เมื่อมู่อี้หานได้ฟังคำพูดของเธอบางอย่างในคำพูดของผู้หญิงคนนี้ที่เขาเองก็คาดไม่ถึง จนเขาถึงกับหัวเราะออกมามีบางเื่ เขาอาจยอมมองไม่เห็น มีบางคำพูด เขาไม่พูดแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้
หยิ่นยวี๋โม่เข้าไปนั่งในรถของมู่อี้หานเขาทำสำเร็จ ไม่เช่นนั้นเธอคงฝืนดื้อดึงและไม่ยอมไปการพบปะกันโดยมีเธอมาด้วยในครั้งนี้เป็เพียงการรับประทานอาหารเย็นเท่านั้น
งานรับประทานอาหารเย็นครั้งนี้ถูกจัดขึ้นที่ห้องวีไอพีณ โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ภายในห้องมีโต๊ะกลมหมุนได้ขนาดใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงทุกคนต่างนั่งล้อมรอบโต๊ะ และอาหารเสิร์ฟเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะเช่นกัน
รถถูกจอดที่หน้าทางเข้าประตูโรงแรมหยิ่นยวี๋โม่ลงจากรถ แต่กลับยืนอยู่ตรงทางเข้า เธอไม่รู้หมายเลขห้องของห้องวีไอพีเธอจึงไม่สามารถเดินไปคนเดียวได้ ทำได้เพียงยืนรอขณะที่มู่อี้หานหาที่จอดรถ
ในเวลานั้น โจวลี่ฉีเดินออกมาหล่อนคงมารอมู่อี้หานและหยิ่นยวี๋โม่กระมัง! เป็ดังคาด หล่อนสวมเดรสสีน้ำเงินรุ่นเดียวกับของหยิ่นยวี๋โม่ มันขับผิวหล่อนมากหากดูจากอายุของหล่อน การแต่งตัวแบบนี้ ไม่เพียงดูอ่อนวัย ซ้ำยังดูเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสา
หยิ่นยวี๋โม่ทราบดีว่านี่คือแผนของโจวลี่ฉีเธอเพียงส่งยิ้มกลับเท่านั้น
เมื่อโจวลี่ฉีเห็นชุดที่หยิ่นยวี๋โม่สวมหล่อนพลันนิ่งไป เธอไม่ได้สวมชุดใหม่ที่เพิ่งซื้อไปในวันนี้ ครั้งนี้เป็แค่เดรสเปิดไหล่
“คุณผู้หญิง คุณมาแล้ว ท่านประธานมู่ล่ะคะ” โจวลี่ฉีจงใจถามคำถามนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ หล่อนถือว่าหยิ่นยวี๋โม่เป็แค่คุณผู้หญิงเพียงเท่านั้น
“เขากำลังจอดรถอยู่น่ะ” หยิ่นยวี๋โม่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เสื้อผ้าของโจวลี่ฉีเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำหอมตลบอบอวลไปหมดโจวลี่ฉีเห็นเธอเบือนหน้าหนีไป หล่อนคิดว่าหยิ่นยวี๋โม่คงจะเห็นชุดที่เธอใส่จึงไม่พอใจ
หล่อนคือผู้ชนะไม่ว่าจะดูอย่างไรหล่อนก็มีราศีกว่าหยิ่นยวี๋โม่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆโดยเฉพาะกับพวกผู้ชาย
แต่ที่โจวลี่ฉีไม่พอใจก็คือทำไมมู่อี้หานต้องพาหยิ่นยวี๋โม่มาในงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ด้วย? หล่อนไม่เข้าใจ! นอกจากการเป็คุณหนูตระกูลหยิ่นเธอพบปะผู้คนได้ไหม? เธอพูดคุยสังสรรค์กับคนอื่นได้หรือเปล่า? เธอทำไม่ได้! เธอดื่มเหล้าเป็เพื่อนเขาได้ไหม? เธอยิ่งทำไม่ได้!
มู่อี้หานเดินเข้าประตูโรงแรมเมื่อเห็นชุดบนตัวของโจวลี่ฉี ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยขณะที่โจวลี่ฉีกำลังเดินเข้ามา เขาไม่ได้ใส่ใจเธอนัก มีเพียงความไม่พอใจอยู่บางส่วน
คำพูดของหยิ่นยวี๋โม่ที่แท้หมายความว่าแบบนี้นี่เอง เขาซื้อเสื้อผ้ามาเยอะเกินไป เธอไม่ใส่เพราะมีโจวลี่ฉีใส่มันอยู่แล้ว
“ท่านประธานมู่มาแล้ว ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ อาหารก็ขึ้นโต๊ะพร้อมแล้วเช่นกันค่ะ” ความสามารถของโจวลี่ฉีในด้านนี้ ถือว่าใช้ได้ทีเดียวทักษะในการสื่อสารของหล่อนเมื่ออยู่ในงานเลี้ยง มันทั้งสง่างามและเฉียบคมอยู่ในทีหล่อนจึงมักได้รับคำชมจากคนอื่นๆ อยู่เสมอ
มู่อี้หานชื่นชมในความสามารถนี้ของหล่อนแต่วันนี้เขาเห็นหล่อนในชุดนี้ มันทำให้เขามองหล่อนเปลี่ยนไป
ผู้หญิงไม่ว่าอย่างไรก็คือผู้หญิงคงหนีเื่ความอิจฉาริษยาและการชิงดีชิงเด่นไม่พ้น
มู่อี้หานไม่ได้ตอบรับคำพูดของเธอแต่เดินตรงไปยังหยิ่นยวี๋โม่ โอบเอวเธอไว้ และเดินเข้าลิฟต์ไปสีหน้าของโจวลี่ฉีไม่สู้ดีนัก มู่อี้หานไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวทั้งๆที่เห็นเธอแต่งตัวมาอย่างเลิศหรู ในสายตาของเขามีเพียงหยิ่นยวี๋โม่เท่านั้นหรือ? คนเพียงสามคนอยู่ในลิฟต์ที่สามารถบรรจุคนได้ถึงยี่สิบคน ทว่าบรรยากาศกลับดูอึดอัด
ความไม่ยินดียินร้ายของหยิ่นยวี๋โม่ความเฉยชาของมู่อี้หาน โจวลี่ฉีซึ่งกำลังไม่พอใจและพยายามอดกลั้นเอาไว้ ทั้งสามคนกับสามอารมณ์ คุกรุ่นอยู่ภายในลิฟต์ จนกระทั่งลิฟต์หยุดลงที่ภัตตาคารชั้นสาม
เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกเพียงทุกคนเห็นมู่อี้หานเดินเข้ามา ต่างลุกขึ้นทักทายเขา ส่วนหยิ่นยวี๋โม่ถูกเขาโอบเอาไว้แน่นจนเธอแทบหายใจไม่ออก
เธอแต่แรกแล้ว ว่าชายหนุ่มคนนี้พาเธอมางานเลี้ยงเพื่อเข้าสังคมขอแค่เธอยอมปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนเท่านั้น หรือหากเรียกว่าเป็แจกันดอกไม้สักใบ ต้องไร้ซึ่งความรู้สึกถึงจะดีในตอนนี้เธอคงเป็เหมือนตุ๊กตาน่ารักๆ ตัวหนึ่งที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา
มีบางครั้งที่หยิ่นยวี๋โม่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเธอพยายามอดกลั้นต่อความสงสัยภายในใจ สุดท้ายแล้วมันถูกหรือผิดกันแน่? แต่เพราะความรักที่เธอมีให้กับเขาบางทีมันก็ทำให้เธอเอนเอียงไปอีกด้านหนึ่ง ขอแค่ได้เคียงข้างเขา จะสนไปทำไมว่าใช้วิธีไหน? อย่างน้อยในตอนนี้ สีหน้าของโจวลี่ฉีก็ดูแย่กว่าเธอ
ในงานเลี้ยงเขาเอาแต่พูดเื่ธุรกิจของเขา ท้องของเธออิ่มเต็มที ดูๆ อาจฟังเหมือนข้ออ้าง แต่เธอไม่อาจเลี่ยงการดื่มได้เลยจึงจำต้องดื่มอยู่ตลอด จนหยิ่นยวี๋โม่เริ่มเมาเล็กน้อย
“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” เธอกระซิบไปที่หูของมู่อี้หาน
“ให้ผมไปด้วยไหม?” มู่อี้หานวางแก้วเหล้าลง คำพูดของเขาช่างอ่อนโยน ภายใต้แสงไฟสลัวเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาดูน่าหลงใหลเขาทราบดีว่าเธอคออ่อน แต่เขาไม่เห็นว่าเธอจะหยุดดื่มเหล้าเลย ในตอนนี้ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เขาค่อยๆ โน้มตัวเข้าใกล้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบา ทั้งคู่ดูเหมือนคู่รักแสนหวานที่ทำให้ใครหลายๆคนต้องอิจฉา
“ไม่เป็ไรค่ะ” หยิ่นยวี๋โม่เพียง้าไปสูดอากาศภายนอกเท่านั้นหากเขาไปด้วยเกรงว่าเธอคงยิ่งอึดอัด
“คุณผู้หญิง ไปกับฉันเถอะค่ะ!” โจวลี่ฉีชิงพูดขึ้น มู่อี้หานพยักหน้าเล็กน้อย เขาเกรงว่าหยิ่นยวี๋โม่อาจจะไม่ไหวจนล้มพับไป
“คุณผู้หญิง คุณนี่ช่างเป็คนมีความสามารถจริงๆ นะคะ” เพียงแค่เดินออกจากห้อง สีหน้าของโจวลี่ฉีก็เปลี่ยนไปในทันทีแม้ว่าปากของหล่อนจะเอ่ยคำว่า คุณผู้หญิง แต่ทั้งหมดล้วนแต่เหน็บแนมเธอทั้งสิ้น
หยิ่นยวี๋โม่เอามือยันกำแพงเอาไว้และหันไปทางโจวลี่ฉี “ถึงฉันจะมีความสามารถขนาดไหนก็เทียบกับคุณไม่ได้หรอกเลขาโจว ั้แ่หัวจรดเท้าของคุณ คงแพงน่าดู” หยิ่นยวี๋โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ จนโจวลี่ฉีหน้าเสียไป
“คุณนอนกับอี้หานคืนหนึ่งเพื่อแลกอะไรบ้างล่ะ?” หยิ่นยวี๋โม่เผยรอยยิ้มที่มุมปาก เธอรู้อยู่แล้วว่าที่โจวลีฉีใส่ชุดนี้เพื่อเป็การแสดงตัวตนของหล่อน แต่เธอไม่สนใจ เพราะสิ่งที่หยิ่นยวี๋โม่้าคือหัวใจของมู่อี้หานเท่านั้นั้แ่เธอแต่งงานกับมู่อี้หาน เธอรู้ดีว่าตัวเธอต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง
“คุณไม่ต้องมาอยู่เป็เพื่อนฉันหรอก คุณเข้าไปอยู่กับพวกเขาดีกว่าฉันแค่อยากสูดอากาศน่ะ” หยิ่นยวี๋โม่ไม่อยากฝืนใจโจวลี่ฉีเธอเดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง ขณะที่มือก็ยันกำแพงเอาไว้ เธอเดินผ่านกำแพงที่แกะสลักอย่างวิจิตรทันใดนั้นเธอก็เห็นใครบางคนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา
“ยวี๋ซิน” หยิ่นยวี๋โม่เดินไปเพียงมีกี่ก้าวก็รู้สึกเวียนหัว แต่เมื่อเธอเพ่งมองอีกที คนคนนั้นกลับไม่อยู่แล้ว
เธอแค่มองผิดไปหรือยวี๋ซินกลับมาแล้วกันแน่? ถ้ายวี๋ซินกลับมาแล้วตอนนี้หล่อนอยู่ที่ไหน?
“คุณเหม่ออะไรอยู่ตรงนั้น” มู่อี้หานที่เห็นว่าเธอยังไม่กลับเข้าไปตั้งนานจึงออกมาดูเมื่อออกมาก็เห็นว่าเธอกำลังเดินเหม่ออย่างไร้สติ
เมื่อหยิ่นยวี๋โม่ได้สติตัวของเธอก็เริ่มสั่น “ไม่...ไม่มีอะไร”
เธอไม่มีทางเลือกเธอไม่กล้าพอจะบอกมู่อี้หานว่าเหมือนเธอจะเจอเข้ากับยวี๋ซิน