ท่านป้าหลี่ะโออกมาด้วยความหวาดกลัว “ไอ๊หยา แม่นางทำอะไรน่ะ มันเป็ตุ๊กตาใช้ทำพิธีสาปแช่งอย่างนั้นหรือ... ไม่ได้ ของสิ่งนี้ไม่เป็มงคลเอาเสียเลย”
ติงเหว่ยได้ฟังก็ตกตะลึง และเมื่อนางตระหนักได้ก็รีบไปหยิบชุดเล็กๆ ที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าออกมาแล้วรีบใส่ให้กับตุ๊กตาตัวนั้น ดังนั้นจากตุ๊กตาที่ดูแปลกๆ และน่ากลัวเมื่อครู่ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็สาวน้อยที่สง่างามในทันที
ท่านป้าหลี่แปลกใจมาก นางหยิบมันขึ้นมาดูอย่างพิจารณาอยู่สักพัก จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แบบนี้ดีขึ้นกว่าแบบเดิมตั้งเยอะแล้ว”
ติงเหว่ยผลักกล่องในมือของนางออกไปให้ดู แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตุ๊กตาตัวนี้มีชุดเพิ่มให้ทั้งหมดหกชุด ข้าเตรียมจะขายสักห้าตำลึง ท่านป้าคิดว่าเป็ยังไงบ้าง?”
“ห้าตำลึง!” ท่านป้าหลี่ตกตะลึงจริงๆ ความเป็จริงแล้วนางอยากจะบอกว่าติงเหว่ยบ้าไปแล้ว แต่คำพูดเ่าั้เมื่อมาถึงที่ริมฝีปากก็เปลี่ยนเป็อีกแบบหนึ่งว่า “แม่นางมีความคิดดีจริงๆ ทำไมไม่ลองขายดูก่อนล่ะ”
ติงเหว่ยเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่นางก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มและพูดเสริมว่า “ตุ๊กตาชุดนี้ให้ท่านป้าหลี่เอากลับไปก่อน ท่านป้าหลี่ลองทำตามดูสักสองสามชุด ชุดยิ่งพิถีพิถันมากเท่าไรก็ยิ่งดี ส่วนใบหน้าของตุ๊กตาและทรงผมเว้นไว้ให้ข้าเป็คนปัก”
“ตกลง เื่นี้ง่ายมาก คืนหนึ่งข้าสามารถทำได้หนึ่งชุด พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวข้าจะให้เสี่ยวชิงช่วยเย็บชุดดู เด็กคนนี้ถึงจะดูสะเพร่าไปบ้าง แต่นางก็มีฝีมือไม่เลวเช่นกัน”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค อวิ๋นอิ่งก็หยิบหนังกระต่ายหลายผืนกลับมา ดูจากท่าทางของนางแล้วคงจะหยิบมาจนหมดห้องเก็บของไปแล้ว
นานๆ ทีติงเหว่ยจะเห็นหญิงสาวผู้เ็าคนนี้ชอบอะไรขึ้นมาสักอย่าง นางจึงขอให้ท่านป้าหลี่ช่วยทำด้วยกันก่อน เริ่มจากการใส่ใยสังเคราะห์เข้าไปข้างใน จากนั้นก็ค่อยๆ เย็บประกบหนังกระต่ายอย่างช้าๆ
……
เนื่องจากนางยุ่งมากจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะลืมเวลา ดังนั้นนี่จึงเป็ครั้งแรกที่บนโต๊ะอาหารของกงจื้อิมีอาหารง่ายๆ เช่น บะหมี่เนื้อตุ๋น
ติงเหว่ยมองดูกงจื้อิค่อยๆ คีบบะหมี่ขึ้นมากิน เครื่องเคียงเบื้องหน้าก็มีอยู่แค่สองจานอย่างน่าสงสาร นางรู้สึกว่าตนเองไม่มีความรับผิดชอบ ช่างเป็เื่ที่น่าละอายจริงๆ ดังนั้นจึงพูดว่า “นายน้อย วันนี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานเล็กๆ น้อยๆ ทำให้การเตรียมอาหารของท่านล่าช้า พรุ่งนี้จะไม่มีเื่เช่นนี้อีกแล้ว”
กงจื้อิกลับไม่ได้รู้สึกโมโหเลย อันที่จริงเขาก็เคยเป็ทหารและออกรบมาก่อน เขาเคยกินเกี๊ยวไส้ผักป่ามาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบะหมี่ที่เส้นเหนียวหนึบกำลังดีและเนื้อตุ๋นก็หอมอร่อย ทว่าเขากลับสงสัยว่าเื่อะไรถึงทำให้สตรีผู้นี้ลืมเขา
“ยุ่งเื่อะไร?”
“เอ๋?” ติงเหว่ยไม่คาดคิดว่ากงจื้อิจะสนใจเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ แต่เมื่อคิดดูแล้วมันก็ไม่ได้เป็ปัญหาใหญ่อะไร นางจึงพูดว่า “ข้าเคยพูดเมื่อก่อนว่าอยากจะเปิดร้านขายของเล่นเด็ก ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งคิดจะทำตุ๊กตาผ้า เมื่อครู่ทำตุ๊กตาเสร็จแล้วหนึ่งตัวพร้อมชุดกระโปรงอีกหกชุด ข้าวางแผนว่าจะขายสักห้าตำลึง แต่ท่านป้าหลี่บอกว่ามันแพงเกินไป!”
“ไม่แพงหรอก!” กงจื้อิกลืนบะหมี่ในปากลงไปแล้วตอบว่า “จำไว้ว่าแต่ละร้านจะขายตุ๊กตาได้เพียงสามชุดต่อเดือนเท่านั้น และราคาจะปรับขึ้นเป็สองเท่า”
เดิมทีติงเหว่ยคิดว่านางจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการอธิบายหลักการที่ว่าของหายากนั้นมีค่า คิดไม่ถึงว่ากงจื้อิกลับรู้กลยุทธ์การตลาดกระตุ้นความอยาก [1] เสียด้วยซ้ำ
นางมีความสุขมากและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตกลง ข้าจะทำตามที่นายน้อยบอก”
กงจื้อิมองดวงตากลมโตที่มีเสน่ห์ของนาง เสื้อคลุมสีแดงทำให้ผิวของนางดูขาวกว่าหิมะ และท่าทางที่นางพูดและยิ้มราวกับว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยความสุขที่อธิบายไม่ได้ เมื่อเทียบกับใบหน้าของผู้หญิงที่ถูกขังอยู่ในเรือนหลังแล้ว ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่งหรือนอนก็เหมือนกับท่อนไม้ไม่มีผิด ติงเหว่ยดูมีชีวิตชีวามากกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า ดังนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะอารมณ์ดีขึ้นมา นานๆ ทีจะพูดมากกว่าปกติสักสองสามประโยค
“ได้ยินว่าเ้าวางแผนที่จะแบ่งร้านผ้าไหมกึ่งหนึ่งเพื่อขายของเล่นเหล่านี้อย่างนั้นหรือ? เหตุใดไม่ปรับปรุงทั้งร้านและทำกิจการเกี่ยวกับเด็กโดยเฉพาะไปเลยล่ะ เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อเสียงจะขยายออกไปและเ้าก็จะไม่ต้องกังวลเื่กิจการอีกต่อไป”
ติงเหว่ยลังเลนิดหน่อย “ร้านขายผ้าไหมยังมีสินค้าตกค้างอยู่มาก ดังนั้นจึงเป็เื่ยากที่จะเปลี่ยนธุรกิจในทันที นอกจากนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าของเล่นเหล่านี้จะสามารถขายได้หรือไม่?”
“ยังมีร้านค้าในตระกูลอีกมากมาย ให้ท่านลุงอวิ๋นเลือกร้านที่อยู่ในทำเลดีๆ ให้เ้าสักร้านสิ” กงจื้อิวางชามและตะเกียบลง เขาจิบชาเข้าไปแล้วก็พูดเสริมออกมาอย่างสบายๆ
ติงเหว่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ ไม่จำเป็ ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจของนายน้อย มีสองร้านนี้ก็เพียงพอแล้ว”
กงจื้อิขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้บังคับอะไร “เ้าสามารถเก็บผ้าไหมในร้านที่จะใช้เอาไว้ ส่วนเงินลงทุนที่เหลือก็คิดเป็ขายออกไป วันที่ 2 เดือน 2 วันหรงไถโถว [2] ที่นี่เองก็มีประเพณีท่องเที่ยวยามค่ำคืน ดังนั้นรีบเปิดร้านค้าเสียก่อนจะถึงตอนนั้นกิจการจะดีขึ้นมาก หากเ้า้าความช่วยเหลือเื่ใดก็พูดกับท่านลุงอวิ๋นได้เลย ทุกวันนี้เ้าก็ถือว่าเป็คนในครอบครัวเราแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ”
ติงเหว่ยได้ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ นางมองไปที่โต๊ะอาหารที่มีแค่อาหารเรียบง่ายก็รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น นางรีบพูดว่า “ขอบคุณนายน้อยที่เป็ห่วง กระเทียมที่ข้าปลูกไว้สองกระถางเมื่อครั้งก่อนน่าจะพร้อมให้เก็บเกี่ยวแล้ว ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะทำซานเซียนเจี่ยวจื่อให้ท่านกินแบบสดๆ ใหม่ๆ นายน้อยคิดว่าเป็เช่นไร?”
“เอาเถอะ เื่เหล่านี้เ้าตัดสินใจได้เลย”
กงจื้อิขยับมือซ้ายของเขาไปมา เขารู้สึกว่าข้อมือของเขายืดหยุ่นได้ไม่แพ้เมื่อก่อนแล้ว สีหน้าเขาเองก็ดีขึ้น เขาจึงพูดเสริมว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มฝึกไม้ค้ำยันแล้ว พอถึงตอนนั้นเ้าก็เอางานกับอุ้มอันเกอเอ๋อร์มาที่นี่ด้วยกัน มีเฟิงจิ่วคอยช่วย หากเ้า้าอะไรก็สั่งเขาได้เลย”
“ตกลง” ติงเหว่ยเองก็ไม่ได้โวยวายอะไรและตอบตกลงในทันที
……
เดือนแรกดูเหมือนจะเป็ศัตรูธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของฤดูหนาว ต่อให้อากาศในฤดูหนาวจะหนาวเหน็บสักแค่ไหน ไม่ว่าลมและหิมะจะหนักสักเพียงไรก็ตาม พอเข้าสู่เดือนแรกก็จะอบอุ่นขึ้นมาทันที
ป่าไม้บนูเาที่โดนแสงแดงส่องกระทบก็มีร่องรอยหิมะละลายอยู่บ้าง บริเวณปากทางเข้าหมู่บ้านก็มีปลอกแขนที่ทำจากผ้าฝ้ายพาดอยู่บนกำแพงซึ่งเป็ของคนเฒ่าคนแก่ที่พากันมาอาบแดด เหล่าเด็กซุกซนก็ยิ่งควบคุมไม่ได้ พวกเขาฝืนตนเองไปเล่นที่แม่น้ำสายเล็กๆ นอกหมู่บ้านด้วยใบหน้าแดงก่ำ หินก้อนใหญ่หนึ่งก้อนถูกปาลงไปตกกระทบบนผิวน้ำที่แข็งเป็น้ำแข็งจนเกิดรอยแตกเล็กๆ ขึ้นมาราวกับใยแมงมุม ก้อนหินอีกก้อนหนึ่งถูกปาตามลงไปอีกครั้งทำให้เกิดเป็หลุมขึ้นมา ปลาตัวเล็กๆ ที่จำศีลตลอดฤดูหนาวก็โผล่หัวขึ้นมาหายใจด้วยความหวาดกลัว และเด็กซุกซนเ่าั้ก็ค่อยๆ จับปลาทั้งหมดขึ้นฝั่ง พวกเขาก่อฟืนจุดไฟแล้วย่างจนสุกกลางๆ จากนั้นก็กินจนเหลือแต่ก้างปลา
เรือนหลักในจวนสกุลอวิ๋นได้ถูกทำความสะอาดตั้งนานแล้ว หิมะต่างกองรวมกันอยู่ที่มุมกำแพง แสงแดดสะท้อนกับพื้นหินแกรนิตทำให้ดูอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
กงจื้อิวางไม้ค้ำไว้ข้างตัวเขา เฟิงจิ่วและซานอียืนประกบอยู่คนละข้าง ส่วนติงเหว่ยยืนอยู่ตรงหน้าของเขาและค่อยๆ แนะนำเขาให้เดินไปข้างหน้าทีละน้อย
เอวและขาแข็งทื่ออันไร้เรี่ยวแรงของเขาทำให้ร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้าโดยมีเพียงแรงจากแขนทั้งสองข้างรองรับอยู่เท่านั้น หากขาดความสมดุลอันใดอันหนึ่งก็จะล้มลงในทันที
ใน่เวลาปกติมองแล้วคงรู้สึกว่าเป็ระยะทางที่สั้นมาก ทว่ากงจื้อิกลับใช้เวลาเดินถึงครึ่งชั่วยามและล้มไปไม่ต่ำกว่าหกถึงเจ็ดครั้ง หากไม่เป็เพราะว่าลานบ้านถูกทำความสะอาดไว้แล้ว เกรงว่าทั้งตัวของเขาตอนนี้คงเต็มไปด้วยร่องรอยเปรอะเปื้อนมากมาย
ติงเหว่ยมองใบหน้าของกงจื้อิแล้วพิจารณาอย่างละเอียดแต่ก็ไม่มีวี่แววของความเบื่อหน่ายหรือความหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย นางอดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วโป้งให้อยู่ในใจ แล้วก็เอ่ยปากชมออกมาว่า “นายน้อยเดินได้ดีมาก หากอดทนทำเช่นนี้ต่อไปก็จะฟื้นตัวได้ในไม่ช้า”
กงจื้อิเอนตัวไปพิงที่ตัวของเฟิงจิ่ว เขายื่นมือเช็ดเหงื่อบนศีรษะและเงยหน้าขึ้นไปมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า มองยอดเขาที่อยู่ไกลๆ นกกระจอกที่บินไปมารอบๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
เดิมทีเขาคิดว่าชาตินี้คงต้องอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิตเสียแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังมีวันที่เขาออกมาเดินภายใต้แสงแดดได้จริงๆ
รออยู่พักหนึ่งเขาก็หันไปมองสตรีที่วิ่งเข้าไปอุ้มและหยอกล้อกับลูกชาย ในใจของเขาก็มีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ “มา ทำกันต่อเลย”
“ขอรับ นายน้อย”
เฟิงจิ่วและซานอีก็มีความสุขแทนนายน้อยของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาค่อยๆ ช่วยรักษาความมั่นคงของไม้ค้ำยัน และเดินหน้าต่อไปทีละน้อย
ติงเหว่ยเห็นว่านายและบ่าวทั้งสามคนร่วมมือและเข้าขากันได้เป็อย่างดี ลูกชายนางเองก็ตากแดดจนตาหยีและหลับไปแล้ว ดังนั้นนางจึงเรียกให้อวิ๋นอิ่งมาช่วยกันเย็บผ้า เมื่อวานทั้งสองคนยุ่งกันอยู่เกือบทั้งคืน วันนี้จึงเหลือแค่หูสุนัขสองข้างเท่านั้นแต่ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งเค่อก็ทำเสร็จเรียบร้อย
สุนัขอ้วนตัวใหญ่ที่มีจมูกสีดำ หูใหญ่ และดวงตากลมโตน่ารัก รู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวลยามกอดอยู่ในอ้อมแขน อวิ๋นอิ่งชอบมากจนวางไม่ลง และนางก็ยิ้มออกมาอย่างสดใสซึ่งเป็เื่ที่หาได้ยากยิ่ง
ซานอีที่เงยหน้าขึ้นเป็ครั้งคราวเห็นเข้าก็ตกตะลึงในทันที เขาปล่อยมือเล็กน้อยจนกือบจะทำให้นายน้อยของเขาต้องล้มลงอีกครั้ง
อวิ๋นอิ่งหน้าแดง นางหันกลับมาอุ้มอันเกอเอ๋อร์และสุนัขตัวใหญ่ของนางกลับเข้าไปในห้อง ติงเหว่ยคิดจะหยอกล้อนางสักสองประโยค แต่ก็เกรงว่าอวิ๋นอิ่งจะอายมากเกินไป นางจึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้
วันเวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย จนกระทั่งหิมะบนยอดเขาในจุดที่หันไปทางพระอาทิตย์ละลายรวมตัวกับน้ำและไหลลงมา แม่น้ำสายเล็กๆ นอกหมู่บ้านก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่างสมบูรณ์ เสียงน้ำไหลลงมาและพุ่งไปข้างหน้าดังโครมๆ ราวกับกำลังร้องเพลงอย่างมีความสุข
……
วันที่ 2 เดือน 2 วันหรงไถโถว ไปเที่ยวงานวัดตอนกลางคืน
ไม่ว่าชาย หญิง คนแก่หรือเด็ก คนรวยหรือคนจน ตราบใดที่พวกเขาไม่ป่วยจนต้องนอนบนเตียงในวันนี้ พวกเขาต่างก็แต่งตัวออกไปเที่ยวร้านค้า กินอาหารดีๆ สักมื้อ ยังไม่ทันที่ฟ้าจะมืดสนิทท้องถนนก็เต็มไปด้วยโคมไฟส่องสว่าง สะท้อนให้เห็นถึงพระจันทร์ที่เพิ่งเริ่มทำงานแล้วไปซ่อนตัวอยู่ในก้อนเมฆอย่างเขินอาย
และในเวลานี้ ร้านขายของเล่นของติงเหว่ยที่ชื่อ “เถาเป่า” ก็เปิดอย่างเป็ทางการ
เดิมทีร้านก็ตั้งอยู่บนถนนที่คึกคักที่สุด ด้านหน้าประตูยังแขวนโคมไฟตัวการ์ตูนน่ารักๆ ที่ทั้งแปลกตาและสวยงามอยู่ไม่กี่อัน ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาสะดุดตาได้ตามที่้า
ชายหนุ่มสองคนสวมหมวกทรงแหลม ใส่จมูกสีแดง และสวมเสื้อผ้าลายทางสีน้ำเงินขาวยืนอยู่หน้าประตูและะโบอกคนที่เดินผ่านไปมาว่า “ท่านผู้าุโ ท่านนายน้อย และสุภาพสตรีทั้งหลาย เร่เข้ามาๆ ร้านของเรามีของเล่นใหม่ล่าสุดในจักรวาล มีแต่ของที่ท่านนึกไม่ถึง และไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ ของมีจำนวนจำกัด ขอเชิญเข้ามาลองเล่นลองใช้ดู จนกว่าของจะหมด!”
หากจะพูดถึงคนที่มีความสุขที่สุดในวันที่ 2 เดือน 2 ก็คือลูกๆ ในทุกครอบครัว ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บทำให้ถูกกักตัวอยู่ในห้องเป็เวลากว่าสองสามเดือน ในที่สุดอากาศก็อบอุ่นขึ้นและผู้ใหญ่ก็ปล่อยให้พวกเขาออกไปเดินเล่นนอกบ้านได้ และแน่นอนว่าสิ่งใดน่าสนใจก็จะไปดูสิ่งนั้น ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าในร้านเถาเป่าขายของเล่นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็เด็กหนุ่ม เด็กสาว เด็กน้อยจอมซุกซน หรือว่าเด็กหญิงตัวน้อย เกือบจะทุกคนที่ได้ยินต้องเข้าไปวนดูในร้านสักรอบหนึ่ง
ดังนั้น ตุ๊กตาที่เพิ่งวางขึ้นบนชั้นได้ไม่นานก็ถูกแย่งซื้อจนหมดในพริบตาเดียว ส่วนตัวต่อ ลูกดอก และปริศนาพวกนั้นทำให้เด็กชายทั้งหลายเกือบจะลงไม้ลงมือกัน ตัวต่อหนึ่งพันชิ้นอันสุดท้ายถูกเด็กผู้ชายจากครอบครัวที่ร่ำรวยซื้อไปในราคาที่สูงกว่าเดิมเกือบสิบเท่าตัว
มีแม้กระทั่งเด็กผู้หญิงที่มาช้าไปก้าวหนึ่งเห็นตุ๊กตาที่อยู่ในมือของคนอื่นก็เกือบจะร้องไห้ออกมา และะโบอกคนงานในร้านว่าให้เอาของมาเพิ่มอีก
แต่น่าเสียดายที่ ประการแรกติงเหว่ยตัดสินใจใช้กลยุทธ์การตลาดกระตุ้นความอยาก ประการที่สองนางไม่คาดคิดมาก่อนว่ากิจการจะเฟื่องฟูขนาดนี้ และสินค้าที่จัดวางบนชั้นก็เกือบจะเป็สินค้าทั้งหมดที่มีอีกด้วย
ถึงแม้คนงานในร้านจะอ่อมน้อมถ่อมตนและให้ความเคารพลูกค้าอย่างถึงที่สุด ทว่าใบหน้าของพวกเขาก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใส เถ้าแก่เคยบอกเอาไว้ว่าเ้านายเป็คนใจกว้างและมีน้ำใจ ขอเพียงแค่พวกเขาตั้งใจทำงาน ไม่เพียงแต่จะได้รับค่าจ้าง ทั้งยังจะแบ่งเงินปันผลหนึ่งในสิบส่วนของรายได้ทั้งหมดในร้านให้กับพวกเขาด้วย ตราบใดที่กิจการนี้ในอนาคตยังดีอยู่เพียงแค่หนึ่งในสามของวันนี้ พอถึงสิ้นเดือนทุกคนจะได้รับเงินจนมือไม้อ่อน
ติงเหว่ยอยู่ที่บริเวณที่ราบลุ่มระหว่างูเา ตอนกลางดึกเช่นนี้คงไม่เหมาะที่จะไปร่วมสนุกในเมืองด้วย นางก็เลยไหว้วานให้พี่รองช่วยไปดูแลให้แทน
พี่รองสกุลติงเห็นว่าเฉิงต้าโหยวกับคนงานในร้านไม่กี่คนสามารถจัดการสถานการณ์ได้เป็อย่างดี เงินเข้าไปในร้านเต็มไปหมดราวกับเกล็ดหิมะ ในใจของเขาพลันรู้สึกซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อย
รอจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน ขบวนเชิดับนท้องถนนก็แยกย้ายกันไปแล้ว นักท่องเที่ยวก็พากันกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแมวสองสามตัวเท่านั้น พี่รองสกุลติงถึงได้พูดคุยกับเฉิงต้าโหยวสองสามประโยคจากนั้นก็ตรงกลับไปที่ร้านเครื่องใช้ไม้
-----------------------------------------
[1] กลยุทธ์การตลาดกระตุ้นความอยาก 饥饿销售 หมายถึง เป็วิธีสร้างความเร้าใจให้ผู้บริโภคเกิดความ้าสิ่งนั้นอย่างถึงที่สุดจนถึงขั้นแย่งกันซื้อสินค้าหรือบริการ และบ่อยครั้งที่วิธีการนี้จะกระตุ้นผู้บริโภคให้ซื้อด้วย “อารมณ์” ไม่ใช่ “เหตุผล” กลยุทธ์นี้จึงมักถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความฮือฮาเวลาเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตออกมาในปริมาณจำกัด ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกว่าสินค้านั้นเป็ของหายาก โดยมีเทคนิคหลัก 3 อย่าง คือ จำกัดจำนวนสินค้า จำกัด่เวลาการขาย และลดราคาเป็พิเศษ
[2] วันหรงไถโถว 龙抬头 หมายถึง วันขึ้น 2 ค่ำเดือน 2 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เป็การระลึกถึงั เทพเ้าผู้บันดาลให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล จึงมีการไหว้เทพเ้าั หรือเชิญั นัยว่าเป็การเชิญให้พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์เต็มยุ้งฉาง ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียม ‘โกนผมั’ อวยพรให้เด็กเติบโตอย่างแคล้วคลาดจากพิษภัย ส่งฤดูหนาวต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ และนำโชคลาภมาสู่เด็กและครอบครัว