ณ เรือนจือเว่ย
เรือนต่างๆ ในจวนกั๋วกงนั้นน่าสนใจยิ่งนัก เช่น เรือนของหลี่เจ๋อ ชื่อว่า เรือนเอินเจ๋อ เรือนของหลี่จือ ชื่อว่า เรือนจือเว่ย ล้วนแล้วแต่นำอักษรเ่าั้มาตั้งชื่อ
“พี่ิ วิธีการปักผ้าวิธีนี้ของท่านช่างงดงามนัก ข้าไม่เคยเห็นในท้องตลาดเลยเ้าค่ะ” หลี่หลินมีนิสัยเป็คนเก็บตัวและเงียบขรึม ฉะนั้นวิธีการฆ่าเวลาของนางก็คืออ่านหนังสือและงานเย็บปักถักร้อยสิ่งของต่างๆ จากนั้นก็ดูบัญชีกับหลี่หยางซื่อ ดังนั้นฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางจึงอยู่ในขั้นดีมาก ทว่าเมื่อเห็นฝีมือการเย็บปักถักร้อยของิเจี๋ยเอ๋อร์ทำให้นางตกตะลึงเป็อย่างมาก หาใช่เพราะฝีมือของิเจี๋ยเอ๋อร์ดีกว่านางไม่ แต่เป็เพราะวิธีการปักของิเจี๋ยเอ๋อร์นั้นมีความพิเศษยิ่งนัก นางเองไม่เคยเห็นมาก่อน
“ตอนนี้ที่ค่อนข้างมีชื่อคือการปักบนผ้าแพร งานปักผ้าแพรนั้นนิยมมาจากในเมืองหลวงของเรานี้เอง เน้นลักษณะที่งดงามหรูหราเป็หลัก และยังมีการปักแบบดอกบัว การปักแบบดอกบัวเป็วิธีการปักของทางใต้วิธีหนึ่ง ดอกบัวนั้นเกิดในโคลนตมทว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งแปดเปื้อน ดังนั้นวิธีการปักดอกบัวก็คือต้องเรียบง่ายสง่างามแต่ไม่ธรรมดาสามัญ...วิธีการปักนี้ไม่มีปรากฏในท้องตลาดจริงๆ ท่านแม่ของข้าเชิญซิ่วเหนียง[1]มาสอนข้าั้แ่ยังเล็ก นี่คือวิธีการปักกลับด้าน มีลักษณะพิเศษมาก ข้าเรียกมันว่างานปักล่องหน” ิเจี๋ยเอ๋อร์อธิบาย
ิเจี๋ยเอ๋อร์และหลี่หลินเกิดปีเดียวกัน แต่ิเจี๋ยเอ๋อร์มีอายุมากกว่าหลี่หลินสองเดือน
“ร้ายกาจจริงๆ เ้าค่ะ วิธีการเย็บปักแบบเดียวสามารถปักออกมาได้หลายแบบ พี่ิ ท่านต้องสอนข้านะเ้าคะ”
“วิธีการปักนี้ยุ่งยากซับซ้อน หาใช่สอนกันเพียงวันสองวันก็ทำได้ไม่” หลี่จือพูดยิ้มๆ “มิสู้เ้าพักอยู่ที่เรือนข้าสักสองวันเล่า?” หลี่จือมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส ทั้งยังเข้ากับคนง่าย
“ไฉนเลยจะกล้ารบกวนพวกท่าน?” หลี่หลินยามปกตินั้นไม่มีเพื่อน กับน้องสาวหลายคนในเรือนนั้นต่างเข้ากันไม่ได้ ส่วนกับหลี่จือนั้นเมื่อก่อนก็มิได้ไปมาหาสู่กันมากนัก วันนี้ได้มาทำความรู้จักกัน บวกกับิเจี๋ยเอ๋อร์ที่เป็คนอ่อนโยนช่างสนทนา นางมีความสุขมากเช่นกัน “มิสู้พรุ่งนี้ข้าส่งเทียบเชิญให้พวกท่านทั้งสองคนดีหรือไม่?”
“เช่นนั้นก็ได้” หลี่จือยิ้มบางๆ “เ้าไปไหนมาไหนน้อยเกินไป จริงด้วย ปลายเดือนนี้ท่านหญิงฉุนเหอจะจัดงานชุมนุมประพันธ์บทกวีสัตตบงกช ข้าจะขอเทียบเชิญมาแทนเ้าหนึ่งใบ ไปด้วยกันเถิด”
“ข้า...” เมื่อยามที่หลี่ซวี่จากไปนั้นนางเพิ่งจะมีอายุได้สิบสองปี เป็่เวลาที่อยู่ในวัยเหมาะสมแก่การไปดูตัวเป็อย่างยิ่ง แต่หลี่ซวี่มาถึงแก่กรรมไปเสีย นางจึงต้องไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญู ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้
“ไม่ต้องร้อนใจไป ท่านหญิงฉุนเหอเป็คนดีมาก”
“เ้าก็อย่าได้รังแกผู้อื่นด้วยเหตุผลที่ว่าท่านหญิงฉุนเหอเป็คนดีเล่า” หลี่เจ๋อและหลี่หงเดินเข้ามาในเรือนก็ได้ยินคำพูดของหลี่จือเข้าพอดี ด้านนอกอากาศเย็นสบาย หลี่จือจึงพาิเจี๋ยเอ๋อร์และหลี่หลินมานั่งปักผ้าอยู่ด้านนอก
“คารวะท่านพี่[2]เ้าค่ะ” ิเจี๋ยเอ๋อร์ลุกขึ้นคารวะ
“ท่านพี่ใหญ่” หลี่หลินก็ลุกขึ้นเช่นกัน แล้วมองพี่ชายของตน “พี่ชาย”
หลี่จือหันทำมาหน้าผีล้อเลียนใส่หลี่เจ๋อ “ท่านต่างหากเล่าที่รังแกข้า ผู้อื่นมีแต่จะเข้าข้างญาติไม่ไยดีเหตุผล พี่หงว่าใช่หรือไม่เ้าคะ” พูดแล้วก็กล่าวแนะนำฐานะของหลี่หงไปด้วย
หลี่หงเพียงยิ้มบางๆ “เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาว ย่อมต้องเข้าข้างญาติไม่ไยดีเหตุผล” น้ำเสียงของหลี่หงอ่อนโยนนัก ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเป็กันเอง เมื่อหลี่ลั่วได้รู้จักเขาเป็ครั้งแรก ก็เป็ความรู้สึกนี้ ครั้งนี้ด้วยน้ำเสียงของเขา ิเจี๋ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง จึงได้ประสานสายตากับหลี่หงซึ่งกำลังมองนางอยู่อย่างพอดิบพอดี ทั้งสองต่างก็หน้าแดง พลันรีบเคลื่อนย้ายสายตาไปทางอื่น
แม้จะขาพิการ ทว่าลักษณะท่าทางของคุณชายจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงย่อมมิใช่ว่าคุณชายตระกูลชนชั้นสูงจากครอบครัวขุนนางเซี่ยงโจวจะเทียบเคียงได้ หลี่หงและหลี่เจ๋อยืนอยู่ด้วยกัน แม้เขาจะไม่มีความมั่นใจหรือความชอบเอาชนะในตัวอย่างหลี่เจ๋อ ทว่าความสง่างามที่ออกมาจากภายในของเขานั้นกลับทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกสงบและวางใจ ิเจี๋ยเอ๋อร์มิได้คาดหวังว่าตนจะได้พบคู่หมายที่ดีปานใดอีก แต่ครั้งนี้เมื่อเห็นหลี่หงกลับรู้สึกพอใจยิ่งนัก
อีกหลายครอบครัวในจวนโหวนั้นนางมิได้เอามาใส่ใจ แต่คนของจวนโหวกลับเรียบง่ายยิ่ง น้องสาวสามีนิสัยดีและอยู่ในวัยที่ใกล้จะออกเรือนเช่นกัน น้องชายสามีอายุเพิ่งจะเพียงห้าขวบ แม้จะเป็เสี่ยวโหวเหฺย จวนโหวทั้งหมดในอนาคตก็ต้องเป็ของเขา แต่หลี่หงเป็บุตรชายคนโตในภรรยาเอก กิจการการค้าของจวนโหวหลี่หงย่อมมีส่วนแบ่ง อีกทั้งน้องชายสามีอายุยังเยาว์นัก เมื่อแต่งเข้าไปแล้วพี่สะใภ้คนโตก็เปรียบเสมือนมารดา ย่อมต้องเข้ากันได้ดีแน่นอน
โดยเฉพาะเบื้องบนยังมีเพียงแม่สามีคนเดียว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ิเจี๋ยเอ๋อร์หน้ายิ่งแดงก่ำ นี่ยังมิได้หมั้นหมายนางก็คิดถึงเื่การแต่งงานเสียแล้ว
หลี่หงตกตะลึงเล็กน้อย รอยยิ้มอันงดงามของแม่นางน้อยช่างงดงามจนเขาปรารถนาจะได้เห็นรอยยิ้มนั้นอีก เขามิได้คาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวที่ทาบทามมาให้ตนนั้นจะมีรอยยิ้มที่งดงามเช่นนี้ ดวงตาสามารถสื่อสารแทนคำพูดได้ ขาที่พิการทำให้หลี่หงรู้สึกว่าตนนั้นช่างต่ำต้อยนัก เขานั้นถึงกับเคยคิดว่าขอเพียงแค่อีกฝ่ายมีอุปนิสัยที่ดี ไม่ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็เช่นใดเขาล้วนมิรังเกียจและยินดีที่จะทำความรู้จักกับนางอย่างดี ทว่าความคิดเหล่านี้หลังจากที่ได้พบกับิเจี๋ยเอ๋อร์แล้วนั้น กลับสูญสลายไปสิ้น นาง...ช่างงดงามเสียจริง
[1] ซิ่วเหนียง (绣娘) หมายถึง หญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย หรือเป็อาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับงานฝีมือ
[2] ท่านพี่ (表哥) หรือ เปี่ยวเกอ หมายถึงญาติผู้พี่ (พี่ชาย) ที่เป็ญาติฝ่ายมารดาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลี่เจ๋อ ส่วนหลี่หลินจะเรียกหลี่เจ๋อว่า ท่านพี่ใหญ่ หรือ ต้าถังเกอ (大堂哥) ซึ่งหมายถึงญาติผู้พี่ฝั่งพ่อที่เป็คนโตสุดและใช้นามสกุลร่วมกัน ไม่ได้หมายถึงพี่ชายแท้ๆ