่อสู้ดำเนินต่อไปสักพัก แม้กระบวนท่าของฉินชูจะรุนแรง แต่เมื่อไม่มีพลังปราณห่อหุ้ม ก็ทำอะไรอสูรพยัคฆ์ไม่ได้อยู่ดี และเมื่อเทียบพลังทางกายภาพกับมัน เห็นได้ชัดว่าฉินชูอ่อนกว่า
“สู้กับมันให้ถึงที่สุด” ไป๋อวี้ะโคำราม
ทันใดนั้น พลังอัดจากกรงเล็บของอสูรพยัคฆ์พุ่งเฉียดผ่านไป๋อวี้ เฉือนหน้าอกจนเป็แผลชุ่มเื
เมื่อเห็นไป๋อวี้ได้รับาเ็ ฉินชูก็โมโหขึ้นมา เขาพุ่งเข้าใส่อสูรพยัคฆ์ซ้ำๆ กรงเล็บของมันปัดป้องวิถีกระบี่ของเขา ทว่าร่างของฉินชูยังไม่กระเด็นออกไป มือซ้ายยกขึ้นจับอุ้งเท้าซ้ายของมัน มือขวาทิ้งกระบี่และยกขึ้นจับอุ้งเท้าขวาของมันอีกข้าง ทั้งสองฝ่ายต่างต้านพลังกันไปมา
แต่เมื่ออสูรพยัคฆ์โน้มตัวมาด้านหน้าเพื่อสร้างแรงกดทับ ฉินชูก็เริ่มขาสั่นจนเข่าทรุด
“อ้าก!” ฉินชูะโคำรามออกมาอย่างไม่ยอมวางมือ
อสูรพยัคฆ์ตัวนี้ทรงพลังยิ่งนัก มันกดฉินชูจนเข่าทรุดลงไปที่พื้น
เมื่อเห็นฉินชูต้านทานไม่ไหว มันก็ง้างอุ้งเท้าเตรียมตะปบอีกครั้ง จังหวะนั้น พวกไป๋อวี้เล็งเห็นโอกาส กระบี่ยาวของเขาพลันพุ่งเสียบเข้าไปที่หัวใจของอสูรพยัคฆ์ หานอวี้กับชิงจ้านกระชากขาหลังทั้งสองข้างของมันเพื่อให้เสียหลัก
ฉินชูคำรามขึ้นอีกครั้ง มือทั้งสองข้างยกขึ้นจับอุ้งเท้าหน้าของมัน ก่อนออกแรงผลักเพื่อหวังให้มันล้มหงายหลัง
หานอวี้กับชิวจ้านคำรามลั่น เค้นแรงกระชากขาหลังของอสูรพยัคฆ์อย่างสุดแรง
ไป๋อวี้ที่เสียบไปที่หัวใจของมันได้ก่อนหน้านี้กังวลว่าฉินชูจะตกอยู่ในอันตราย จึงชักกระบี่ออกมาและกระซวกแทงที่หัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างคลุ้มคลั่ง
กระบี่ของเจิ้งชิวพลันพุ่งแทงเข้าที่ปากของอสูรพยัคฆ์อีกแรง
อสูรพยัคฆ์ออกแรงสะบัดขาหลังทั้งสองข้าง ถีบหานอวี้กับชิวจ้านจนกระเด็น แต่ตัวมันเองก็เริ่มอ่อนแรงลงทุกที
ขณะที่ฉินชูกำลังจะล่าถอย สายตาของเขาพลันเหลือบเห็นเงาร่างคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
ผู้ที่มาเยือนสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์ คาดกระบี่ไว้ที่เอว ใบหน้าสะท้อนแววสง่างามเยือกเย็น
ซั่งซูอวี๋พลันปรากฏตัว!
