ชายชราหนวดขาวไม่เคยพบเจอคนอย่างอันเจิงมาก่อนเด็กน้อยที่มีความคิดไม่ธรรมดา จู่ ๆ ก็เข้ามาทำให้การประมูลสินค้าของเขายากลำบากยิ่งขึ้น
อันเจิงหยิบเงินออกมาจากเสื้อของเขาแล้วยื่นให้ชายชราหนวดขาว “ท่านจะขายให้ข้าหรือไม่?”
ชายชราหนวดขาวไม่ได้ตอบอะไรอันเจิงจึงเก็บมือของเขากลับแล้วแบ่งเงินออกมาจำนวนหนึ่ง “เอาออกมามากเกินไปหน่อย...ข้าขอโทษด้วยแล้วกันผลึกนี้ข้าว่าก็ราคาเท่านี้นั่นล่ะ”
“ฮึ่ม!”
ชายชราหนวดขาวสะบัดชายเสื้อ“สินค้าในโรงจวี้ฉ่าง ไม่สามารถเปลี่ยนราคาได้ สู้เอาไปทำลายยังดีเสียกว่าขายได้ในราคาต่ำเช่นนี้!”
อันเจิงนิ่งคิดแล้วพูดขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นหากข้าสามารถจ่ายด้วยเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเล่า? ท่านจะให้ผลึกนั้นแก่ข้าได้หรือไม่?”
ชายชราหนวดขาวอึ้งไปสักครู่แล้วจึงพูดถากถางอันเจิง “เ้าเด็กน้อย ดูเหมือนเ้าจะเป็แค่เด็กยากจนข้นแค้น ข้ากลัวว่าเ้าจะไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าวด้วยซ้ำถ้าอยากได้ขนาดนั้น ข้าว่าเ้าไปล่าสัตว์เองจะดีกว่า ร่างกายเ้าแข็งแรงดีและก็พอจะมีความรู้อยู่บ้างแต่เพราะเ้ามันจน จากที่ข้าเห็นสภาพของเ้าแล้ว เ้าคงไม่มีเงินออกมาให้ข้าเกินสองร้อยตำลึงหรอกเว้นเสียแต่ว่าจะมีใครให้รางวัลแก่เ้า”
“คงจะมีคุณชายบางตระกูลที่รู้สึกว่าคนอย่างเ้ามีความบ้าระห่ำจึงเก็บไว้ใกล้ตัวเพื่อเป็ของเล่นสนุกไปวัน ๆ ถ้าเ้าคิดจะขายตัวเองด้วยความบ้าระห่ำนี้ละก็ข้าจะอนุญาตให้เ้าทำตัวแบบนี้ที่โรงจวี้ฉ่างได้...กลัวแต่ว่าเ้านายของเ้าจะไม่ถือหางเ้าอีกแล้วน่ะสิข้าจะให้เกียรติและรักษามารยาทกับเ้านายของเ้าดังนั้นเ้ากลับไปนั่งในที่ของเ้าซะดี ๆ จะจ่ายเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงนั้นให้กับข้างั้นหรือ?ถ้าเ้ามีปัญญาจ่ายได้เมื่อไหร่ ข้าจะยอมเป็อานม้าให้กับเ้าเลย”
ชายชราหนวดขาวเดิมทีเป็คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมากคนหนึ่งถ้าเป็เมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางปล่อยให้เด็กยากจนซอมซ่อมาทำท่าทางอวดเบ่งต่อหน้าแเื่แบบนี้เด็ดขาดแต่เป็เพราะคำพูดของอันเจิงเมื่อครู่ เขาสามารถทำให้ที่นี่เสียหายถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงในพริบตาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเชียวนะ เงินจำนวนนี้สามารถซื้อชีวิตของคนได้ตั้งกี่คนกัน?
“ท่านพูดจริงใช่หรือไม่?”
อันเจิงเอ่ยถามพลางยิ้ม “มีคนเคยพูดไว้ว่าคนที่มีประสบการณ์ย่อมสามารถนำทางคนที่เป็มือใหม่ได้ ข้าจะหาเงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงมาให้ท่านถ้าข้าทำได้ ท่านต้องเป็อานม้าให้ข้าขี่จนไปถึงประตูบ้าน”
อันเจิงเดินไปตรงจุดที่มีการตัดหินหยกแตงกวาและมีคนจ่ายเงินมาแล้วถึงสองแสนตำลึงเพื่อตัดหินนั่น แต่ว่ากลับมีเพียงหยกแห่งิญญาขนาดเท่าเมล็ดลูกท้ออยู่ภายในส่วนหญิงสาวที่มาตัดหินนั้นก็มีฝีมือการใช้มีดที่ไม่ธรรมดา แต่ละชิ้นที่บรรจงตัดออกมาเหมือนกับกำลังหั่นเป็ดย่างอย่างไรอย่างนั้นในตอนนี้เศษหินยังอยู่เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ไม่มีการนำออกไป
อันเจิงเดินไปถึง นั่งลงมองเศษหินเ่าั้แล้วเก็บมันขึ้นมาก้อนหนึ่งหลังจากนั้นเขาเอาหินก้อนที่เก็บมานั้นเดินตรงไปที่ชายชราหนวดขาว “ของสิ่งนี้ ถ้าท่านไม่สามารถขายมันได้ถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงวันนี้ข้าจะให้ท่านเป็อานม้าให้กับข้า แต่ถ้าท่านขายมันได้เกินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงแล้วละก็ข้าจะไม่ขี่ท่านกลับบ้าน ท่านเพียงให้เนื้องอกงูนั้นแก่ข้าก็พอหลังจากนั้นก็พูดกับข้าอย่างนอบน้อมว่า ท่านอันข้าผิดไปแล้ว”
ชายชราหนวดขาวโกรธมากแต่กลับหัวเราะออกมา “เ้ามันบ้าไปแล้ว!”
อันเจิงไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย รีบก้าวขึ้นไปบนเวทีประมูลแล้วเอาเศษหินที่อยู่ในมือออกมา“มีท่านใดรู้จักของสิ่งนี้บ้างหรือไม่? แล้วมีใครรู้หรือไม่ว่าลวดลายสีแดงบนหินก้อนนี้คืออะไร?”
คนส่วนใหญ่ยืนขึ้นแล้วล้อมวงกันอยู่ข้างหน้า พร้อมกับเพ่งมองตามที่อันเจิงพูดไว้พวกเขามองเห็นเส้นสีแดงเป็ลวดลายคล้ายเส้นผมบนหินก้อนนั้น ในหมู่คนที่มาเข้าร่วมประมูลไม่มีใครสักคนที่รู้เกี่ยวกับของสิ่งนี้แม้พวกเขาจะเคยเห็นอะไรต่อมิอะไรมามากมาย แต่ก็ไม่มีใครดูออกแม้แต่คนเดียวสีหน้าของทุกคนเริ่มเปลี่ยนไป
“รากแห่งิญญา?รากแห่งิญญาใช่หรือไม่?”
อันเจิงมองไปที่ชายชราหนวดขาวแวบหนึ่งแล้วโบกไม้โบกมือพลางเอ่ย “ลูกค้าท่านนี้ช่างมีสายตาที่แหลมคมยิ่งนักแต่ว่าท่านพูดผิดไปเล็กน้อย นี่ไม่ใช่รากแห่งิญญาของแท้ แต่มันเป็เพียงกลิ่นอายของรากแห่งิญญาเท่านั้น...ทุกท่านรู้หรือยังว่าทำไมหินหยกแตงกวานั่นถึงมีหยกแห่งิญญาก้อนเล็กนิดเดียวเพราะว่ามันมีตำหนิจริงหรือ? ที่จริงแล้วมันมาจากความโลภ...ซึ่งเป็กิเลสอย่างหนึ่งของมนุษย์มารวมตัวกันนับพันๆ ปีจนกลายมาเป็หยกแห่งิญญา ซึ่งอาจจะยังเป็ของที่ไม่ดีมากนักแต่ถ้าเป็หนึ่งแสนปีมันก็จะกลายเป็ของที่เริ่มมีราคา ถ้าสามแสนปีของชิ้นนี้ก็จะกลายเป็ของล้ำค่าขึ้นมาในทันที”
“หยกแห่งิญญาในหินหยกแตงกวานั้นในตอนแรกมันอาจจะเป็หยกที่แย่แต่ก็ยังพอมีราคาอยู่บ้าง ทุกท่านก็รู้ว่า หยกแห่งิญญาระดับกลางจะมีจิติญญาของตัวเองแต่ถ้าเป็หยกแห่งิญญาระดับสูงละก็ มันจะกลายเป็รูปร่างคนและมีสติปัญญาเป็ของตัวเองแล้วถ้าหยกแห่งิญญานี้เป็ของล้ำค่าเล่า มันคงจะน่ากลัวกว่าสัตว์ร้ายใด ๆ ในโลก ถึงหินหยกแตงกวานี้จะมีหยกแห่งิญญาระดับกลางๆ หลังจากที่แปรเปลี่ยนเป็ความฉลาด ทุกคนก็คงอยากให้หยกนี้มีความสามารถที่มากขึ้นกว่าเดิมและคงอยากให้มันกลายเป็สิ่งของล้ำค่าโดยเร็ว ดังนั้นเราคงต้องใช้รากแห่งิญญาเพื่อดึงดูดแร่ธาตุชั้นยอดแล้วทำให้มันเปลี่ยนรูปร่างเป็คน”
“แต่อย่างไรมันก็เป็เพียงหยกแห่งิญญาระดับกลางดังนั้นหลังจากที่กลิ่นอายของมันได้กลายเป็รากแห่งิญญาแล้ว หยกแห่งิญญาก้อนนี้จึงมีพลังลดลงรากแห่งิญญาก็จะสูญเสียพลังของตนเองไปเช่นกัน พลังนี้จะลดลงอย่างช้า ๆถ้าเป็แบบนี้ต่อไป รากแห่งิญญาจะใช้การไม่ได้อีก แต่ถ้าใช้ได้อย่างถูกต้อง เช่นใช้หลอมเป็ยาอายุวัฒนะสักเม็ดก็คงไม่มีปัญหาดังนั้นข้าอยากถามพวกท่านสักประโยค...หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงสามารถต่ออายุขัยได้หนึ่งชีวิตพวกท่านว่าคุ้มค่าหรือไม่?”
บนชั้นสอง ทุกคนล้วนออกมาจากห้องส่วนตัวยืนอยู่ที่หน้าระเบียง มือจับราวแน่นพลางมองไปที่อันเจิงสำหรับพวกเขาไม่คิดว่ายาอายุวัฒนะเป็สิ่งของล้ำค่า อันเจิงต่างหากที่ล้ำค่า
เฉินเซ่าป๋ายรู้สึกว่าตัวเองมีของล้ำค่าอยู่ในมือแล้วอันเจิงคนนี้มีความเด็ดขาดควรค่าแก่การมาเป็สมุนของเขานัก!
“ข้าขอประมูลหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง”
ชายร่างใหญ่หันหน้าไปทางอันเจิงแล้วะโขึ้น“คนในยุทธภพคงหลีกเลี่ยงเื่การต่อสู้ไม่ได้ ยาอายุวัฒนะเป็สิ่งที่สามารถต่ออายุขัยได้และชีวิตของข้าคงไม่ได้มีค่าแค่เงินหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงแน่ ต่อให้ได้หนึ่งล้านห้าแสนตำลึงข้าก็ไม่ขายให้ใคร เพราะว่าข้าได้ซื้อมันไปแล้ว”
“ข้าประมูลหนึ่งแสนหกหมื่นตำลึง”
“ข้าประมูลหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นตำลึง”
“ข้าประมูลสองแสนตำลึง”
อันเจิงได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น จึงหันหน้าไปมองแล้วพบว่าคนที่ซื้อหินหยกแตงกวาไปในราคาสองแสนตำลึงได้กลับมาอีกครั้ง...
ดูท่าทางชายคนนี้คงจะร่ำรวยมากหลังจากนี้ในยุทธภพคงต้องเรียกเขาว่าท่านสองแสนตำลึง
“ข้าให้ท่าน”
อันเจิงให้เศษหินแก่ชายคนนั้น “ท่านขาดทุนนะที่ได้หินนี้ไปในราคาสองแสนตำลึงต้องเป็ราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงถึงจะคุ้มค่า”
ชายคนนั้นมึนงงไปชั่วขณะ “หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงหรือ?”
“ใช่ หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงข้าพูดว่ามันมีค่าแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง มันก็ต้องมีค่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงถึงแม้จะมีเงินมากกว่านี้ก็ไม่คุ้ม ของสิ่งนี้เป็ของที่ข้าเก็บมาได้ข้าจะให้เป็สินน้ำใจแก่โรงจวี้ฉ่าง ถึงแม้ว่าโรงจวี้ฉ่างจะไม่เคยให้เกียรติข้าเลยแม้แต่น้อย?”
เขาหันหน้าไปมองที่ชายชราหนวดขาวแล้วพบว่าหน้าของฝ่ายตรงข้ามนั้นอัปลักษณ์ผิดรูปผิดร่าง สีหน้ายิ่งดูแย่ไปกันใหญ่ ชายชราหนวดขาวเป็ประมุขของโรงจวี้ฉ่างมาเป็เวลากว่าสามสิบปีพบเจอสิ่งของดี ๆ มาก็มาก แต่ทำไมถึงมองข้ามขยะชิ้นนั้นไปได้ ข้างในนั้นมีสิ่งของราคาหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเชียวหรือ? เขามองตอบอันเจิงที่กำลังมองมาที่เขาสีหน้าขณะนั้นมีอารมณ์ที่ยากจะแสดงออกมา ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดี
“ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงก็แล้วกัน”
ขณะนั้นมีหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งดูไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่ นางสวมกระโปรงสีม่วงรูปร่างสวยงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ บนใบหน้าของนางมีผ้าคลุมปิดหน้าเอาไว้ทำให้เห็นแค่ดวงตาทั้งสองข้าง กระโปรงกับเสื้อของนางแยกส่วนออกจากกัน ตัวเสื้อสั้นมากเผยให้เห็นส่วนเอวโค้งเว้างดงาม การแต่งตัวของนางทำให้ดวงตาบุรุษพร่าพราย ท่าทางของนางขณะที่เดินออกมานั้นราวกับการเลื้อยของงู
“ท่านออกมาได้อย่างไร”
ชายชราหนวดขาวรีบร้อนทำความเคารพทันที
หญิงสาวผู้นั้นพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ถ้าข้าไม่ออกมาเ้าคงทำให้หน้าตาของโรงจวี้ฉ่างเสียหายไปมากกว่านี้สายตาของคนที่เป็ผู้นำการประมูลมาสามสิบเจ็ดปีนึกไม่ถึงเลยว่าจะสู้เด็กอายุสิบขวบไม่ได้ เ้าลองคิดดูสิว่า ต่อไปนี้จะทำมาหากินกันอย่างไรก่อนที่เ้าจะหักเงินคนที่ตรวจสอบผลึกไข่มุกหนึ่งปีนั้นข้าขอหักเงินเ้าก่อนสักห้าปีเป็อย่างไร เ้ามีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?”
“ข้าน้อยมิกล้า” ชายชราหนวดขาวไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยอะไรออกมา
หญิงสาวกระโปรงม่วงเดินไปข้าง ๆ อันเจิงพร้อมกับหรี่ตายิ้มราวกับเป็ปีศาจ “เด็กน้อย...สายตาของเ้าช่างแหลมคมยิ่งนัก ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับเด็กยากจนทั่วไปเ้าน่าจะผ่านเื่ยากลำบากอะไรมาอย่างนั้นสินะ? ถ้าอย่างนั้นเ้ามาทำงานที่โรงจวี้ฉ่างเถอะภายในสองปีเ้าน่าจะได้เป็ถึงประมุขแห่งโรงประมูลเชียว เ้าคิดเห็นเป็อย่างไร”
อันเจิงชี้ไปที่ชายชราหนวดขาว“ภายในสองปีข้าจะมาแทนที่เขาหรือ ข้าไม่ทำเด็ดขาด อย่างไรข้าก็ไม่ทำ ดูเหมือนท่านมีอำนาจเด็ดขาดยิ่งกว่าเขาเช่นนั้นก็นำของของข้ามามอบให้ข้าเถอะ”
อันเจิงยื่นมือออกไป
หญิงสาวกระโปรงม่วงลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเดินไปนำผลึกไข่มุกสีขาวมามอบให้อันเจิงทันที
“เด็กน้อย ความรู้ความสามารถของเ้าถ้าอยู่ข้างนอกก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร เ้าอย่าเพิ่งดูถูกตำแหน่งนี้ไป ในภายหน้าถ้าเ้ามีผลงานที่ยอดเยี่ยมข้าจะให้เ้าเป็ผู้จัดการใหญ่ของโรงจวี้ฉ่างก็ย่อมได้”
“ต่ำไป”
อันเจิงรับเอาผลึกไข่มุกสีขาวนั้นมาหลังจากนั้นก็เอามือลูบ ๆ คลำ ๆ เสื้อผ้าของเขา “ผู้จัดการใหญ่เป็ตำแหน่งที่ต่ำไปข้ารู้สึกว่ายังมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้อีกไม่ใช่หรือ?”
คำพูดนี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคำพูดของเด็กอายุสิบขวบ ทั้งยังทำให้หญิงสาวกระโปรงม่วงนึกโกรธขึ้นมาแล้วแต่เมื่อนางมองเห็นหน้าตาที่ดูขึงขังจริงจังของอันเจิงก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้“เ้าเด็กน้อย รอให้เ้าเติบโตเป็ผู้ใหญ่เสียก่อน ถึงตอนนั้นข้าก็อายุมากแล้วล่ะ ข้าเข้าใจดีว่าทุกคนย่อมมีปณิธานของตัวเองดังนั้นข้าไม่บีบบังคับเ้าหรอก แต่ถ้าเ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่ ค่อยมาหาข้าก็แล้วกัน”
อันเจิงพยักหน้า แต่ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
หญิงสาวกระโปรงม่วงจึงถามขึ้น “ทำไมหรือเ้ายังมีเื่อื่นอีกหรือไม่?”
อันเจิงชี้ไปที่ชายชราหนวดขาว “เขายังติดค้างคำพูดข้าอยู่”
ชายชราหนวดขาวสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีเขามองหน้าอันเจิงอย่างโกรธแค้น หญิงสาวกระโปรงม่วงก้มตัวลงมองมาที่อันเจิงนางรู้สึกว่าเ้าเด็กน้อยคนนี้น่าสนใจเหลือเกิน อันเจิงเงยหน้าขึ้นมองตอนที่นางก้มลงดูเขาทำให้เขาเห็นถึงร่องปทุมถันของนาง
หญิงสาวกระโปรงม่วงปรายตามองไปยังชายชราหนวดขาว“อย่าได้ทำให้โรงจวี้ฉ่างต้องเสียหน้า”
ชายชราหนวดขาวโกรธมาก ปลายเท้าจิกลงไปที่พื้นแน่นเขากัดฟันพูดออกมา “ท่านอัน ข้าผิดไปแล้ว”
อันเจิงยักไหล่ “ถึงแม้ท่าทางของท่านจะไม่เหมาะสมแต่ว่าท่านก็เป็ของท่านแบบนี้ และข้าก็ไม่ใช่คนที่จะไม่ให้โอกาสคน”
ในตอนนี้อันเจิงกลายเป็คนมีหน้ามีตาในโรงจวี้ฉ่าง เขาเดินกลับไปยังชั้นสองอย่างสง่าผ่าเผยเฉินเซ่าป๋ายมองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปราวกับหญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น อันเจิงถึงกับเดินถอยหลังก้าวหนึ่ง“อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้าเป็ผู้ชายนะ”
เฉินเซ่าป๋ายตอบกลับทันที“ข้าก็ไม่อาจจะเสียหน้าได้ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปคำพูดของข้าถือเป็ที่สิ้นสุดเ้าจงจำไว้ เ้าไม่ใช่ลูกสมุนแต่คือผู้ช่วยของข้าั้แ่วันนี้เป็ต้นไปเ้าจะเป็ส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน”
อันเจิงนั่งลงแล้วอุ้มแมวน้อยขึ้นมาเขาเอาผลึกไข่มุกเม็ดนั้นมาบดจนเป็ผงละเอียดแล้วป้อนให้เ้าแมวกินเป็อาหาร “วันนี้ข้าเอาของสิ่งนี้ให้เ้ากินแล้วต่อไปข้าก็กลายเป็คนจน ๆ เหมือนเดิม แต่เ้าจะทิ้งข้าไปไม่ได้แล้วนะ”
แมวตัวนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วไปขดตัวอยู่ในอกเสื้อของอันเจิง
อันเจิงพลันยิ้มออกมา “เ้านี่ช่างจิตใจดีดียิ่งกว่าคนอื่นเสียอีก”
เฉินเซ่าป๋ายถามขึ้นอย่างสงสัย “อันเจิงนี่เป็เนื้องอกของงูจริง ๆ หรือ?”
อันเจิงส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก จริง ๆแล้วมันเป็ผลึกแกนอสูรระดับต่ำ”
เฉินเซ่าป๋ายมองด้วยสายตาปลง ๆ “นี่เ้า...หลอกประมุขของโรงจวี้ฉ่างได้เชียวหรือนี่?”
อันเจิงพูดในใจว่า แม้จะเป็การหลอกลวงแต่ของชิ้นนี้ไม่ใช่ผลึกแกนอสูรระดับต่ำหรอก ที่จริงแล้วมันคือผลึกแกนอสูรระดับกลางมีเงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงก็หาซื้อไม่ได้