ค่ำคืนผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะตื่นขึ้นในตอนเช้า
หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เข้าเกมในเวลาเดียวกัน ในสุสานค่อนข้างเงียบ และผีดิบทองแดงก็ยังไม่กลับมาเกิดใหม่แม้ว่าจะมีผีดิบทั่วไปอยู่ในทางเดินสุสาน พวกมันเกิดใหม่ขึ้นมาเป็จำนวนมากแต่พวกมันก็ยังกลัวในพลังอำนาจของผีดิบทองแดง ทำให้มันไม่กล้าเข้ามาในสุสานดังนั้นจึงทำได้เพียงะโไปมาโดยรอบของสุสาน ดูเหมือนว่าโลกนี้แม้แต่เป็โลกของผีดิบเองก็ยังมีความไม่ยุติธรรมในเื่ของสถานะหลงเหลืออยู่ด้วย
หลังจากที่ได้พักผ่อนหนึ่งคืนฉินโจ้วก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด พลังชีวิตและพลังจิตนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็อย่างมากหนานกงเสี่ยวเองสีหน้าก็ดูสดชื่นเปล่งปลั่งราวกับพระอาทิตย์ฉายแสงในยามเช้า
ที่ชั้นสองของสุสานก็ยังคงเต็มไปด้วยผีดิบแต่มีระดับที่สูงขึ้นมากกว่าชั้นแรก และความแข็งแกร่งยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสังเกตได้จากความว่องไวและความสูงในการะโซึ่งไกลและสูงกว่าเดิมมาก
ผีดิบระดับสูง: ระดับเลเวล 54 พลังชีวิต 45,000 หน่วยร่างกายแข็งราวกับเหล็ก คล่องแคล่วว่องไวไม่ต่างจากลม ชอบดูดเื โดยเฉพาะเืมนุษย์ดูดซับพลังแห่งความชั่วร้ายจากใต้ดิน ทำให้ร่างกายค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยมีความต้านทานเวทแห่งแสงได้เพียงเล็กน้อย สามารถเคลื่อนที่ในเวลากลางวันได้แต่ต้องหลีกเลี่ยง่เวลาเที่ยงวัน
ถึงแม้ว่าผีดิบระดับสูงนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งแต่ฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยวก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีฝีมือ ยิ่งไปกว่านั้นฉินโจ้วก็เพิ่งจะเพิ่มระดับส่วนความแข็งแกร่งของอัศวินปฐีก็ค่อยๆ แกร่งขึ้นเรื่อยๆพวกมันต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทักษะ ''อ่อนแรง''นั้นเลเวลเต็มก็ไม่ต่างจากเครื่องจักรสังหาร เปรียบได้ราวกับปืนกลผีดิบระดับสูงที่ถูกเวทอ่อนแรงเข้าไป ก็ไม่ต่างจากเสือที่ปราศจากเขี้ยวเล็บกลายเป็แกะที่รอถูกเชือด
ฉินโจ้วลองรวบรวมเวทอ่อนแรงสิบสายก่อนโจมตีใส่ผีดิบระดับสูงพร้อมกัน ผลก็คือพลังโจมตีของผีดิบลดลงจาก 800 เหลือแค่ 10 ทำให้แม้แต่พลังป้องกันของอัศวินปฐีนั้นก็ยากที่จะทำลายลงได้พละกำลังของทักษะอ่อนแรงที่เลเวลสูงสุดเมื่อแสดงออกมาให้เห็นค่อนข้างธรรมดาคุณก็รู้... นี่มันมอนสเตอร์ระดับ 54
หนึ่งวันผ่านไประดับของฉินโจ้วก็เพิ่มเป็เลเวล 53
หลังจากที่เพิ่มระดับแล้วความเร็วในการจัดการกับมอนสเตอร์นั้นเร็วขึ้นและยังจัดการกับมอนสเตอร์ตลอดทางโดยไม่มีการหยุดพัก แต่เมื่อเทียบกับสุสานชั้นแรกแล้วทางเดินในชั้นที่สองนี้ค่อนข้างสั้นกว่ามาก ผ่านไปสามวันทั้งคู่ก็จัดการกับผีดิบระดับสูงตัวสุดท้ายลงก่อนจะเข้าไปในห้องสุสาน
เมื่อเทียบกับโลงศพที่ชั้นหนึ่งห้องสุสานของชั้นที่สองนั้นเล็กกว่ามาก แต่ยังคงเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัสความยาวด้านละประมาณ 40 เมตร มีแท่นหินอยู่กึ่งกลางบนแท่นหินก็มีโลงศพที่ดูน่ากลัวคู่หนึ่ง ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ โลงศพของที่ชั้นหนึ่งนั้นทำด้วยไม้ส่วนของที่ชั้นสองนี้เป็โลงหินแข็ง และดูเหมือนว่าจะมีสถานะที่สูงกว่า
เมื่อเทียบกับโลงศพที่ชั้นแรกแล้วหลุมศพชั้นที่สองนี้จะมีความประณีตมากกว่า เพราะมีภาพวาดอยู่บนกำแพงสุสานเป็จำนวนมากซึ่งบอกเล่าเื่ราวเกี่ยวกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ได้ทำไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตลงจึงพอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้ที่อยู่ในโลงนั้นคงจะเป็แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่เพราะมีภาพวาดการต่อสู้ในสนามรบเป็จำนวนมาก ซึ่งมีรายละเอียดอธิบายั้แ่ต้นจนจบ
ภาพที่วาดนั้นใช้ลายเส้นที่เรียบง่ายหลังจากนั้นลายเส้นก็เริ่มเปลี่ยนไป แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศที่สิ้นหวังและขมขื่นของาที่มองว่าชีวิตนั้นไม่ต่างจากสิ่งที่ไร้ค่า ทั้งภาพนั้นถูกระบายด้วยสีเทาขาวมีแม่น้ำสายใหญ่สีแดงสดอยู่เพียงสายเดียว สื่อให้เห็นถึงการหลั่งเืเป็จำนวนมากจนกลายเป็แม่น้ำสีแดงสดนั้นให้ความรู้สึกถึงความรุนแรงจนน่าตกตะลึง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตและความน่าสะพรึงกลัวแห่งา
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนก็ไม่ได้เป็ทั้งนักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์พวกเขาจึงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ในสายตาของพวกเขาไม่เห็นว่าภาพวาดเ่าั้จะมีค่าเลยแม้แต่น้อยพวกเขากังวลเพียงแค่ว่าหลังจากจัดการกับศพที่นอนอยู่ในโลงแล้วจะดรอปอะไรออกมาบ้างต่างหาก
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาฉินโจ้วจึงเรียกอัศวินปฐีออกมาด้านหน้าเพื่อทำการทดสอบ ในขณะที่เหลืออีกห้าตัวนั้นคอยระวังอยู่ใกล้ๆเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
สามก้าว...สองก้าว... หนึ่งก้าว...
ก่อนที่อัศวินปฐีจะเริ่มพุ่งตัวเข้าไปโลงศพหินก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ซึ่งเป็สิ่งที่ฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยวไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเคลื่อนไหวมาทางนี้ โลงศพหินพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนก้อนหินแต่ก็เคลื่อนที่ได้รวดเร็วราวกับดินถล่ม ทั้งรวดเร็วและว่องไวยิ่งนักเสียงลมที่วูบผ่านก็ทำให้รู้สึกถึงความรุนแรงและหนักหน่วงได้อย่างชัดเจน
ตูมม...
โลงศพพุ่งกระแทกเข้ากับหอกดำยาวจนเกิดเสียงดังสนั่นห้องหินถึงกับสั่นะเื ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว อัศวินปฐีนั้นหายไปดูเหมือนจะกระเด็นปลิวออกจากม้าไปก่อนจะกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น หอกตกกระเด็นไปอีกทางโลงหินยังคงพุ่งต่อไปก่อนจะชนเข้ากับร่างของม้าโครงกระดูกกระแทกจนม้าโครงกระดูกกลายเป็ชิ้นๆ
ฉินโจ้วถึงกับตาเบิกกว้างไม่จริงใช่ไหมเนี่ย มันจะแข็งแกร่งเกินไปแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่เห็นอัศวินปฐีทำขายหน้าเช่นนี้ ศัตรูยังไม่ทันโผล่ออกมาให้เห็นเลยเขาก็สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปเสียแล้ว
ฉินโจ้วค่อนข้างประหลาดใจแต่เขาก็ตอบโต้กลับไปอย่างรวดเร็ว เขารีบเรียกอัศวินปฐีที่สูญเสียม้ากลับ และสั่งให้อัศวินปฐีอีกสองตัวโจมตีใส่ทันทีในเมื่อหนึ่งตัวสู้ไม่ได้ อย่างนั้นก็สองตัว ถ้าสองตัวยังไม่ไหวอีกก็เอาไปสี่ตัวเลยเป็ไง มาดูกันว่าโลงหินมันจะแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียวเขาเตรียมแผนสำรองไว้ในใจแล้ว ว่าจะใช้พวกมากเข้าว่า ยังไงก็ไม่แพ้แน่
"จะเป็มอนสเตอร์แบบไหนกันนะ"หนานกงเสี่ยวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย การลากโลงศพไว้ใช้ต่อสู้นี่เป็สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่คิดกัน ก่อนจะถือพิณค้างไว้เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะโจมตีอย่างไรเพราะเนื่องจากเสียงพิณนั้นใช้ไม่ได้ผลกับโลงหิน
ตูมม...
โลงศพหินนั้นเกรี้ยวกราดยิ่งนักหลังจากชนม้าโครงกระดูกไปแล้วก็ยังไม่พอใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่ฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยวในทันที เมื่อพบอัศวินปฐีกลางทางก็ไม่คิดจะหลบจึงพุ่งเข้าชนอย่างจัง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอัศวินปฐีสองตัวถูกผลักให้ถอยหลังกลับไปสามก้าวโครงกระดูกสั่นะเืพร้อมกับเริ่มมีรอยแตกร้าวแต่ก็ยังดีที่ไม่ถูกกระแทกจนปลิวออกไปเหมือนก่อนหน้านี้
โลงหินลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะส่งเสียงหวีดแหลมเล็กออกมา ดูทรงพลังยิ่งนัก
ในที่สุดอัศวินปฐีอีกสองตัวก็รีบพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วเวลานี้อัศวินปฐีทั้งสี่ต่างก็ยืนประจันหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันเสี้ยววินาทีที่หอกและโลงหินกระแทกเข้าใส่กัน ฉินโจ้วก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรีบพุ่งออกไปทันทีแสงสีทองส่องประกายขึ้นบนฝ่ามือ แสงสว่างพร่างพราวขึ้นในห้องหินที่มืดสลัว
"ฝ่ามือวชิระเทวราช"
บรึมม!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมีแรงสั่นะเืไปทั้งสุสานและเกิดเสียงอื้ออึงจนทำให้หูดับไปชั่วขณะหนึ่งพลังงานที่รุนแรงะเิขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะแผ่พุ่งออกไปทั่วทุกทิศทางภายในห้องเต็มไปด้วยฝุ่นผงม้วนตลบ ทัศนวิสัยถูกปิดกั้น หนานกงเสี่ยวก็แทบจะยืนไม่อยู่เมื่อเกิดการะเิของพลังงานขึ้นแรงสั่นะเืทำให้เธอถึงกับต้องถอยหลังไปหลายก้าว หลังจากที่ฝุ่นผงจางลงและรู้สึกหายใจได้คล่องขึ้นภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เธอถึงกับใอยู่ไม่น้อย
หลังจากที่ฝ่ามือกระแทกถูกโลงศพหินโลงหินก็แตกออกเป็ชิ้นๆ ก่อนจะกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
ฉินโจ้วก็กระเด็นถอยหลังด้วยแรงอัดที่รุนแรงก่อนจะม้วนตัวกลางอากาศอยู่หลายตลบเพื่อลดแรงปะทะ และกลับสู่ตำแหน่งเดิมโดยไม่ได้รับาเ็แต่อย่างใด
อัศวินปฐีนั้นโชคไม่ดี แขนทั้งสองข้างแตกหักทำให้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสิ้นเชิงส่วนอีกสองตัวก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวหลายแห่ง เพราะอยู่ไม่ไกลจากแรงะเินักแต่ยังโชคดีที่ไม่ถึงตาย ฉินโจ้วจึงเรียกพวกมันกลับก่อนจะส่งตัวใหม่ลงไปแทน
หลังจากที่โลงหินแตกในที่สุดมอนสเตอร์ที่อยู่ในโลงก็ปรากฏร่างที่แท้จริงออกมาเป็ผีดิบที่ดูค่อนข้างทรงพลังมาก ไม่เหมือนกับผีดิบตัวอื่นๆ เพราะมีอาวุธครบมือ สวมชุดเกราะ สวมหน้ากากโลหะสีดำเผยให้เห็นดวงตาสีทองแดง รูปร่างสูงใหญ่ ริมฝีปากใหญ่ โดยรวมดูดียกเว้นส่วนที่เป็เขี้ยวทั้งสี่ที่งอกออกมาทำให้ดูน่าเกลียดและน่ากลัว
ชุดเกราะสีดำแดงซึ่งไม่รู้ว่าดื่มเืผู้คนมามากมายเท่าใด ถึงแม้ว่าผีดิบนั้นไม่ได้ถืออาวุธใดๆแต่ก็เต็มไปด้วยรังสีแห่งความอำมหิตที่ค่อนข้างโเี้เฉียบคมเสียยิ่งกว่าอาวุธเวทชิ้นใดๆ
าาซากศพพันปี: ระดับ 56 พลังชีวิต 100,000 หน่วยในอดีตเคยเป็นายพลผู้กล้าหาญ ในชีวิตของเขาได้สังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนร่างกายถูกปกป้องด้วยิญญาชั่วร้าย เขาเรียนรู้วิถีการฆ่าขั้นสุดยอดสามารถปลดปล่อยเขตแดนแห่งความตายที่ไร้รูปร่างได้ ซึ่งรุนแรงและอันตรายมากเนื่องจากได้ฝึกฝนมาเป็เวลาพันปี จึงทำให้เข้าใจทักษะอย่างลึกซึ้งสามารถเดินทางในเวลากลางวันได้ โดยไม่เกรงกลัวความร้อนของแสงอาทิตย์ที่แผดเผา
จึงไม่แปลกใจเลยที่มอนสเตอร์ตัวนี้จะมีพลังมากมายเช่นนี้เนื่องจากเป็ถึงาาแห่งซากศพ และยังเป็าาที่มีอายุพันปีอีกด้วยหลังจากที่ฉินโจ้วอ่านคุณสมบัติแล้ว ทั้งสองคนก็เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นถ้าเป็มอนสเตอร์ที่มีคำว่า ''าา'' ขึ้นต้นก็ต้องทรงพลังมากแน่นอน
าาซากศพพันปีนั้นได้สูญเสียจิตใจไปนานแล้วจึงปราศจากความกลัวใดๆหลังจากที่ร่อนลงบนพื้นแล้ว เขาก็ส่งเสียงหวีดแหลมเล็กขึ้น ราวกับจะแทงทะลุทุกสิ่งก่อนที่จะปลดปล่อยพลังไร้รูปร่างแผ่รัศมีออกไปรอบตัว ทำให้รู้สึกว่าาาซากศพพันปีนั้นสูงส่งจิตใจเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ และพยายามจะเจาะทะลวงผ่านห้องหินออกไป
ความแข็งแกร่งของพลังนั้นเฉียบคมเป็อย่างยิ่งคล้ายกับเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนปักเข้าใส่ร่างกายเหมือนกับลมในทะเลทรายที่สามารถเจาะทะลวงก้อนหินได้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีอันตรายแต่ในความเป็จริงนั้นทำให้ก้อนหินถึงกับกลายเป็เม็ดทรายเล็กละเอียดจำนวนมากได้
"ดูสิ...พลังชีวิตของพวกเรากำลังลดลง" หนานกงเสี่ยวร้องขึ้นด้วยความใ
ฉินโจ้วเงยหน้าขึ้นมองเขาและหนานกงเสี่ยวไม่รู้เลยว่ามีตัวเลขความเสียหายขึ้น -510, -510, -510, -510 หลังจากนั้นก็หันไปมองดูอัศวินปฐีที่อยู่ใกล้ยิ่งกว่าตัวเลขความเสียหายเลยยิ่งมากขึ้น -800, -800, -800 ก่อนจะะโขึ้นว่า"นี่เป็เขตแดนแห่งความตาย มันเป็ทักษะพิเศษของาาซากศพพันปี เร็วเข้า... รีบออกห่างจากสุสาน"
หลังจากที่ทั้งคู่ได้ต่อสู้ร่วมกันมาเป็เวลายาวนานทำให้ทั้งสองต่างเข้าใจกันและกันเป็อย่างดีหนานกงเสี่ยวจึงรีบกลับมาที่ทางเดินของสุสานดูเหมือนว่าความเสียหายจากเขตแดนแห่งความตายจะหายไปแล้ว มันคงจะมีขอบเขตในการโจมตีเวลานี้พลังชีวิตเหลืออยู่เพียงแค่เศษเสี้ยว ถ้าช้าไปอีกเพียงวินาทีเดียวก็คงต้องกลับจุดเซฟเป็แน่เธอรู้สึกว่ามีเหงื่อเย็นไหลรินออกมาทั่วร่างก่อนจะรีบกลืนยาแดงเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิต
ฉินโจ้วตามหนานกงเสี่ยวออกมาก่อนจะกลับไปที่ทางเดินสุสานเขาเฝ้ามองพลังชีวิตของอัศวินปฐีที่กำลังลดลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรเขตแดนแห่งความตายไม่เพียงสามารถสังหารผู้คนได้ แต่ที่ทรงพลังที่สุดก็คือสามารถลดความว่องไวและสติสัมปชัญญะของผู้คนลงได้เดิมทีความเร็วของอัศวินปฐีและาาซากศพพันปีใกล้เคียงกันแต่จากการถูกโจมตีด้วยเขตแดนแห่งความตาย ทำให้อัศวินปฐีนั้นความเร็วลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถที่จะต่อกรกับซากศพพันปีได้อีกต่อไปตอนนี้คงทำได้เพียงแค่อดทนรอเท่านั้น
คลื่นการโจมตีของเขตแดนแห่งความตายดำเนินอยู่สองนาทีทำให้พลังชีวิตของอัศวินปฐีลดลงไป 2 ใน 3 ส่วน ภายในสองวินาที ซึ่งแน่นอนว่ามันกำลังจะตายแต่หลังจากที่เขตแดนแห่งความตายหยุดลง อัศวินปฐีก็กลับฟื้นคืนสติ ก่อนจะโจมตีกลับอย่างรุนแรงใส่าาซากศพพันปีทันทีทำให้มันไม่สามารถไล่ตามเพื่อโจมตีฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยวได้
"หน่วง"
กระแสลมหมุนวนอย่างเงียบเชียบก่อนจะโจมตีเข้าใส่าาซากศพพันปีไม่คิดว่าาาซากศพพันปีนั้นยังไม่ทันรู้ตัว มันยังคงโจมตีอย่างดุเดือดและจัดการกับอัศวินปฐีที่กำลังจะหนี
"อ่อนแรง","อ่อนแรง", "อ่อนแรง"...
ฉินโจ้วไม่เชื่อในภูตผีว่าจะมีจริงก่อนจะส่งเวทอ่อนแรงเข้าใส่อย่างต่อเนื่องหลังจากที่ปล่อยเวทอ่อนแรงครั้งที่สิบออกไป ก็ดูเหมือนว่าจะได้ผลเล็กน้อยพลังโจมตีของาาซากศพพันปีนั้นลดลงกึ่งหนึ่งาาซากศพพันปีรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ซึ่งสามารถััได้ทันทีว่าตัวการมาจากฉินโจ้วก่อนจะแสยะยิ้มแยกเขี้ยวเข้าใส่ฉินโจ้ว ทำให้เขาถึงกับใจเต้นรัวก่อนจะนำอัศวินปฐีทั้งหกกลับมา หลังจากนั้นพลังงานที่มองไม่เห็นก็ถูกปลดปล่อยออกมารอบด้านและนั่นก็คือ เขตแดนแห่งความตาย
ฉินโจ้วรีบออกจากสุสานก่อนจะกลับไปที่ทางเดินสุสานอีกครั้งไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า าาซากศพพันปีนั้นไม่ยึดติดกับเป้าหมายแต่กลับมุ่งเป้ามาทางเขา ทำให้ฉินโจ้วถึงกับใเพื่อรับประกันความปลอดภัยของหนานกงเสี่ยว เขาถึงกับขบกรามแน่นคงจำเป็ต้องฆ่าทิ้ง ก่อนจะปล่อยเวท ''หน่วง'' ออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่าาซากศพพันปีราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านปะทะใบหน้าซึ่งดูราวกับไม่ส่งผลใดๆ ขึ้นเลยแม้แต่น้อย ดูท่าร่างกายของาาซากศพพันปีจะแข็งแกร่งมากเลยทีเดียวฉินโจ้วคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะย่ำเท้าวิ่งวนรอบห้องสุสาน
โชคยังดีที่ ''ย่ำหิมะไร้รอย'' นั้นอยู่ในระดับสูงแล้วถึงแม้ว่าจะเป็ความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ยังคงรวดเร็วกว่าาาซากศพพันปีอยู่หนึ่งขั้นหลังจากนั้นเขาเริ่มเรียนรู้ทีละน้อยเกี่ยวกับเขตแดนแห่งความตายของาาซากศพพันปีว่ารัศมีในการโจมตีนั้นอยู่ที่สิบเมตร และพลังโจมตีไม่มากนัก แม้ว่าพื้นที่ของทางเดินสุสานจะจำกัดแต่ก็มีความยาวที่ไม่ต่ำกว่า 40 เมตร ซึ่งก็ไม่ถือว่าเล็กเกินไปทำให้ฉินโจ้วมีพื้นที่เพียงพอ แม้ว่าบางครั้งเขาอาจจะเผลอตกอยู่ในเขตแดนแห่งความตายแต่ถ้าไม่ได้อยู่เป็เวลานานก็สามารถประคับประคองชีวิตเอาไว้ได้
ฉินโจ้วนั้นไม่มีความจำเป็ต้องโจมตีเขายังคงยิงเวท ''หน่วง'' ออกไปเรื่อยๆเพราะเขามีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน การจัดการกับาาซากศพพันปีนั้นค่อนข้างใช้เวลาซึ่งเขารอได้ ค่อยๆ ตอดไปทีละเล็กทีละน้อย อย่างไรเสียเวทดีบัฟก็จะแสดงผลได้ดีโดยต้องใช้เวลา่หนึ่งหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง แม้ว่าาาซากศพพันปีจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถทนต่อการสั่งสมของเวทดีบัฟไปได้ ในที่สุดความเร็วจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงและเริ่มช้าลงเรื่อยๆ
ฉินโจ้วเองไม่ใช่ว่าไม่้าโจมตีแต่ก่อนหน้านี้เขาเคยลองส่ง ''หนามกระดูก''ออกไปแล้ว ปรากฏว่าทำความเสียหายได้แค่ -20 นั่นจึงทำให้เขาต้องพับเก็บความคิดนี้ลงน่าเศร้าที่ทักษะการโจมตีพวกภูตผีอย่าง ''ฝ่ามือวชิระเทวราช''นั้นต้องใช้พลังภายในเป็จำนวนมาก ก่อนหน้านี้เขาได้ปล่อยออกไปหนึ่งฝ่ามือแล้วซึ่งเหลือพลังภายในพอที่จะใช้ได้อีกแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้นจึงอยากจะเก็บเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
ผ่านไปสองนาทีฉินโจ้วก็อัญเชิญอัศวินปฐีออกมาโจมตีใส่าาซากศพพันปีทันที และเขาก็ใช้เวลานี้ปล่อยเวทสนับสนุน
แต๊ง...แต๊ง... เสียงพิณดังก้องขึ้น เหมือนสายลมในฤดูไม้ใบผลิพัดผ่านนำพาลมหายใจแห่งชีวิตเข้ามาในห้องสุสานที่ขมุกขมัวแห่งนี้ซึ่งมาจากหนานกงเสี่ยวนั่นเอง ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด จึงกลับเข้ามารวมกลุ่มอีกครั้ง
ภายใต้การร่วมมือกันโจมตีของ ''ทักษะอ่อนแรง'' และเสียงพิณทำให้สถานการณ์ของาาซากศพพันปีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด พลังชีวิตก็เริ่มลดลงอัศวินปฐีเองถึงแม้จะไม่ใช่ตัวหลักในการรับมือ แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ 1: 6 าาซากศพพันปีก็รู้สึกว่าเริ่มอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบอย่างไรก็ตามาาซากศพพันปีก็เป็ถึงบอส ย่อมต้องมีทักษะพิเศษอยู่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปก็ปลดปล่อยเขตแดนแห่งความตายออกมาโจมตีอีกครั้ง
ฉินโจ้วนั้นให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของาาซากศพพันปีเมื่อเขาเห็นว่ามันกำลังจะหลบเลี่ยงการโจมตี จึงได้นำอัศวินปฐีกลับมาเพื่อสกัดาาซากศพเอาไว้และป้องกันการสูญเสียโดยไม่จำเป็ หนานกงเสี่ยวก็ถอยกลับไปยังทางเดินสุสานเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะปลอดภัย
ฉินโจ้วมีพลังชีวิตที่ค่อนข้างมากจึงไม่ได้รู้สึกกลัวการโจมตีด้วยเขตแดนแห่งความตาย และได้ทำการถ่วงเวลาการโจมตีของาาซากศพพันปีเอาไว้โดยยึดหลักตามตำราปาจื้อ "เมื่อศัตรูถอยเราบุก เมื่อศัตรูบุกเราถอย"ใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การรบที่รวดเร็วแบบกองโจรและอดทนรอการโจมตีของาาซากศพพันปี ทันทีที่เขตแดนแห่งความตายสิ้นสุดลงฉินโจ้วก็อัญเชิญอัศวินปฐีออกมาโจมตีแบบกลุ่มอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงความแข็งแกร่งของาาซากศพพันปีก็เริ่มลดลง ทั้งความเร็วก็ลดลงครึ่งหนึ่งความแข็งแกร่งทางกายภาพและพละกำลังก็ลดลงไปมากถึง 80% เมื่อถึงตอนนี้แม้แต่หนานกงเสี่ยวเองก็ไม่เกรงกลัวมันอีกต่อไป
''อ่อนแรง'' ''หน่วง''และเวทอื่นๆ นั้นล้วนแต่เป็เวทสนับสนุนทั้งสิ้น ซึ่งมันเปรียบไม่ได้กับการโจมตีด้วยเวทมนตร์ที่รุนแรงโดยตรงผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ สามารถจบการต่อสู้ได้ด้วยการยิงเพียงครั้งเดียวแต่สำหรับเวทสนับสนุนนั้นต่างออกไป เนื่องจากใช้ความอ่อนโยนราวกับการทำสตูที่ต้องใช้ไฟอ่อนค่อยๆเคี่ยวอย่างช้าๆ ทำให้เป้าหมายไม่ทันได้ระวังตัวระดับของาาซากศพพันปีนั้นสูงกว่าฉินโจ้วมากนักและอีกอย่างยังเป็มอนสเตอร์ระดับาา ถึงแม้ว่าทักษะ ''อ่อนแรง''ที่เลเวลสูงสุดจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับมอนสเตอร์ทั่วไปเป็อย่างมากแต่กลับไม่ได้ผลอย่างที่คาดเมื่อใช้กับาาซากศพพันปีอาจเป็เพราะความแข็งแกร่งที่ต่างกันมาก แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ไม่ได้ผลใน่แรกมาใน่ท้ายนี้กลับแสดงผลให้เห็นอย่างชัดเจน อาจเกิดจากการสะสมเป็เวลานานซึ่งทำให้ฉินโจ้วรู้สึกดีใจมาก
"เขย่าิญญา"
สำเร็จ!
โชคดีอย่างมากเลยที่สำเร็จ
มอนสเตอร์อย่างไรเสียก็เป็มอนสเตอร์อยู่วันยังค่ำจะมาฉลาดกว่ามนุษย์ไปได้อย่างไร เมื่อาาซากศพพันปีปลดปล่อยทักษะที่รุนแรงออกมาก็พบว่าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็การส่งเสียงหวีดแหลมหรือแยกเขี้ยวหลังจากที่ได้ผ่านการทดลองอยู่หลายต่อหลายครั้งทำให้ฉินโจ้วเข้าใจรูปแบบนี้ได้อย่างรวดเร็วว่า าาซากศพพันปีกำลังจะปล่อยเขตแดนแห่งความตายอีกครั้งจึงขัดจังหวะด้วยการร่ายเวทขึ้นทันที
ร่างที่นิ่งงันของาาซากศพพันปีจึงกลายเป็เป้าที่ยังมีชีวิตอัศวินปฐีทั้งหกตัวจึงลงมือโจมตีอย่างบ้าคลั่งหอกดำยาวพุ่งเข้าใส่าาซากศพพันปีราวกับห่าฝนสร้างความเสียหายในแต่ละครั้งที่โจมตี -500, -500, -500, -500
หลังจากผ่านไปสองวินาทีพลังชีวิตของาาซากศพพันปีก็ลดลงไปจนถึงจุดต่ำสุด เหลือไว้เพียงแค่รอยขีดจางๆในใจฉินโจ้วรู้สึกดีใจมาก ฝ่ามือสีทองเริ่มส่องประกายขึ้นอีกครั้งในขณะที่กำลังจะปล่อยหมัดสุดท้ายเพื่อตัดสิน ทันใดนั้นก็มีหมอกสีแดงเืถูกปล่อยออกมาจากดวงตาของาาซากศพพันปีถึงแม้ว่าจะเป็แค่หมอกก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความชั่วร้ายที่แอบแฝงอยู่ เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้น
ใจของฉินโจ้วถึงกับเต้นรัวสีหน้าตื่นตระหนก ปลายเท้าเขย่งแตะไปที่พื้น ก่อนที่ทั้งร่างจะพุ่งถอยหลังออกมาราวกับลูกธนูกลับมาที่ทางเดินสุสานพร้อมกับหนานกงเสี่ยวที่อยู่ในอ้อมแขน
ทันทีที่ฉินโจ้วพุ่งออกมาก็มีแสงสีแดงกระจายตามออกมาจากาาซากศพพันปีลักษณะคล้ายกับหมอก ดูเหมือนกับเืข้น ทันใดนั้นก็ครอบคลุมอัศวินปฐีทั้งสองตัวที่อยู่ใกล้สุดฉินโจ้วซึ่งในเวลานี้ได้ถอยหนีกลับไปที่ทางเดินของสุสานแล้วกลับรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นในใจ นั่นทำให้ฉินโจ้วเข้าใจได้ทันทีว่าหมายความว่าอย่างไรดูท่าอัศวินปฐีสองตัวได้ตายลงไปแล้ว เมื่อเห็นหมอกเืกำลังกระจายออกไปทางอัศวินปฐีสี่ตัวที่เหลือเขาถึงกับใ และสั่งให้อัศวินปฐีทั้งสี่ล่าถอยทันทีอัศวินปฐีทำตามคำสั่งอย่างไม่ลังเล หมอกเืนั้นขยายตัวออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดลงเมื่อระยะห่างราวห้าเมตร และไม่เคลื่อนที่มาข้างหน้าอีกดูเหมือนว่ารัศมีการโจมตีของหมอกเืจะอยู่ที่ห้าเมตรในที่สุดอัศวินปฐีก็สามารถหนีออกจากหายนะครั้งนี้ได้ทัน
"นั่นมันอะไรน่ะ?"หนานกงเสี่ยวเองก็ใเช่นกันเธอมองเห็นหมอกสีเืล้อมรอบอัศวินปฐีเอาไว้ก่อนจะกลายเป็บ่อเืภายในชั่วอึดใจสีหน้าของเธอซีดเผือด ถ้าไม่เพราะฉินโจ้วเตือนเธอเอาไว้ป่านนี้ทั้งสองคงมีสภาพไม่ต่างกัน
"ผมเองก็ไม่รู้แต่คิดว่าน่าจะเป็พลังิญญาชั่วร้ายประเภทหนึ่ง" ฉินโจ้วคาดเดาเช่นนั้น เพราะจากที่มีคำอธิบายเกี่ยวกับพลังของาาซากศพพันปีที่คอยป้องกันร่างกายเอาไว้
"แล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไปในเวลานี้"หนานกงเสี่ยวก็โจมตีได้ไม่ดีนัก เธอจึงไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร
"พลังแห่งความชั่วร้ายประเภทนี้อยู่ได้ไม่นานพอหมอกจางหายไป เราจะเริ่มโจมตีอีกครั้ง" ฉินโจ้ววิเคราะห์อยูครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นดูเหมือนว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้นเพื่อยืนยันคำพูดของเขา หลังจากที่เขาพูดจบหมอกสีแดงก็เริ่มสลายตัวออกไปก่อนจะหายไปในที่สุด มาเร็วก็ไปเร็วจากนั้นร่างของาาซากศพพันปีก็ปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่พลังิญญาชั่วร้ายที่ปกป้องร่างของาาซากศพพันปีเหมือนว่าจะลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามฉินโจ้วนั้นไม่คิดเกี่ยวกับเื่นี้มากนักและเขาเองก็ไม่มีเวลามาคิดเสียด้วย ความกลัวอาจทำให้เขาเปลี่ยนใจภายหลังก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเรียกใช้ ''เขย่าิญญา'' ซึ่งดูเหมือนจะสำเร็จอีกแล้ว ก่อนที่ร่างจะกลายเป็ควันสีเทาและพุ่งไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างราวกับสายฟ้า ก่อนจะซัดฝ่ามือวชิระเทวราชเข้าใส่ร่างนั้นอย่างโเี้
ปังงง...
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นาาซากศพพันปีไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ก่อนที่จะถูกฝ่ามือกระแทกจนล้มลงร่างแตกออกเป็เสี่ยงๆ แต่ก็ยังไม่ตายในทันที มีอุปกรณ์หลายชิ้นดรอปออกมามันง่ายเสียจนไม่น่าเชื่อ ทำให้ฉินโจ้วถึงกับนิ่งงันดูเหมือนว่าฝ่ามือวชิระเทวราชนั้นไม่ได้ทรงพลังมากนัก เขาจำได้ว่าก่อนจะมีหมอกเืร่างของาาซากศพพันปีนั้นจะมีพลังิญญาชั่วร้ายคอยปกป้องร่างอยู่ เมื่อใช้โจมตีไปแล้วก็ทำให้สูญเสียความสามารถในการป้องกันร่างกายไปทำให้พลังป้องกันกลายเป็ศูนย์ไปชั่วขณะ ซึ่งฉินโจ้วคว้าโอกาสทองนั้นเอาไว้ได้เป็โชคดีที่อธิบายได้ค่อนข้างยาก
ฉินโจ้วและหนานกงเสี่ยวก็ปรากฏแสงแห่งการเพิ่มระดับขึ้นในเวลาเดียวกัน