ในใจหลัวจิ่งกระสับกระส่ายอย่างมาก เจินจูยังหาไม่พบเลย พวกเขาเสียเวลาอยู่ตรงนี้มาไม่น้อยแล้ว
ชายแต่งกายด้วยผ้าหยาบสี่คนที่ผุดออกมาใหม่ฝีมือไม่ธรรมดา เขากับหลัวสือซานทำได้เพียงฝืนรับมือไว้ หาก้าตีฝ่าวงล้อมเอาชนะคงไม่ใช่เื่ง่ายเลยจริงๆ
ผิงอันเด็กผู้นั้นคงต้านได้อีกไม่กี่ลมหายใจแล้ว
เขาไตร่ตรองขึ้น หลังหลบการโจมตี่หนึ่งก็ล้วงเอาท่อส่งสัญญาณออกมาจากในอกอย่างรวดเร็ว ดึงแกนกลางทิ้งและโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
“ฟิ้ว” หลังจากเสียงลอยขึ้นฟ้าพลุก็กระจายออกไปสี่ทิศ
“…แย่แล้ว พวกเขามีท่อส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือด้วยงั้นหรือ คุณชายสาม คุณชายใหญ่วางฐานที่มั่นนี้ขึ้นต้องใช้เวลาและกำลังไปไม่น้อย หากถูกเปิดโปงเข้า เขาต้องไม่ยกโทษให้พวกเราแน่ขอรับ” คิดถึงวิธีจัดการของคุณชายใหญ่ขึ้น ผู้ติดตามเริ่มตัวสั่นเทาทันที
สีหน้าชายหนุ่มมืดครึ้มจนเหมือนสีหมึกก็ไม่ปาน ซวยจริงๆ พอลงมือก็พบเข้ากับพวกตอซังแข็งๆ นี่เสียได้
“ไม่ต้องสนใจสิ่งเหล่านี้ จัดการพวกมันทั้งหมดให้ข้า ส่วนทางพี่ใหญ่ข้ารับผิดชอบเอง”
“…รับทราบขอรับ”
เมื่อท่อสัญญาณดังขึ้น การเคลื่อนไหวของชายชุดหยาบสี่คนก็หยุดชะงักลง
พวกเขาหันไปมองทางใต้ชายคาแวบหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้ล้อมจับต่อไป เป็ตายไม่สน
ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวบนมือจึงเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย
เมื่อท่อส่งสัญญาณถูกส่งออกไป อีกไม่นาน หน่วยช่วยเหลือของพวกเขาก็จะมาถึงทันที
เมื่อเผชิญหน้าการโจมตีของคู่ต่อสู้ที่ดุเดือด ผิงอันเกิดความยากลำบากในการรับมือ จึงถอยร่นอย่างต่อเนื่อง
ดาบยาวเหวี่ยงออกมากลางสายลม ลมปราณของดาบที่หนาวเหน็บน่าหวาดกลัวพุ่งเข้าใกล้แก้มของผิงอัน เม็ดเหงื่อของเขากลิ้งไหลลงบนเสื้อส่วนบน เอี้ยวกายหลบได้อย่างหวุดหวิด
ไม่รอให้เขาได้พักลมหายใจ ดาบยาวของคู่ต่อสู้ได้วาดผ่านตามเข้ามาติดๆ
ผิงอันเลี่ยงไม่ได้ จึงยกดาบในมือขึ้นทันที คิดจะทำการตั้งรับ
แต่เขาตัวเล็กกำลังน้อยจะต้านแรงไว้ได้เสียที่ไหน ทันทีที่ถูกดาบยาวของคู่ต่อสู้ฟันเข้าบนคมดาบของตนเอง ก็ถูกกำลังภายในหนึ่งสายโจมตีทันที ลำคอเกิดรสหวานฝาด เืสีแดงฉานกระอักออกมา
ทันใดนั้นพลังลมปราณของดาบได้คุกคามฝ่าเข้ามาในอากาศ สายเกินกว่าที่ผิงอันจะทำการตอบโต้ ได้แต่มองอันตรายที่พุ่งเข้ามาจวนจะถึงตัว
“เคร้ง”
เสียงปะทะดังขึ้นหนึ่งที ดาบยาวถูกโต้ออกไป
เงากายทรงพลังของหลัวจิ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าผิงอัน
เขาในยามนี้ มีเืสีแดงฉานที่ไหล่ซ้ายรินไหลหยดย้อยลงมา
หลัวจิ่งเห็นว่าผิงอันตกอยู่ในอันตรายสุดขีด เขาจึงยอมรับการโจมตีจากศัตรูหนึ่งที ในขณะเดียวกันก็แทงเข้าไปที่ต้นแขนขวาของอีกฝ่าย แล้วะโมาทางผิงอันอย่างฉับไว พร้อมกับปัดดาบยาวทิ้งในคราวเดียว
บุรุษที่ถือดาบยาวอยู่ในมือถอยหลังไปสองก้าว ข้อมือถูกกำลังภายในของหลัวจิ่งที่ปัดดาบลอยสูงขึ้นสั่นะเืจนแขนชาไร้กำลัง เขาขมวดคิ้วพลางเห็นแวบหนึ่งว่าาแบนไหล่ซ้ายของหลัวจิ่งมีเืสีแดงฉานพรั่งพรูออกมา อดแค่นเสียงเย้ยหยันขึ้นหนึ่งเสียงไม่ได้ จากนั้นยกดาบขึ้นคิดพุ่งเข้าไปข้างหน้า
ทันใดนั้นในอากาศมีการเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย เขาตื่นตัวทันทีและคิดจะหมุนตัวกลับไปทำการป้องกัน
ทว่าความรู้สึกเย็นวาบั้แ่กกหูไปจนถึงต้นคอได้เกิดขึ้นฉับพลัน สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความเ็ปอย่างรุนแรง
“อ๊าก…” คำรามอย่างน่าเวทนาขึ้นหนึ่งเสียง มือซ้ายยกไปปกคลุมบริเวณที่เจ็บ เืสีแดงสดไหลรินออกมาตามซอกนิ้วมือ
“เ้าเจ็ด!”
ชายสามคนที่เหลือเห็นเขาเืรินไหลดั่งน้ำที่ราดออกมา จึงรีบกรูกันเข้าไปล้อม
“เร็ว! หยุดเืก่อน”
“…มารดาเถอะ าแรุนแรงเพียงนี้ ห้ามไม่อยู่แล้ว”
“…เป็ของมีคมอะไรทำให้าเ็ได้ เร็ว... ประคองเขาออกไป แล้วเชิญท่านหมอในจวนมา”
ชายหนุ่มที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ภายในห้องโถง เดินมาด้านหน้าสองก้าวและยื่นศีรษะออกมาทันที เขาคอยดูสถานการณ์ภายในลานอยู่ตลอด เมื่อครู่เห็นเงาสีดำเล็กๆ เงาหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่ด้านหลังของชื่อชีรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ เล็บแหลมคมตะปบผ่านทีหนึ่ง หลังจากนั้นพลิกตัวหายเข้าไปท่ามกลางแปลงดอกไม้อย่างรวดเร็ว
หากเขามองไม่ผิดล่ะก็เหมือนจะเป็แมวดำหนึ่งตัว แม้รูปร่างเล็ก ทว่าการเคลื่อนไหวกลับรวดเร็วและรุนแรงอย่างหาสิ่งใดเทียบ ที่มากไปกว่านั้นคือกรงเล็บคมกริบ แม้กระทั่งฝีมือดีอย่างชื่อชีก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงไปได้
กลุ่มคนพวกนี้มีความเป็มาอย่างไรกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่ายังสามารถปราบแมวดำที่เห็นได้น้อยหนึ่งตัวมาเป็ผู้ช่วยได้อีก
ชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังแปลงดอกไม้ ตรงนั้นเป็เสี่ยวเย่หนี่ว์เจิน [1] สีเขียวชอุ่มตลอดสี่ฤดู บริเวณโดยรอบมีแสงมืดสลัว กิ่งก้านใบนิ่งสงบไม่ไหวติง สัตว์ตัวนั้นช่างสงบสุขุมยิ่งนัก
ทางนั้น หลัวจิ่งใช้มือข้างที่ไม่ได้รับาเ็ประคองผิงอันขึ้น
ผิงอันเช็ดคราบเืที่มุมปาก เบ้าตาแดงรื้นเสียงแหบพร่า “พี่ชายยู่เซิง ท่านเืออกเยอะยิ่งนัก”
“ไม่เป็ไร” เขาประคองผิงอันไว้ กวาดสายตามองไปบริเวณโดยรอบ ภายในห้องหลักตรงหน้า เห็นหน้าต่างฉลุลายบานหนึ่งแง้มไว้ครึ่งบาน ชายหนุ่มอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งยื่นศีรษะออกมาจ้องไปยังบริเวณที่เสี่ยวเฮยเพิ่งเคลื่อนไหวเข้าไป เขาสวมเสื้อผ้าโอ่อ่างดงาม สีหน้ามืดครึ้ม น่าจะเป็เ้าของจวนนี้ เมื่อครู่ชายสี่คนที่รุมโจมตีพวกเขาก็หันไปทิศทางนั้นพร้อมเพรียงกัน
เจินจูจะอยู่ในห้องนั้นไหมนะ?
หลัวสือซานเร่งเข้ามา บนกายของเขาก็มีาแเล็กน้อยประปรายไปทั่วเช่นกัน
หลัวจิ่งถูกเืย้อมเป็สีแดงไปครึ่งร่าง เขารีบสกัดจุดห้ามเืให้คุณชายของเขาทันที
ผิงอันได้รับาเ็ภายใน ่อกมีความเจ็บแน่นตื้ออยู่ เขาฝืนยกดาบในมือขึ้น คนกลุ่มนั้นเริ่มล้อมเข้ามาอีกครั้ง
หลัวจิ่งคำนวณระยะห่างอยู่เงียบๆ สายตาเย็นเยียบกวาดผ่านชายหนุ่มอ่อนเยาว์ที่ยังคงยื่นศีรษะออกมาอยู่ข้างนอก ขอแค่จับตัวเขาไว้ได้ ความยุ่งยากทั้งหมดก็จะจัดการได้อย่างง่ายดาย
ดาบตั้งเป็แนวขวางอยู่ในตำแหน่งหน้าอก คมดาบของพวกเขาตั้งท่าเตรียมพร้อมพุ่งออกไปได้ทุกเมื่อ แผ่รัศมีคุกคามขึ้น
ชายสามคนสวมชุดผ้าหยาบราวสัตว์ป่าล่าเหยื่อดุร้ายที่แข็งแกร่ง ตั้งรูปแบบการต่อสู้ขึ้นตามลำดับ
สองฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงเย็นเยียบหนึ่งเสียงตวาดขึ้นมาจากประตูลานบ้านอีกด้านหนึ่ง
ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปี สาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามาท่ามกลางผู้ติดตามหนึ่งกลุ่ม
เขาใบหน้าเย็นเยียบแข็งทื่อ สายตาประดุจเหยี่ยว ริมฝีปากบางปิดแน่นสนิท บนกายสวมชุดผ้าไหมตัวยาวสีดำปักลายเมฆมงคล บนศีรษะสวมกวานหยกสีดำสนิท คนทั้งกายแผ่กระจายลมปราณเยือกเย็นอึมครึม
คนหนึ่งกลุ่มเดินเข้ามาถึงกลางลานและหยุดลง
“…คุณชายใหญ่” ชายแต่งกายอย่างคนติดตามผู้หนึ่ง สาวเท้าวิ่งเข้าไปตรงหน้าพวกเขา และโค้งเอวลงคำนับจนแทบจะลงไปติดกับพื้น
“ผิงซาน นี่เกิดอะไรขึ้น?” เสียงเย็นแข็งกระด้างดุจน้ำแข็ง
“…เรียนคุณชายใหญ่ สามคนนี้บุกเข้ามาภายในที่พักยามวิกาลขอรับ” เสียงของผิงซานสั่นเทาเล็กน้อย
“บุกเข้ามาภายในที่พักยามวิกาล? ไม่ถามมูลเหตุ พวกเ้าก็ลงมือแล้ว?” เขาจ้องผิงซานปราดหนึ่ง เห็นเขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัวอย่างรุนแรง จึงหันหน้ากลับไปมองปราดทางห้องโถงหลัก
เขาหันมาทางพวกหลัวจิ่งสามคนแล้วประคองมือคารวะขึ้น
“ที่นี่เป็จวนสกุลจ้าวของอำเภอฉีหลิน ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านบุกเข้ามาในที่พักส่วนตัวด้วยเหตุอันใดหรือ?”
หลัวจิ่งลดดาบในมือลงเล็กน้อย การเสียเืไปเป็จำนวนมาก ทำให้สีหน้าของเขาซีดขาวไปบ้าง
“เหอะ... ด้วยเหตุอันใดงั้นหรือ? ทำไมท่านไม่ถามทาสของท่านดูเล่า?”
ผิงซานผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าเข้าใจเื่ราวดี ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย สายตาหลุกหลิก แววตาที่มองมาทางพวกเขาคลุมเครือไม่สงบนิ่ง
เมื่อผิงซานได้ฟัง สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที ขณะที่กำลังจะอ้าปากแก้ต่าง
เสียงผิดปกติก็ดังขึ้นฉับพลัน ทิศทางของเสียงอยู่ใกล้หลังลาน มีบุรุษมากฝีมือไม่ธรรมดาจำนวนแปดถึงเก้าคนข้ามกำแพงเข้ามา เวลาไม่กี่ลมหายใจก็เข้ามาอยู่กลางลานบ้าน
ผู้คุ้มกันเต็มทั่วทั้งลาน รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมเปิดฉากต่อสู้ ต่างทยอยกันชักอาวุธออกมาทันที
“หลางเจียงหลัว ท่านไม่ได้เป็อะไรใช่หรือไม่ขอรับ?”
เหยาเฮ่าหลานเข้ามายืนข้างกายหลัวจิ่ง เห็นเขาถูกเืสีแดงสดย้อมไปทั่วบ่าข้างหนึ่ง จึงขมวดคิ้วขึ้น
นี่เพิ่งจะออกจากเมืองหลวงก็พบเข้ากับเื่เช่นนี้เสียแล้ว ทั้งๆ ที่นายท่านกั๋วกงมอบหมายให้พวกตนมาส่งพวกเขากลับไปถึงเอ้อโจวโดยสวัสดิภาพแท้ๆ
เขากวาดสายตาเย็นะเืไปทางกลุ่มคนด้านหน้าทีหนึ่ง ดึงอาวุธคู่กายออกจากฝักดาบที่อยู่่เอวอย่างเชื่องช้า
เหยาเฮ่าหลานเป็หนึ่งในนายทหารกล้า ที่นับได้ว่าเป็ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานดีเป็อย่างยิ่งของเจิ้นกั๋วกงเซียวฉิง ติดตามอยู่ข้างกายนายท่านกั๋วกงมาหลายปี ทักษะการต่อสู้อยู่ในหมู่นายทหารนับได้ว่าไม่เป็สองรองใคร ด้วยเหตุนั้นเซียวฉิงถึงได้ส่งเขามารับหน้าที่นี้
หลางเจียงหลัว? สีหน้าของชายหนุ่มเ้าของจวนเปลี่ยนไปเคร่งขรึมเล็กน้อย
ชายหนุ่มอ่อนเยาว์ผู้นั้นเป็หลางเจียงที่อยู่สูงกว่าขั้นห้าอย่างนั้นหรือ? ในค่ายทหารของต้าสยามีหลางเจียงวัยเยาว์เพียงนี้ขึ้นั้แ่เมื่อใด? ผู้ที่เพิ่งเร่งเข้ามาไม่กี่คนนั้นจังหวะเท้าสุขุมยิ่งนัก ในยามปกติคงฝึกมาอย่างเข้มงวดอยู่ตลอด พอมองก็รู้ได้เลยว่าเป็นายทหารกล้าที่เร้นกายอยู่ในกองทัพมาหลายปี นี่เ้าสามก่อเื่บ้าบออะไรขึ้น ถึงไปยั่วยุนายทหารที่แข็งแกร่งโเี้กลุ่มนี้เข้า
“ไปเรียกเจ๋อเหิงมา” เสียงเยือกเย็นยิ่งขึ้น
ผิงซานตัวสั่นงันงกทันที โค้งกายแล้วถอยหลังไป จากนั้นวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางเพื่อเรียกคน
“สุภาพบุรุษทุกท่าน เดินทางมาไกลนับเป็แขก อากาศหนาวเหน็บหิมะปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ เข้ามาดื่มชาด้านในก่อนดีหรือไม่ มีเื่อะไรเข้าใจกันผิดก็สอบถามกันให้แน่ชัด แล้วค่อยทำการตัดสินชี้ขาดเป็อย่างไร?” แรงสนับสนุนที่ขาดแคลนอยู่จากเบื้องบน นับว่าเป็กองกำลังทหารพอดี ต่อให้ไม่สามารถดึงมาเป็พวกได้ก็ห้ามผิดใจด้วยเด็ดขาด
“ท่านคืนพี่สาวของข้ามา…” ผิงอันประคองหน้าอกตนเอง ความเ็ปอัดแน่นสายนั้น เมื่อเขาออกแรงขึ้นนิดหน่อยก็เกิดความเ็ปอย่างยิ่ง
พี่สาว? สีหน้าชายผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที เ้าสามทำนิสัยเสียเดิมที่พอเห็นสตรีหน้าตางดงามก็จับกลับมาอีกแล้วงั้นหรือ ไอ้สารเลวนี่
ในใจเหยาเฮ่าหลานไหววูบ พวกเขาไม่รู้ว่าแม่นางหูหนีออกไปแล้วเช่นนั้นหรือ? แม่นางผู้นั้นหนีออกมาเอง? เมื่อครู่ที่เขาตามหนูขนสีเทาข้ามกำแพงมา หางตาชำเลืองไปเห็นเก้าอี้ตั้งเรียงกันขึ้น ที่แท้เป็แม่นางผู้นั้นใช้ปีนกำแพงนี่เอง แม่นางที่กล้าหาญและเยือกเย็นเช่นนี้ ช่างหาได้ยากจริงๆ
เขารีบเข้าไปใกล้หลัวจิ่ง กล่าวเื่ที่ได้พบกับเจินจูให้เขาฟัง
สีหน้าหลัวจิ่งผ่อนคลายลง นางหนีกลับไปเองด้วยการช่วยเหลือของเสี่ยวฮุยนี่เอง
สายตาของเขาลดความดุดัน ความเ็ปบนไหล่กลับเจ็บแปลบขึ้นทันที กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาแข็งทื่อ ฟันกรามขบกันแน่นกรอด
บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา ชายผู้เป็คุณชายใหญ่เ้าของลานแห่งนี้เห็นมันอยู่ในสายตา เขาใช้ทักษะในการตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ ได้ยินเพียงบางเบาว่า “…แม่นาง …กลับ …พบ”
เชื่อมโยงกับสีหน้าของชายหนุ่ม ในใจเขาวูบไหวเล็กน้อย สายตามองไปโดยรอบลานดูว่าตรงไหนที่จะสามารถซ่อนคนไว้ได้
คุณชายสามที่อยู่ภายในห้องเดินออกมาถึงกลางลานอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“พี่ใหญ่ เหตุใดทำเอาท่านว้าวุ่นขึ้นได้นี่ ท่านวางใจ ข้าจะจัดการแขกไม่ได้รับเชิญที่บุกรุกเข้ามาในเขตที่พักเหล่านี้อย่างรวดเร็วที่สุด”
ผู้ที่ตอบเขา ใบหน้านิ่งดุจูเาน้ำแข็งมืดครึ้มสุดขีด เ้าโง่นี่ เขาจะจัดการลงอย่างรวดเร็วที่สุดงั้นหรือ? จะจัดการอย่างไร? ฆ่าคนปิดปาก? ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหลังจากนี้คนเขาจะเรียกปัญหาอะไรตามมาบ้าง กล่าวถึงแค่ตอนนี้อย่างเดียว อย่าเห็นว่าพวกเขามีกันเพียงสิบกว่าคน หาก้ากำจัดพวกเขาให้เกลี้ยงทั้งหมดนี่ อย่างน้อยก็ต้องเสียกำลังคนในจวนไปกว่าครึ่งแล้ว
เพื่อกิเลสส่วนตัวของเขา กลับเอาชีวิตคนในสำนักหลายสิบชีวิตไปแลก หน้าตาของเขานี่ใหญ่โตเสียจริงๆ
เ้าโง่ดักดาน หากไม่ใช่เป็น้องชายของญาติสนิท เขาคงฟาดเ้าหมอนี่จนไปพบยมบาลนานแล้ว
ชายหนุ่มดึงแขนคนอายุน้อยกว่าเข้ามาแล้วกล่าวเชิงตำหนิ “หุบปาก! ข้าจะถามเ้า วันนี้เ้าไปจับตัวผู้ใดกลับจวนมา?”
ชายอ่อนวัยกว่าดวงตาวูบไหว ขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยปาก จู่ๆ บริเวณแขนก็ถูกบีบ เขาหันไปมองหน้าผู้เป็พี่ใหญ่แวบหนึ่ง เข้าใจความหมายข้างในดวงตาของเขาทันที “…เอ่อ ไม่มี วันนี้ข้าอยู่ในจวน ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
ส่วนลึกในดวงตาของชายที่เอ่ยถามขึ้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ คนก็ถูกพวกเขาช่วยไปแล้ว หากยอมรับคงมีแต่จะเพิ่มความยุ่งยากให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยืนกรานปฏิเสธ ต่อให้ค้นจวนก็ไม่เจอคน แม้จะทำให้คนเขาไม่พอใจดังเดิม แต่อย่างน้อยการแสดงออกมาคงไม่มีทางฉีกหน้าแน่
หลัวจิ่งแค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบ ชายผู้นี้ช่างหน้าซื่อใจโเี้และปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดจริงๆ เขาต้องได้ยินคำพูดของเหยาเฮ่าหลานอย่างแน่นอน แล้วคงเดาได้ว่าเจินจูได้หนีออกไปแล้ว จึงยืนกระต่ายขาเดียว กลับดำให้เป็ขาว ใบหน้าดูเ็าแข็งกระด้างโอหังและถือดี ทว่าการกระทำกลับสกปรกและเลวทรามต่ำช้ายิ่งนัก
เป็ไปดังคาด บุรุษอ่อนวัยผู้นั้นร่วมมือกับชายหนุ่มปฏิเสธกันทั้งคู่ ถึงขั้นกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าให้พวกเขาค้นหาทั่วทั้งภายในจวนสักรอบก็ได้
สภาพอาการาเ็ของหลัวจิ่งค่อนข้างหนัก ผนวกกับสีหน้าของผิงอันไม่ค่อยดีสักเท่าไร เหยาเฮ่าหลานไม่อยากเถียงกับพวกเขาต่อ
ขณะนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของหลัวจิ่งกับผู้คุ้มกันจากจวนสกุลกู้ต่างก็ะโเข้ามาภายในกำแพง ทำเอาลานที่พักอาศัยเต็มแน่นขนัดในชั่วพริบตา
ใบหน้าของชายหนุ่มที่เป็พี่ใหญ่ของจวนแห่งนี้เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเขาจะนำพากำลังคนมามากมายเพียงนี้ หากต้องต่อสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะกันขึ้นมาจริงๆ กำลังคนน้อยนิดภายในจวนคงน่าเป็กังวลอย่างมาก
ครั้งนี้ เขาเตะเข้ากับแผ่นเหล็ก [2] เสียแล้ว
เชิงอรรถ
[1] เสี่ยวเย่หนี่ว์เจิน คือ ต้นไม้ประดับที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะปลูกในพื้นที่แคบ เนื่องจากมีความสวยงามดูแลง่าย เป็ต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปี ซึ่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Ligustrum lucidum
[2] เตะเข้ากับแผ่นเหล็ก เป็การอุปมาว่าไม่บรรลุจุดประสงค์ที่้า อีกทั้งยังถูกปฏิเสธ หรือประณาม หรือได้รับความพ่ายแพ้มาแทน ความหมายในที่นี้คือ คิดว่าอีกฝ่ายเพียงพอให้ตบตาหรือทำชุ่ยๆ ให้ผ่านไปได้ แต่อีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งเกินไป เหมือนกับการทำร้ายตัวเองให้เจ็บโดยการเตะแผ่นเหล็ก