ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างเตรียมหมึกและพู่กันรออยู่ก่อนแล้วบันทึกคนที่แข่งขันในรอบนี้ลงไป ในหมู่ศิษย์ชั้นสูง เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดปีคนหนึ่งพลันสีหน้าหวาดผวาหมายเลขบนตัวเขาก็คือหมายเลข 799 เขาคือหวงหยวนคนที่ต้องประลองกับหมายเลข 1 ไป๋จั่นเฮ่อ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโชคของหวงหยวนเลวร้ายสุดๆโดนหมายเลขหนึ่งไป๋จั่วเฮ่อจับได้ เดาผลลัพธ์ดูก็รู้ กระบวนท่าเดียวก็ต้องพ่ายแพ้รอบที่หนึ่งก็ต้องตกรอบเสียแล้ว ได้แต่แย่งอันดับหลังจาก 508 ลงไป
ไป๋จั๋นเฮ่อกับหวงหยวนเดินไปยังเวทีประลองหมายเลขหนึ่งตามมาด้วยลูกศิษย์หมายเลข 2 ก็เดินออกมาจับฉลากหมายเลขส่งให้ผู้าุโหาน
ผู้าุโหานประกาศเสียงดัง “รอบที่หนึ่ง คู่ที่สอง หมายเลข 2 จางหลงกับหมายเลข 833 หลี่หยวน เวทีประลองหมายเลขสอง” ปีที่แล้วผู้ที่ได้ลำดับเจ็ดในการแข่งขันจัดอันดับปีนี้ขึ้นชั้นเบิกนภาเข้าสู่สำนักในไปแล้ว จางหลงที่ได้อันดับแปดที่เป็รองเพียงไป๋จั่นเฮ่อย่อมกลายเป็หมายเลข 2
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่สาม หมายเลข 3 หยางติ่งจวินกับหมายเลข 468 จ้าวผู่เวทีประลองหมายเลขสาม”
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่สี่ หมายเลข 4 หลินอู๋อิ่งกับหมายเลข 1003 เซี่ยตง เวทีประลองหมายเลขสี่”
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่ห้า หมายเลข 5 หลี่อี้ฉางกับหมายเลข 941 ติงหย่งเซิ่ง เวทีประลองหมายเลขห้า”
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่หก หมายเลข 6 เหลียงจ้งกับหมายเลข 988 โหลวเจียเสียง เวทีประลองหมายเลขหก”
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่เจ็ด หมายเลข 7 หม่าเทากับหมายเลข 563 เฉินเหวินเทา เวทีประลองหมายเลขเจ็ด”
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่แปด หมายเลข 8 กู้ซีหยวนกับหมายเลข 497 เกาลี่คุน เวทีประลองหมายเลขแปด”
.....
.....
จากหมายเลข 1 หมายเลข 2 หมายเลข 3 มาเรื่อยๆศิษย์ชั้นสูงคนแล้วคนเล่าหยิบชื่อศิษย์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดคนหนึ่งจากหีบมาเป็คู่ต้อสู้ลูกศิษย์ที่โดนจับชื่อได้ ไม่มีใครสีหน้าไม่สลด
ลูกศิษย์พลังวัตรขั้นเจ็ดมีทั้งหมด 549 คน แต่ขั้นแปดขั้นเก้า ขั้นสิบรวมกันแล้วมีแค่ 467 คนหรือจะพูดอีกอย่าง หลังคู่ที่ 467 ไป ที่เหลืออีก 82 คน ล้วนเป็ลูกศิษย์พลังวัตรขั้นเจ็ด
82 คนนี้จะได้ต่อสู้กับคนในระดับขั้นเดียวกันสี่สิบเอ็ดคนมีโอกาสชนะเข้าสู่รอบต่อไปของการแข่งขันอัจฉริยะที่ต่อสู้ข้ามระดับชั้นได้ที่จริงมีน้อยยิ่งกว่าน้อยลูกศิษย์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดทำได้เพียงต่อสู้แพ้ชนะในระดับชั้นเดียวกันเท่านั้น
ลูกศิษย์คนแรกๆ ที่โดนจับได้ไม่ประลองกับลูกศิษย์พลังวัตรขั้นสิบก็พลังวัตรขั้นเก้าหรือขั้นแปดโอกาสที่พวกเขาจะเข้าสู่การแข่งขันรอบต่อไปแทบจะเป็ศูนย์
ดังนั้น ศิษย์พลังวัตรขั้นเจ็ดที่โดนจับชื่อได้ไม่มีใครสีหน้าไม่สลด คนที่ยังไม่โดนจับได้ในใจก็ลอบยินดี แต่ก็ยังลุ้นระทึกกลัวว่าคนที่โดนจับได้ต่อไปจะเป็ตัวเอง
....
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วไม่ผิดไปจากที่คาด ลูกศิษย์พลังวัตรขั้นเจ็ดที่โดนจับชื่อได้ถ้าไม่ขึ้นเวทีประลองก็ขอยอมแพ้ ไม่ก็โดนลูกศิษย์พลังวัตรขั้นสิบเล่นงานเพียงหนึ่งกระบี่แพ้ไป
ต่อมาก็ถึงคราวศิษย์พลังวัตรขั้นเก้าจับฉลากศิษย์พลังวัตรขั้นเจ็ดที่โดนจับได้ก็ไม่ต่างกัน ไม่นานก็แพ้ตกรอบจนมาถึงศิษย์ชั้นพลังวัตรขั้นแปดจับฉลาก แม้ว่าศิษย์พลังวัตรขั้นเจ็ดจะยังแพ้เหมือนเดิมแต่ก็นับว่ายังสามารถต้านทานศิษย์พลังวัตรขั้นแปดได้บ้าง การต่อสู้เริ่มลากนานขึ้นการแข่งขันเริ่มดำเนินช้าลง
......
.....
“รอบที่หนึ่ง คู่ที่ 466 หมายเลข 466 อู่ซือเหอกับหมายเลข 689 กู่หยวนเจียง เวทีประลองหมายเลขสอง”
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า หมายเลข 466 ในที่สุดก็เริ่มแข่งเสวียนเทียนหมายเลข 467 ใกล้ถึงตาเขาจับฉลากแล้ว
เขาเดินไปหน้าหีบ หยิบแผ่นป้ายขึ้นมาหนึ่งแผ่นที่้าเขียนเลข 955 ส่งให้ในมือของผู้าุโหาน
ผู้าุโประกาศว่า “รอบที่หนึ่ง คู่ที่ 467 หมายเลข 467 หวงเทียนกับหมายเลข 955 ฉวี่เซี่ยงหนาน เวทีประลองหมายเลขสาม”
เสวียนเทียนมาถึงเวทีประลองหมายเลขสามคู่ต่อสู้ของเขาฉวี่เซี่ยงหนานมาถึงบนเวทีประลองแล้ว
รอบเวทีประลองหมายเลขสามตอนนี้ดึงดูดลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยมาชมดูเสวียนเทียนไม่นานมานี้ชื่อเสียงสนั่นสำนักบรรดาลูกศิษย์ล้วนอยากเห็นความสามารถของคนดังคนใหม่ผู้นี้กับตา
เสวียนเทียนเดินขึ้นไปบนเวทีทีละก้าว ทีละก้าว
ฉวี่เซี่ยงหนานในใจทั้งระทึก ทั้งตื่นเต้น
ระทึกตรงที่เสวียนเทียนชื่อเสียงลือลั่นศิษย์สำนักนอกทั้งหมดล้วนรู้เื่ที่หวงเทียนกับศิษย์พี่หยางปะทะฝ่ามือกันความสามารถไม่ธรรมดา ทำให้เขารู้สึกกดดันเป็เท่าตัว
ตื่นเต้นตรงที่ ถ้าการต่อสู้คราวนี้สามารถชนะหวงเทียนได้เช่นนั้นชื่อของเขาฉวี่เซี่ยงหนานย่อมเหมือนติดปีกบิน ชนะหนึ่งสนามชื่อเสียงลือไกล
ฉวี่เซี่ยงหนานเลียริมฝีปากในใจคิดว่าบางทีชื่อเสียงของเสวียนเทียนอาจลวงมากกว่าจริงตัวเขาเองก็พอจะชำนาญวิชากระบี่อยู่หลายส่วน ไม่แน่อาจชนะขึ้นมาได้จริงๆ
พอคิดเช่นนี้ฉวี่เซี่ยงหนานพลันตื่นเต้นขึ้นมาอีกมากประสานมือทับกระบี่ไปทางเสวียนเทียน กล่าวว่า “ข้าน้อยฉวี่เซี่ยงหนานศิษย์พี่หวงเทียนโปรดชี้แนะด้วย”
เสวียนเทียนผายมือขึ้น พูดขึ้นว่า “เชิญ”
กระบี่ของเสวียนเทียนสะพายอยู่ด้านหลังเขาไม่ได้ขยับกระบี่
ลูกศิษย์ด้านล่างเวทีเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มือกระบี่คนหนึ่งไม่ใช้กระบี่ในมือ ย่อมเป็การดูถูกคู่ต่อสู้ทุกคนมองว่าท่าทีนี้ของเสวียนเทียน ยโสโอหังอยู่บ้างพอตัว
อย่างไรมือกระบี่เมื่อไร้กระบี่ความสามารถก็ย่อมลดทอนลงไปมาก
มือกระบี่ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดไม่ใช้กระบี่ คิดจะชนะผู้ฝึกยุทธ์พลังวัตรขั้นเจ็ดยากลำบากยิ่งนัก
ฉวี่เซี่ยงหนานหางตากระตุกโดนคนดูถูกอย่างไม่คาดคิด ในใจลอบโมโห
ในเมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นแล้วฉวี่เซี่ยงหนานก็จะไม่เตือนอีก ขาทั้งสองของเขางอลงเล็กน้อยกระทืบเท้ารุนแรงครั้งหนึ่ง ทั้งร่างก็พุ่งออกไปข้างหน้าราวกับเสือชีตาห์ตัวหนึ่ง
พลังตัวเบาชั้นทองขั้นสูง ศาสตร์เงาพยัคฆ์
แสงสว่างวาบขึ้นมา กระบี่ในมือของฉวี่เซี่ยงหนานชักอออกมาในพริบตาแสงกระบี่บาดตาพุ่งมาข้างหน้าประดุจสายฟ้า แทงตรงเข้ามาที่อกของเสวียนเทียน
“ดี!”
กระบวนท่านี้ของฉวี่เซี่ยงหนานดุจเสือชีตาห์กระโจนเข้าจู่โจมรวดเร็วปานสายฟ้า ทั้งยังลื่นไหลเป็ธรรมชาติดั่งเมฆคล้อยธาราไหลจากนิ่งเป็เคลื่อนไหวกลมกลืนยิ่งนัก คนยังไม่ทันตอบสนองกระบี่ก็พุ่งเข้ามาแล้ว
กระบี่ของฉวี่เซี่ยงหนานเร็วมากกะพริบตาก็มาถึงหน้าอกของเสวียนเทียนแล้ว
ลูกศิษย์ทุกคนล่างเวทีดวงตาจับจ้องไม่ขยับ มองว่าเสวียนเทียนจะแก้สถานการณ์อย่างไรในหมู่คนดูมีไม่น้อยเป็ศิษย์ชั้นสูงของสำนักนอกที่แข่งรอบที่หนึ่งเสร็จสิ้นลงแล้ว
จะใช้วิชาตัวเบาพลิกหลบ! หรือจะใช้วิชากระบี่สกัด?
ลูกศิษย์ด้านล่างเวทีในสมองล้วนขบคิดวิธีตอบโต้ของเสวียนเทียน
ร่างของเสวียนเทียนพลันขยับผิดจากการคาดเดาของทุกคน หนึ่งเขาไม่หลบ สองเขาไม่ชักกระบี่แต่กลับพุ่งออกไปข้างหน้า เหมือนกับรำคาญกระบี่ของฉวี่เซี่ยงหนานว่าไม่เร็วพอร่างกายพุ่งเข้าไปหากระบี่เสียเอง
เมื่อเห็นร่างกายที่ไร้การป้องกันของเสวียนเทียนพุ่งเข้ามาหาปลายกระบี่ไม่ต้องพูดถึงบรรดาลูกศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่ด้านล่างเวทีขนาดฉวี่เซี่ยงหนานที่พุ่งกระบี่มายังตื่นใ นี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายหรอกหรือ?
มีเพียงผู้าุโสำนักนอกบนเวทีชมการต่อสู้เท่านั้นเมื่อมองเสวียนเทียนสีหน้าก็ฉายแววประประหลาดใจขึ้นมา
สิ่งที่เสวียนเทียนใช้ก็เป็วิชาตัวเบาชั้นทองขั้นสูงศาสตร์เงาพยัคฆ์เช่นกันแต่ว่าระดับสูงกว่าฉวี่เซี่ยงหนานร้อยเท่า
แม้ว่าลูกศิษย์ไม่น้อยจะมองว่าวิชาตัวเบาของฉวี่เซี่ยงหนานลื่นไหลดุจเมฆคล้อยธาราไหลแต่ในสายตาของเสวียนเทียนกลับเป็ศาสตร์เงาพยัคฆ์ที่มีช่องโหว่เต็มไปหมดช่องว่างโผล่มาไม่หยุด ศาสตร์เงาพยัคฆ์ที่ยังไม่สำเร็จแม้แต่ขั้นบรรลุบางส่วนต่อหน้าเสวียนเทียนที่ฝึกศาสตร์เงาพยัคฆ์จนถึงขั้นบรรลุส่วนใหญ่แทบจะเป็การรำขวานหน้าบ้านหลู่ปัน1
นอกจากนี้ สิ่งที่เสวียนเทียนชำนาญที่สุดไม่ใช่วิชาปราณไม่ใช่วิชาตัวเบาหรือท่าร่าง แต่เป็วิชากระบี่
กระบี่ที่ดูแล้วเร็วถึงขีดสุดของฉวี่เซี่ยงหนานในสายตาของเสวียนเทียนกลับหยาบกระด้างแข็งทื่อ
สายตามองเห็นกระบี่ของฉวี่เซี่ยงหนานกำลังจะแทงเข้าหน้าอกของเสวียนเทียนทันใดนั้นร่างของเสวียนเทียนก็เลื้อยราวกับอสรพิษ ร่างพลิกทีหนึ่ง
กระบี่ของฉวี่เซี่ยงหนานเฉียดใกล้เสื้อตรงหน้าอกของเสวียนเทียนไปแทบจะแค่นิดเดียวแล้วผ่านเลยไป
กระบี่นี้ พลาดเป้าแล้ว!
บรรดาลูกศิษย์ข้างล่างเวทีตาลุก แค่นี้ก็หลบพ้นแล้วหรือ?
วิชาตัวเบาที่เสวียนเทียนใช้คือศาสตร์เงาพยัคฆ์วินาทีที่หลบนั้นก็ใช้วิชาท่าร่างก้าวย่างอสรพิษ ศาสตร์เงาพยัคฆ์กับก้าวย่างอสรพิษวิชาตัวเบาสองประเภทที่แตกต่างกันเสวียนเทียนกลับใช้ผสานกันได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้
ที่ทำให้เหล่าลูกศิษย์ตาลุกยิ่งกว่าคือสิ่งที่ตามมา
วินาทีที่เสวียนเทียนหลบการโจมตีกระบี่นั้นนั่นเองฝ่ามือก็พุ่งออกไปด้านหน้าประหนึ่งอสรพิษฉกลิ้นโจมตีเข้าที่ข้อมือที่กำกระบี่ของฉวี่เซี่ยงหนาน
ข้อมือของฉวี่เซี่ยงหนานชาวาบเหมือนกับแตะถูกสายฟ้ามือคลายออก กระบี่ในมือพริบตาก็ตกอยู่ในมือของเสวียนเทียน
เสวียนเทียนพลิกมือจับด้ามกระบี่ร่างกายหมุนตามแรงพลิกตัว กระบี่ยาววาดเส้นแสงเย็นเยียบเส้นหนึ่งบนอากาศ
ฉวี่เซี่ยงหนานกำลังจะแย่งกระบี่คืน ทันใดนั้นลำคอก็รู้สึกเย็นวาบกระบี่ยาวเย็นเยียบพาดอยู่บนลำคอของเขาแล้ว
ความเย็นสุดใจสายหนึ่งแล่นจากลำคอ ไหลแล่นไปถึงหัวใจทำให้ฉวี่เซี่ยงหนานสะท้านไปทั้งร่าง
หลบ ลงมือ แย่งกระบี่ โจมตีกลับ!
การเคลื่อนไหวต่อเนื่องชุดหนึ่งสำเร็จในลมหายใจเดียว เพียงแค่พริบตาเดียวเสวียนเทียนก็ใช้มือเปล่าชิงกระบี่แล้วคุมฉวี่เซี่ยงหนานอยู่หมัดแล้ว
เมื่อกระบี่พาดอยู่บนลำคอแล้วเป้าหมายขัดขืนอย่างไร เพียงแค่ปาดเบาๆ เชือดอีกฝ่ายให้เืพุ่งสามก้าวก็พอ
ฉวี่เซี่ยงหนานเสียงสั่น หวาดผวาร้องขึ้นว่า “ข้ายอมแพ้แล้ว ศิษย์พี่หวงเทียนข้ายอมแพ้แล้ว”
เสวียนเทียนรั้งกระบี่กลับมา เสือกแทงไปข้างหน้าฉวี่เซี่ยงหนานผวา แต่ได้ยินเสียงชิ้งดังขึ้นทีหนึ่งกระบี่ยาวเสียบกลับเข้าไปในฝักกระบี่ของเขา
เสวียนเทียนหมุนกายเดินลงเวทีประลองไปั้แ่ต้นจนจบเขาไม่ได้แตะกระบี่ที่สะพายบนหลังแม้แต่น้อย
“มือกระบี่ที่แท้จริงจิตใจต้องเป็ดุจกระบี่ แหลมคม รวดเร็ว ทรงพลัง แต่ซ่อนอยู่ในฝักไม่ออกจากฝักไม่มีอะไร แต่เมื่อออกจากฝัก คมกระบี่เผยสิ้น มือกระบี่ที่แท้จริงในมือมีกระบี่ ไม่ชักออกมาง่ายๆ หากชักกระบี่ คมกระบี่ฟาดฟันแปดทิศหกด้านปราณกระบี่ตัดทลายสิ้นสี่ทิศ เทียนเอ๋อร์เ้าต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของกระบี่นี้ให้ได้!”
ในสมองของเสวียนเทียนคิดถึงคำพูดที่บิดาสั่งสอนตนขึ้นมาเมื่อก่อนตนเองยังไม่เข้าใจ แต่ยิ่งเขาเข้าใจกระบี่ลึกซึ้งมากขึ้น ก็ค่อยๆ เข้าใจความหมายในคำพูดของบิดามากขึ้นเช่นกัน
มือกระบี่ที่แท้จริง กระบี่ไม่ได้อยู่ที่มือกระบี่อยู่ที่ใจ ใจก็คือกระบี่ ถึงจะแหลมคมทรงพลังแต่ซ่อนอยู่ในฝักไม่ออกจากฝักไม่มีอะไร แต่เมื่อออกจากฝัก คมกระบี่เผยสิ้น มือกระบี่ที่แท้จริง ในมือมีกระบี่ไม่ชักออกมาง่ายๆ หากชักกระบี่ คมกระบี่ฟาดฟันแปดทิศหกด้านปราณกระบี่ตัดทลายสิ้นสี่ทิศ ไม่อาจต้านทานได้
“เด็กคนนี้เป็อัจฉริยะหาได้ยากยิ่งบนวิถีกระบี่อายุยังน้อย แต่กลับเข้าใจกระบี่สูงส่งสุดลึกซึ้ง ในหมู่ศิษย์สำนักนอกเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่ง พิสดาร รวดเร็ว ทรงพลังต่างมีไม่น้อย แต่ประกายแหลมคมฉายชัดเกินไปไม่รู้จักเก็บงำ ผู้ที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของกระบี่เด็กคนนี้เป็คนแรกของสำนักนอก”
ผู้าุโแห่งสำนักนอกที่อยู่บนลานผู้ชมมองเสวียนเทียนเดินลงจากเวทีประลอง คิดขึ้นในใจ
ผู้าุโแห่งสำนักนอกมองวิธีที่เมื่อครู่เสวียนเทียนใช้ชิงกระบี่และโต้กลับออกแต่บรรดาศิษย์สำนักนอกกลับงุนงงอยู่ในม่านหมอกตาเบิกโพลงจนตั้งตรงก็ยังไม่เข้าใจว่าการต่อสู้เมื่อครู่เสวียนเทียนใช้เพลงกระบี่อันใดกันแน่?
ในมือเขาไร้กระบี่ แต่ชิงกระบี่มาอยู่ในมือพลิกกายแทงครั้งหนึ่งก็เอาชนะฉวี่เซี่ยงหนานได้
ดูๆ ไปแล้วเสวียนเทียนทำทุกอย่างเหมือนจะง่ายดายราวยกฝ่ามือเหมือนกับพายเรือตามน้ำ แต่ว่าในใจของบรรดาลูกศิษย์กระจ่างชัดถ้าหากเป็ตนเองเจอเข้ากับสถานการณ์เช่นนั้น ย่อมไม่อาจโต้ตอบได้ดังเช่นที่เสวียนเทียนทำแน่นอน
----------
1. สำนวน 班门弄斧 bānménnòngfǔ แปลตรงตัวคือเล่นขวานหน้าบ้านของหลู่ปัน
班 หมายถึงหลู่ปัน (鲁班) นายช่างยอดฝีมือของสมัยโบราณการมาแกว่งขวานเล่นหน้าบ้านหลู่ปันจึงหมายความว่ากำลังแสดงความสามารถอันน้อยนิดต่อหน้าผู้ที่ชำนาญในศาสตร์นั้นเทียบกับภาษาไทยคือสำนวนสอนจระเข้ว่ายน้ำ