Chapter 3
ผมเดินตามคนตัวสูงกว่าเข้าไปในเพนเฮาส์สุดหรู เมื่อเข้ามาภายในห้องกว้าง สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ในมุมสูง หากทอดสายตามองไกลออกไปก็จะเห็นตึกสูงและต่ำไล่เรียงกันไปนับหลายร้อยตึก
แต่ทว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่าตึกสูงเ่าั้คงจะเป็ท้องฟ้ายามเย็น เพราะพอดวงตะวันกำลังจะลาลับขอบฟ้าแล้ว แสงสุดท้ายก่อนจะอำลาสิ่งมีชีวิตบนโลกสวยงามเกินจะบรรยายได้
ผมมองท้องฟ้าผืนกว้างที่ไม่รู้ไปที่ตรงไหน ท้องฟ้าที่ผมเห็นตอนนี้ไล่เฉดสีสวยงามราวกับถูกแต่งแต้มสีสันด้วยจิตรกรฝีมือดี มันเป็สีชมพูเข้มปนสีม่วงอ่อนไปครึ่งผืนฟ้า และบริเวณดวงอาทิตย์กลม ๆ ก็เป็สีส้มอ่อนปนสีแดงชาด
ความงดงามของท้องฟ้าตรงหน้าทำให้ผมยืนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะละสายตาออกจากมันตอนที่เพื่อนสนิทหันมามอง ไอ้เรียวที่วันนี้ดูหล่อจนน่าหมั่นไส้ยื่นกระเป๋าหนังที่มีเสื้อผ้าของผมอยู่ในนั้นมาให้
“มึงไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวกูจะอุ่นซุปไว้รอ”
ผมยื่นมือไปรับกระเป๋าหนังมาถือไว้ แล้วมองหม้อซุปจิ๋วสีเงินวาววับที่อยู่ในมือมัน “โอเค”
ความจริงแล้วผมยังไม่ค่อยรู้สึกหิวสักเท่าไร แต่เหตุผลที่ตอบกลับไปอย่างว่าง่ายเป็เพราะผมยังไม่พร้อมให้มันด่า หัวสมองยังรู้สึกมึนตึงอยู่เล็กน้อย ถ้าผมปฏิเสธไปว่ายังไม่อยากกินซุปไก่ตุ๋นยาจีนของอาม่า ไอ้เรียวคงจะด่าจนผมกลับไปอ้วกอีกรอบแน่ ดังนั้นผมจึงไม่ควรดื้อด้านกับอีกฝ่าย
ไอ้เรียวพยักพเยิดหน้ามาทางกระเป๋าหนังที่อยู่ในมือผม ก่อนมันจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“กูเตรียมชุดนอนมาให้สามชุด ชุดใส่อยู่บ้านสามชุด แล้วก็ชุดใส่ไปข้างนอกสามชุด มึงคงใส่พออยู่มั้ง”
“พอออ...กูขออาศัยหลบตีนป๊าแค่คืนเดียวแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็กลับบ้านแล้ว”
“จะอยู่กี่วันก็เื่ของมึง...”
คนตัวสูงพูดพร้อมสาวเท้าเดินไปที่ห้องครัว ไอ้เรียววางหม้อซุปจิ๋วลงบนเคาน์เตอร์หินอ่อนสีขาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเอ่ยต่อขณะเตรียมอุ่นซุปไก่ตุ๋นยาจีนให้
“...เพราะยังไงห้องกูก็ว่างตลอดอยู่แล้ว”
“แหม...ถ้ากูบอกว่าขออยู่ไปตลอดชีวิตเลยได้ไหมล่ะ?”
“ไปอาบน้ำไป อีน้ำแดง ก่อนที่จะโดนกูเอาซุปราดหัว”
ผมหัวเราะเบา ๆ พอเห็นมันเริ่มแสดงอาการหัวเสีย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้เรียวไม่ค่อยชอบคนกวนตีน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงชอบกวนตีนมันนัก แล้วมันก็อดทนกับผมมาตลอด
ผมก็อยากจะเลิกนิสัยแบบนี้แล้วเปลี่ยนไปเป็เพื่อนที่แสนดีของมัน แต่มันก็อดไม่ได้จริง ๆ เพราะเวลาที่ไม่โดนมันด่า ผมจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป เรียกได้ว่าผมเสพติดการโดนด่าจากไอ้เรียวแล้ว
และอีกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า...
ถ้าเลิกกวนตีนมันก็คงน่าเสียดายน่าดู
เพราะผมจะไม่ได้เห็นมันทำหน้าตาเอือมระอาขั้นสุดแบบนั้นอีก
แต่การที่เพื่อนสนิททำสีหน้าแบบนั้น มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่เลย เพราะว่าไอ้เรียวมันทำให้ผมรู้ว่า ‘ต่อให้มันแสดงสีหน้าหรือน้ำเสียงว่าเอือมระอาผมแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นจากใจจริง ๆ หรอก’
เพราะการกระทำทุกอย่างของมัน สวนทางกับสีหน้า น้ำเสียง และบางคำพูดของมันโดยสิ้นเชิง คนอื่นอาจจะมองว่าไอ้เรียวร้ายกับผมนักหนา แต่สำหรับผมแล้ว...
คงไม่มีใครหรอกที่ไม่ยอมทิ้งผมไว้ข้างหลังเลยสักครั้ง
คงไม่มีใครหรอกที่ยอมเจ็บแทนผม
และคงไม่มีใครหรอกที่รู้ใจผมเท่านี้
คงไม่มีแล้ว...เพื่อนที่ดีได้เท่าไอ้เรียว
“งั้นกูไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เออ...ผ้าเช็ดตัวอยู่ในห้องน้ำนะ กูเตรียมไว้ให้แล้ว”
“เออ”
พอตอบกลับไปแล้ว ผมก็เดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของไอ้เรียวด้วยความคุ้นเคย แม้ว่าเพนเฮาส์ของมันจะมีห้องนอนแยกถึงสองห้อง หากแต่ผมไม่เคยนอนแยกกับมันเลย นั่นเป็เพราะผมดันกลัวผีขึ้นสมอง
และถึงไอ้เรียวจะเป็คนรักความเป็ส่วนตัวมาก มันไม่ค่อยชอบนอนรวมกับใครสักเท่าไร แต่มันก็ยอมให้ผมนอนด้วยเสมอ หากว่าผมมีความจำเป็ต้องมานอนค้างที่นี่
ก็อย่างเช่นตอนที่ผมอกหักใหม่ ๆ ตอนนั้นผมเมาหัวราน้ำเกือบทุกวัน ไอ้เรียวก็ไปลากผมกลับจากร้านเหล้าแล้วพามานอนค้างที่เพนเฮาส์ของมันตลอด
ผมจำได้แม่นว่าไอ้เรียวจะชอบจับผมแช่ในอ่างน้ำเพื่อช่วยให้สร่างเมา ก่อนจะพาผมเข้านอน และผมก็ตื่นเช้ามาด้วยอาการปวดหัวสุดขีด แล้วไอ้เรียวก็จะยกซุปไก่ตุ๋นยาจีนของอาม่ามาให้กินบนเตียง หลังจากนั้นก็จะเริ่มเทศน์ใส่ผมด้วยถ้อยคำหยาบคาย
แต่ทว่าวันนี้ผมไม่ค่อยอยากลงไปนอนแช่ในอ่างอาบน้ำสักเท่าไร จึงเลือกเข้าไปอาบน้ำในตู้กระจกแทน เสื้อผ้าที่สวมใส่ั้แ่เมื่อวานถูกถอดออกจนหมดแล้วพาดไว้บนราวสเตนเลส ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดฝักบัว
เมื่อน้ำไหลออกมาจากฝักบัวขนาดใหญ่ราวกับสายฝน ทั่วทั้งร่างของผมก็ถูกชโลมไปด้วยน้ำเย็น ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นเป็อย่างมาก แล้วในขณะเดียวกัน สมองที่เริ่มปลอดโปร่งขึ้นก็ปล่อยให้ความคิดหนึ่งไหลเข้ามาในหัว
มันเป็ความคิดที่ผมอยากจะพาตัวเองไปให้พ้นจากคนรักเก่าสักที ผมอยากเป็คนที่ดีกว่านี้โดยไม่มีเขาตามมาทำร้ายอีก ่ที่ผ่านมาผมกำลังจะทำได้แล้ว ผมกลับมาเป็ ‘ไอ้เหี้ย คนตลกของทุกคน’ ได้แล้ว แต่เขาก็กลับเข้ามาสะกิดแผลเก่าอีกครั้ง
ทว่าดีที่แผลนั้นเป็เพียงแค่แผลเป็ เขาเลยไม่สามารถทำให้ผมกลับไปรู้สึกเจ็บเท่าเดิมได้ แต่ผมแค่รู้สึกแย่กับคำพูดและการกระทำของเขาเท่านั้น ซึ่งถือเป็เื่เล็กน้อย ถ้าเทียบกับแต่ก่อน
แต่ตอนนี้ผมคิดว่า...ผมควรจะ ‘รักตัวเองให้มากกว่านี้’ อย่างที่ไอ้เรียวพูดจริง ๆ แล้ว ผมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องหัวใจตัวเองให้ได้มากที่สุด
#รักแท้ของผมคือคุณ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ใส่เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่ ๆ กับกางเกงขาสั้นสีแดงที่เป็ชุดนอนของตัวเอง สมแล้วที่ไอ้เรียวเป็เพื่อนสนิทของผม เพราะมันเลือกชุดนอนมาให้ถูกใจจริง ๆ
ในขณะที่เดินออกมาจากห้องนอน ผมก็ได้กลิ่นหอมของซุปอาม่าลอยโชยมาใต้จมูก ก่อนจะเห็นถ้วยกระเบื้องสีขาวที่มีควันลอยพวยพุ่งอยู่เหนือปากถ้วยวางอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่ไอ้เรียวกลับไม่ได้นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างที่ควรจะเป็ และเมื่อกวาดสายตามองไปยังห้องนั่งเล่น ผมก็ไม่เห็นมันนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาหนังตัวยาวด้วย
ทว่าพอมองผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ออกไป ก็เห็นไอ้ตัวดีนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ผมคลี่ยิ้มน้อย ๆ ตอนมองไอ้เรียวปล่อยควันสีขาวออกจากปากพลางก้มหน้ากดโทรศัพท์
ความจริงผมควรจะนั่งกินซุปอยู่ที่โต๊ะอาหารให้เรียบร้อย ทว่าผมไม่ได้ทำแบบนั้น แต่กลับเดินถือถ้วยซุปมาที่หน้าประตูกระจกที่ปิดสนิทอยู่ ไอ้เรียวที่นั่งอยู่ตรงระเบียงเงยหน้าขึ้นมองผม มันขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามทั้งที่รู้ดีว่าผมจะไม่ได้ยินเสียง แต่มันคงรู้ว่าผมจะอ่านปากออก
ไอ้เรียวถามผมว่า...
“จะเอาอะไร อีน้ำแดง?”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจึงยื่นมือข้างหนึ่งไปเปิดประตูกระจกออก ก่อนจะนั่งลงตรงขอบประตู ผมส่งยิ้มให้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ไอ้เรียวไม่ได้ส่งยิ้มตอบกลับมาให้หรอก มันทำแค่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะกลมตรงหน้า แล้วยกมวนสีขาวขึ้นจรดริมฝีปาก สูบอัดนิโคตินเข้าร่างกายอย่างที่ชอบทำเวลามีเื่ให้คิดหนัก
เ้าของดวงตาเรียวคมคล้ายเหยี่ยวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพ่นควันสีขาวลอยเหนืออากาศ มันก้มหน้าลงพลางสบสายตากับผม แล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดิม
“ทำไมไม่นั่งกินที่โต๊ะดี ๆ?”
ผมมองระยะห่างระหว่างเราสองคนขณะคิดคำตอบ และเพราะว่าเรานั่งอยู่ไม่ห่างกันมาก บวกกับไอ้เรียวนั่งอยู่ตำแหน่งที่อยู่เหนือผมพอสมควร ผมเลยคิดว่าไม่ควรตอบมันแบบกวนบาทา เพราะมันอาจจะส่งบาทามาทาบหน้าผมได้ ถ้าอย่างนั้น...คำตอบนี้คงดีที่สุด
“กูก็แค่อยากนั่งกินใกล้ ๆ เพื่อน”
แล้วรอยยิ้มที่มักจะทำให้ใครหลายคนตกหลุมรักก็ปรากฏขึ้น
นั่นทำให้ผมรู้ว่า...
เออ กูรอดตีนมึงแล้ว ไอ้เรียว
ไอ้เรียวยิ้มแบบนั้นขณะมองผม ก่อนเอ่ย “ออเซาะ”
ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตักซุปร้อน ๆ ขึ้นมากิน พอได้ซดซุปไก่ตุ๋นยาจีนของอาม่าไอ้เรียวที่มีรสชาติดีไม่เปลี่ยนก็ทำให้รู้สึกโล่งคอขึ้นมาทันที ผมคิดว่าซุปถ้วยนี้จะช่วยทำให้อาการคลื่นไส้ที่ยังมีอยู่บ้างหายไปได้
“เป็ไง? ซุปอาม่ากู”
“สวดยอดเลยจ้า”
ไอ้เรียวหัวเราะในลำคอพลางขยี้มวนสีขาวลงในจานกระเบื้องสีเขียวเข้ม “อีน้ำส้วมเอ๊ย...”
“แต่ซุปนี้ก็ต้องมีมึงคอยอุ่นให้ด้วยนะ มันถึงจะสวดยอดได้ขนาดนี้อะ”
“มึงจะเอาอะไร อีน้ำแดง มึงพูดมาเลยดีกว่า กูสงสัยั้แ่มึงยกถ้วยมานั่งแดกใกล้ ๆ ตีนกูละ”
ผมหลุดขำพรืดเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะวางช้อนลงในถ้วย แล้วมองเพื่อนสนิทที่กำลังรอคำตอบด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
“ไม่อยากได้อะไรจริง ๆ เว้ย”
“...”
“มึงก็รู้ว่ากูขี้เหงาแค่ไหน กูนั่งกินคนเดียวที่โต๊ะไม่ได้หรอก”
มันคือเื่จริง ผมไม่ได้พูดอ้างแต่อย่างใด แล้วเพราะว่าผมเป็คนขี้เหงามาก เวลามีแฟนผมจึงติดแฟนมาก แต่ขนาดผมติดแฟนมาก เขาก็ยังมีเวลาแอบไปมีคนอื่นได้อีก
ถ้าให้ผมเดา เขาก็คงเอาเวลาตอนที่ผมอยู่กับไอ้เรียวไปคุยกับคนอื่น แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับการที่แบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปให้เพื่อนสนิท เพราะผมคิดว่าในตอนนั้นผมก็ทำทั้งหน้าที่คนรักและเพื่อนได้อย่างดีที่สุดแล้ว
แน่นอนว่าผมไม่ได้แบ่งเวลาให้เพื่อนสนิทเยอะกว่าคนรักหรอก แต่อย่างน้อย ๆ การมีแฟนก็ไม่ควรทำให้เราต้องเสียมิตรภาพที่ดีที่สุดในชีวิตไป เพราะไอ้เรียวเป็คนที่อยู่ในทุก่ชีวิตของผม นั่นจึงไม่มีทางเป็ไปได้เลยที่จะมีใครบางคนมาทำให้เราต้องห่างเหินกัน
ผมคิดว่ามันไม่ใช่เื่ที่คนรักกันจะเข้าใจยากอะไร เพราะหากในอนาคตผมมีใครสักคนอีกครั้ง แล้วถ้าเขาบอกผมว่า ‘เขาต้องมีเวลาให้เพื่อน และต้องให้ความสำคัญกับเพื่อนเหมือนเดิม’ ผมก็พร้อมจะเข้าใจเขา และจะเข้าใจเป็อย่างดีด้วยว่า เขากับเพื่อนอาจจะผ่านอะไรมาด้วยกันมากกว่าผม ผมที่เพิ่งมาเจอกับเขา’ ดังนั้นผมก็ควรจะให้เกียรติเพื่อนของเขาด้วย
และเพราะว่าไอ้เรียวมันอยู่ในทุก่ชีวิตของผม และผมก็อยากให้มันอยู่ด้วยในทุก่ชีวิต มันจึงทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ‘ถ้าวันหนึ่งไอ้เรียวที่ครองโสดมาั้แ่เรียนอยู่ปีสามจนถึงตอนนี้ อยากจะสละโสดขึ้นมาบ้าง’ ทุกอย่างที่เราเป็กันอยู่แบบนี้มันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
แต่ถ้าถึงตอนนั้นจริง ๆ ผมที่โตขึ้นขนาดนี้แล้ว คงจะปล่อยให้ความรู้สึก ‘หวงเพื่อน’ เกิดขึ้นภายในใจเหมือนตอนเรียนอยู่มหา’ ลัยไม่ได้แล้ว
“เพราะกูรู้ว่ามึงเป็แบบนี้ไง กูถึงไม่เคยทิ้งมึงเลย”
ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วพยายามเตรียมใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงซะั้แ่ตอนนี้ “แต่ถ้าวันหนึ่งมึงมีเมียขึ้นมา มึงจะทิ้งกูบ้างก็ได้นะเว้ย กูเข้าใจ”
“แล้วกูจะมีทั้งเมียทั้งเพื่อนพร้อมกันไม่ได้เหรอวะ?”
“...”
“เหมือนที่มึงก็ยังมีเวลาให้กูตลอด ทั้งที่มึงมีแฟน”
“นั่นมันกูไง กูตกลงกับแฟนก่อนแล้ว...ว่ากูต้องมีเวลาให้เพื่อนนะ แล้วเขาก็ไม่ได้ขัดอะไร แต่สำหรับมึงอะ มึงอาจจะอยากมีเวลาส่วนตัวกับแฟนมากกว่า”
ไอ้เรียวส่ายหน้าเบา ๆ แล้วนั่งไขว้ขา มันเอนตัวพิงกับเก้าอี้หวายพลางกอดอก ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนดวงตาของเหยี่ยวจ้องมองผมไม่วางตา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ถ้าวันหนึ่งมึงต้องเลือกระหว่างเพื่อนกับแฟนขึ้นมาจริง ๆ กูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงจะเลือกใคร”
“...”
“แต่ขอให้รู้ไว้เลยว่า...ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจเลือกใคร กูก็จะไม่มีวันทิ้งมึงเด็ดขาด”
“…”
“แต่สำหรับกู...ต่อให้ไม่มีใครมาขอให้เลือก”
“…”
“กูก็จะเลือกมึงอยู่ดี”
นาน ๆ ครั้ง...ใช่ แทบจะนานมาก ๆ แล้วที่เราคุยกันด้วยความรู้สึกที่จริงจังและหนักแน่นแบบนี้ ปกติไอ้เรียวไม่ใช่คนกวนตีนและขี้เล่นอยู่แล้ว มันมักจะพูดหยอกล้อกับเพื่อนหรือคนรู้จักเป็บางครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยแบบนั้นเหมือนอย่างผม เวลามันพูดอะไรจริงจังก็มักจะโดนผมตอบกลับด้วยประโยคคำพูดตลก ๆ เสมอ
หากแต่ครั้งนี้...ผมกลับพูดติดตลกไม่ออกเลย อารมณ์ขันของผมที่มีอยู่ในสายเืกำลังถูกดวงตาที่แฝงไปด้วยความหนักแน่นกดทับ แล้วเพราะว่าเราเป็เพื่อนสนิทที่ไม่ค่อยพูดความรู้สึกที่แท้จริงต่อกันเท่าไรนัก โดยส่วนมากเราจะเน้นสื่อความรู้สึกที่แท้จริงผ่านการกระทำมากกว่า นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกไม่ชินและทำตัวไม่ถูกทุกครั้งที่ได้ยินอะไรแบบนี้
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แล้วทำเพียงแค่ก้มหน้าซดน้ำซุปอุ่น ๆ จากช้อนต่อ ก่อนจะเหลือบสายตาขึ้นมองเพื่อนสนิทที่ยังมองผมอยู่ และเพราะว่าบทสนทนาจริงจังที่ทำให้เกิดบรรยากาศเงียบเฉียบเช่นนี้ ผมจึงคิดหาบทสนทนาใหม่
“มึงไปดูงานที่ภูเก็ตมาเป็ไงบ้างอะ?”
“ก็ดี โปรเจกต์รีสอร์ตที่เขาเสนอมาน่าสนใจดี วันนี้กูก็ต้องกลับไปคุยเื่นี้กับป๊าที่บ้านต่อ”
“อ้าว วันนี้มึงกลับบ้านเหรอ?” ผมก็คิดว่ามันจะนอนค้างด้วยกันซะอีก
“เออ กูว่าจะกลับไปคุยเื่โปรเจกต์นี้กับป๊าไง”
“อะ อ๋อ...”
“ทำไม มึงอยากให้กูนอนด้วยเหรอ?”
“เฮ้ย! ไม่ต้อง กูนอนคนเดียวได้ ตอนแรกแค่เข้าใจว่ามึงจะนอนค้างด้วยกันเฉย ๆ”
นอกจากเื่กลัวผีขึ้นสมองที่ทำให้ไม่อยากนอนคนเดียวแล้ว ผมก็ยอมรับว่าเป็เพราะมันไปคุยเื่ธุรกิจใหม่ที่ภูเก็ตมาหลายวันที่ทำให้ ‘ผมคิดถึงไอ้เรียว’ นั่นจึงเป็เหตุผลทั้งหมดที่อยากให้มันนอนค้างที่เพนเฮาส์ด้วยกัน
แล้วผมก็รู้ว่ามันไม่แปลกหรอก ถ้าผมจะรู้สึกคิดถึงเพื่อนสนิท เพราะปกติเราไม่เคยอยู่ห่างกันเกินสามวันเลย แม้กระทั่งตอนที่ผมมีแฟนอยู่ก็ตาม ทว่าครั้งนี้ไอ้เรียวไปภูเก็ตนานถึงสี่วัน ผมก็เลยอยากคุยกับมันต่ออีกนาน ๆ
แต่ผมก็เข้าใจว่าเพื่อนสนิทมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งงานที่ร้าน Your Sky ซึ่งเป็ร้านเหล้าของหมื่นฟ้าที่มีมันเป็หุ้นส่วนด้วย เพื่อนสนิททั้งสองคนของผมทำธุรกิจนี้ร่วมกันมาั้แ่มหา’ ลัยแล้ว และพอเรียนจบมา ไอ้เรียวยังต้องไปช่วยครอบครัวของมันทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์อีก
บางทีสิ่งที่ทำให้เราห่างกันมากขึ้น
คงไม่ได้เป็เพราะเราคนใดคนหนึ่งมีคนรักหรอก
แต่คงเป็เพราะหน้าที่ที่มีเพิ่มขึ้นมากกว่า
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน กูก็เพิ่งตัดสินใจได้เหมือนกัน”
“เื่แค่นี้ มึงไม่ต้องขอโทษกูหรอก”
ผมพูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะยกถ้วยขึ้นซดน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นจากเดิมมาก หัวสมองกลับมาปลอดโปร่งจริง ๆ แล้ว และอาการคลื่นไส้ก็หายเป็ปลิดทิ้ง แต่ทว่าประโยคคำพูดของไอ้เรียวต่อจากนี้กำลังทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนในกระเพาะอีกครั้ง
“เออ กูเล่าเื่ที่มึงไปเมาเป็หมาที่ร้านพี่เป้ให้ไอ้ฟ้าฟังแล้วนะ”
“แค่ก ๆ” ผมสำลักน้ำลายจนไอค่อกแค่ก ก่อนจะเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยออกไป “ฮือออ…มึงไปเล่าให้ไอ้ฟ้าฟังทำไมอะ?”
“ทำไมกูจะเล่าให้มันฟังไม่ได้ กูก็เล่าเื่ของมึงให้มันฟังประจำ”
“แล้วมันก็จะเรียกกูไปด่าไง”
“ไอ้ฟ้าบอกให้มึงเข้าไปหาที่ร้านมะรืนนี้ มันอยากคุยด้วย”
“พ่อเนี่ยนะ! อยากคุยกับกู มึงฟังมาผิดหรือเปล่าไอ้เรียว?”
“…”
“ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอยากคุยกับกูเลย”
“...”
“กูไม่เข้าไปหามันหรอก กูกลัว”
“นี่มึงกลัวไอ้ฟ้ามากกว่าพ่อตัวเองอีกเหรอ?”
“ไอ้เรียว มึงพูดแบบนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวพ่อแท้ ๆ กูมาได้ยินเข้าเขาจะน้อยใจเอา”
ไอ้เรียวหัวเราะในลำคอเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร “…”
“คือกูกลัวคนละแบบเว้ย อย่างป๊าอะ กูกลัวเขาจะตัดออกจากกองมรดกถ้าทำตัวไม่ดี แต่อย่างพ่อฟ้าอะ กูกลัวมันด่าอย่างเดียวเลย เพราะเวลามันด่าทีนะ เจ็บเข้าไปยันกระดองใจเลย”
“แล้วมึงไม่กลัวกูเหรอ?”
“…”
“กูก็ดุนะ”
ผมมองหน้าคนที่โยนคำถามมาให้ แล้วก็คิดในใจว่า ‘ไอ้เรียว กูจะบอกมึงไว้เลยนะว่า...สายตากับรอยยิ้มแบบนี้ที่ทำให้มึงหล่อจนบาดใจใครหลาย ๆ คน มันทำอะไรกูไม่ได้หรอกเว้ย! กูไม่ใจสั่นห่าอะไรทั้งนั้นแหละ เพราะมึงเป็เพื่อนกู!’
“กูไม่กลัวมึงหรอก!”
“เหรอ?”
ไอ้เรียวตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดกวนนิด ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน คนตัวสูงกว่าผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก้าวเท้ามาหยุดยืนตรงหน้า ผมเงยหน้ามองไอ้เรียวที่แสดงสีหน้าเรียบเฉย มันยื่นมือข้างหนึ่งมาบีบแก้มทั้งสองข้างของผม แล้วพอไอ้เรียวออกแรงบีบมากขึ้น ปากของผมก็เริ่มห่อเล็กลง จนเหมือนว่าผมทำปากจู๋ใส่มันอยู่
“ไอเอียว” (ไอ้เรียว)
“ไร?”
ไอ้เรียวถามกลับมาแบบนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม นั่นทำให้ผมถอนหายใจ ก่อนจะปล่อยให้มันตีมึนแกล้งผมต่อไป แล้วในนาทีถัดมามันก็หัวเราะในลำคอ พร้อมกับผละมือออกจากแก้มของผม ไอ้เรียวเอามือข้างนั้นเคลื่อนมาตีที่หน้าผากผมจนดัง ‘แปะ’
“โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย” ผมพูดพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบที่หน้าตัวเองป้อย ๆ
คนตัวสูงเผยยิ้มบาง ๆ พร้อมส่ายหน้า ก่อนเอ่ย “อย่าเวอร์ กูแค่ตีเบา ๆ เอง”
ความจริงแล้วมันก็ตีหน้าผากผมไม่แรงจริง ๆ นั่นแหละ แต่เพราะผมเป็คนชอบเล่นใหญ่ ผลลัพธ์เลยออกมาเป็แบบนั้น...
เจ็บจริงไม่จริง
ถ้าถูกกระทำ
กูก็ร้องไว้ก่อน...
“มึงไม่ได้เป็คนโดนตีนี่ มึงก็พูดได้ดิ”
ทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้คนตัวสูงที่ตอนนี้เอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงก็โน้มตัวลงมาหาผมทันที ไอ้เรียวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ผม เราอยู่ใกล้กันมากจนผมต้องเอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย เพื่อเว้นระยะห่างให้มากขึ้น
“งั้นมึงก็ลองตีกูบ้าง กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเจ็บแค่ไหน”
“…”
“แต่ต้องเอาน้ำหนักมือเท่าที่กูตีมึงนะ”
“…”
“แล้วถ้ากูไม่รู้สึกเจ็บ...กูขอตีมึงคืนสองเท่า”
ผมรู้ว่าไอ้เรียวกำลังหยอกผมเล่นอยู่ แต่เพราะมันไม่ค่อยเล่นแบบนี้กับผมสักเท่าไร ปกติเราจะพูดหยอกล้อกันมากกว่า แล้วส่วนมากผมก็จะเป็คนเริ่มก่อนตลอด ครั้งนี้จึงทำให้ผมรู้สึกแปลกใจพอสมควร
“ไม่เอาหรอก ไอ้สัด”
“...”
“เพราะกูรู้ว่ายังไงมึงก็โกงกู”
“...”
“ต่อให้มึงรู้สึกเจ็บจริง ๆ มึงก็จะบอกว่าไม่เจ็บ เพราะมึงจะได้เอาคืนกูสองเท่าไง”
ไอ้เรียวที่ยังยื่นหน้ามาหาผมอยู่หัวเราะในลำคอ ก่อนเอ่ย “เออ หัดตามคนอื่นให้ทันแบบนี้บ้าง มึงจะได้ไม่โดนเอาเปรียบบ่อย ๆ”
พอพูดจบ ไอ้เรียวเหยียดตัวตรงอีกครั้ง รอยยิ้มแบบที่ละลายใจใครหลายคนยังคงเปื้อนอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา มันมองผมอยู่เพียงชั่วครู่แล้วพูดว่า...
“เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวกูจะกลับแล้ว”
“เออ ๆ”
ผมตอบกลับไปแบบนั้น ก่อนจะหยิบถ้วยซุปแล้วลุกขึ้นยืน เราเดินเข้ามาภายในห้องพร้อม ๆ กัน ผมเอาถ้วยกระเบื้องไปวางที่เคาน์เตอร์ในครัว แล้วเตรียมตัวจะเดินไปส่งไอ้เรียวกลับบ้าน ทว่าพอหมุนตัวหันกลับไปมองก็เห็นอีกฝ่ายกำลังยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
“ครับ ป๊า”
ป๊ามันคงโทรมาตามแล้ว...
“เรียวกำลังกลับครับ”
“...”
“เท่าที่คุยกัน มันก็น่าสนใจดีนะครับ แต่มันก็มีบางอย่างที่เรียวอยากปรึกษากับป๊าก่อนจะตกลงร่วมหุ้นกับเขา”
ผมพยักพเยิดหน้าไปทางประตู เป็เชิงบอกว่า ‘เดี๋ยวกูเดินไปส่ง’ แล้วก็เดินนำหน้ามันไปหลายก้าว พอมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ ผมก็หันกลับไปมองคนตัวสูงกว่าที่เดินตามหลังมา
ไอ้เรียวเดินมาหยุดยืนที่หน้าประตู ในจังหวะที่มันกำลังเอื้อมมือไปเปิดประตู ไอ้เรียวกลับหันมามองผมก่อน ผมรู้ดีว่ามันอยากพูดลาเหมือนทุกครั้ง แต่เพราะตอนนี้มันกำลังคุยโทรศัพท์กับพ่ออยู่ คำลาอย่าง ‘กูไปก่อน’ ที่มันมักจะพูดเสมอคงถูกสื่อผ่านทางสายตาแทน
ผมพยักหน้าเบา ๆ เพื่อบอกว่า ‘เออ ไปเถอะ’ แต่ทว่ามันไม่ยอมเปิดประตูสักที มันสบสายตากับผมอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วมันก็ก้มหน้าพลางยกมือข้างที่ว่างจากการถือโทรศัพท์ขึ้นมาเท้าเอวตัวเอง
“ป๊า...”
“…”
“เรียวว่า...วันนี้เรียวกลับบ้านไม่ได้แล้วครับ”
“ไอ้เรียว!” ผมเอ่ยเรียกมันด้วยเสียงแ่เบาจนแทบเป็เสียงกระซิบ “กลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกู”
แม้ผมจะพูดด้วยเสียงที่เบามาก เพราะไม่อยากรบกวนบทสนทนาของไอ้เรียวกับพ่อมัน แต่ผมก็มั่นใจว่ามันได้ยินชัดเจน ถึงผมจะอยากให้มันนอนค้างด้วยมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อยากเป็คนเห็นแก่ตัวที่ดึงรั้งมันไว้หรอก
คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองผมอีกครั้ง ก่อนเอ่ยกับปลายสายไป “โอเคครับ”
“…”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เรียวรีบกลับไปคุยด้วยครับ”
“...”
“ครับ”
ทันทีที่ไอ้เรียววางสายจากผู้เป็พ่อ ผมก็พูดขึ้น “ไอ้เรียว! กูอยู่ได้จริง ๆ”
“...”
“มึงไม่ต้องเป็ห่วงกูขนาดนี้หรอก กลับไปคุยงานกับป๊าเถอะ แล้วก็จะได้นอนพักด้วย มึงเหนื่อยมาหลายวันแล้วนี่”
คนตัวสูงกว่าผมส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะสาวเท้าเดินผ่านผมไป แต่ก่อนที่ไอ้เรียวจะเดินพ้นตัวผมไป มันยื่นมือข้างหนึ่งมาผลักหัวของผมเบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ทีหลังถ้าอยากให้อยู่ด้วยก็แค่บอก”
“…”
“ไม่ต้องทำหน้าหงอยเหมือนหมาบ้านมึงหรอก”
ผมยังไม่ทันได้ตอบกลับไปเลย เพื่อนสนิทตัวสูงกว่าก็เดินไปไกลแล้ว ผมจึงทำได้แค่ยืนมองแผ่นหลังกว้างที่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายเ้าของแผ่นหลังกว้างนั้นก็หายเข้าไปในห้องนอน
ผมส่ายหน้าเบา ๆ พลางคิดว่า...
ก็คงจะมีแค่ไอ้เรียว ‘คนเดียว’ เท่านั้น
ที่รู้ใจผมได้ขนาดนี้
และเผลอ ๆ บางที
มันอาจจะรู้ใจผมดีกว่าตัวของผมเองด้วยซ้ำ
#รักแท้ของผมคือคุณ
ในเวลาดึกเช่นนี้ที่เข็มนาฬิกาตีบอกเวลาตีสามพอดิบพอดี บนเตียงขนาดคิงไซซ์ มีเพื่อนสนิทสองคนกำลังนอนอยู่คู่กัน เรียวที่นอนหลับสนิทอยู่พลิกตัวหันหลังให้เพื่อนสนิท แล้วในขณะนั้นเฮียก็พลิกตัวกลับมานอนหงาย
เฮียเริ่มมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย ทั้งที่เปลือกตาสีอ่อนทั้งสองข้างยังปิดสนิทอยู่ แล้วบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็เริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมา เฮียส่ายหน้าไปมาเบา ๆ ก่อนจะพูดละเมอบางอย่างออกมา
“ฮือออ...กูกลัวแล้วจ้า~”
เรียวที่ปกติเป็คนตื่นง่ายอยู่แล้ว พอได้ยินเพื่อนสนิทละเมอก็เริ่มขยับตัว แล้วค่อย ๆ เลิกเปลือกตาขึ้น ทว่ายังไม่ทันจะพลิกตัวหันกลับไปหาอีกฝ่าย เพื่อนสนิทที่ดูเหมือนกำลังฝันร้ายอีกแล้วก็สะดุ้งตื่น
เป็ตอนนี้ที่เรียวเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างเตียง แล้วพลิกตัวหันกลับไปมองคนข้างกาย เขาเห็นเฮียเบิกตาโตคล้ายกำลังใอย่างมาก มันรีบผุดลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้าตัวเอง
ฝันร้ายอีกแล้วดิ อีน้ำแดง
เรียวเลิกผ้าห่มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นนั่งตามอีกฝ่าย เขาเอนหลังพิงกับหัวเตียงแล้วหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท แล้วก็อดขำไม่ได้ตอนที่เห็นเรือนผมสีน้ำตาลเข้มที่ฟูชี้โด่ชี้เด่ของมัน
“คราวนี้ฝันว่าอะไร?”
“อะ ไอ้เรียว กูขอโทษนะ กูไม่ได้ตั้งใจจะปลุกมึง”
“เออ”
“แต่พวกผีแม่งวิ่งไล่ตามกูไม่หยุดเลย กูวิ่งหนีเป็กิโลเลยนะ...” เฮียพูดพลางใช้มือข้างหนึ่งสะบัดผ้าห่มผืนที่เราห่มด้วยกันออก แล้วเ้าตัวก็เอามือลูบขาทั้งสองข้างของตัวเอง “...เนี่ย ขาล้าไปหมดเลย”
“ทั้งฝันมีแต่วิ่งหนีผีเหรอ?”
“ไม่ ๆ ก่อนหน้านั้นกูยังไม่ได้วิ่งหนีผี...”
“…”
“คือตอนแรกอะ กูฝันว่ากูไปเที่ยวที่โรงแรมหนึ่งกับมึง...”
แล้ว...หลังจากนั้นเฮียก็เริ่มเล่าความฝันให้เขาฟัง เรียวพยักหน้าเบา ๆ ขณะรับฟังเพื่อนสนิท แล้วความง่วงก็ทำให้เขาหาวเป็ระยะ แม้เรียวจะอยากนอนต่อแค่ไหน แต่เพราะไม่อยากให้เฮียต้องนั่งอยู่คนเดียว เขาเลยเลือกนั่งอยู่เป็เพื่อนแบบนี้
และเพราะ่ที่ผ่านมามันฝันร้ายบ่อย ๆ
การที่ต้องตื่นมานั่งเป็เพื่อนมันกลางดึก
จึงกลายเป็เื่เคยชินของเขาไปแล้ว...
เขาเห็นแววตาหวาดกลัวของเพื่อนสนิทขณะเล่าว่าตัวเองกำลังถูกผีนับสิบไล่ล่า แล้วเรียวก็คิดขึ้นมาว่า ‘ไอ้พวกผีเหี้ย ถ้ามึงเก่งจริงก็มาเข้าฝันกูแทนดิ มึงจะไปหลอกไอ้เฮียในฝันทำห่าอะไร มันสู้มึงไม่ได้หรอก อย่างพวกมึงต้องมาเจอกับกู’
แม้เรียวจะรู้ดีว่า...บางทีที่เฮียฝันร้าย มันอาจเกิดจากการที่เพื่อนสนิทชอบคิดถึงเื่ผีก่อนนอน แต่เขาก็เลือกจะตำหนิอย่างอื่นก่อนอยู่ดี
“เื่ทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ แต่ในฝันแม่งน่ากลัวฉิบหายเลย” เฮียพูดพลางทำท่าขนลุกขนพอง
พอเห็นเพื่อนสนิททำท่าทางแบบนั้น เรียวก็กระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “เดี๋ยวกูมา...”
“มึงจะไปไหนอะ?”
“ไม่ต้องกลัวหรอก กูไม่ได้จะทิ้งมึงไปไหน แค่จะออกไปเอาน้ำ”
“อะ อ๋อ โอเค ๆ”
เรียวผุดลุกจากเตียงนุ่ม แล้วสวมสลิบเปอร์สีขาวของตัวเอง ก่อนจะสาวเท้าเดินออกไปเอาน้ำมาให้อีกฝ่ายดื่ม เขาใช้เวลาไม่นานมากก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน
แก้วน้ำเย็น ๆ ถูกยื่นให้เฮียที่นั่งอยู่บนเตียง เ้าตัวกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองเขา เรียวจึงพยักหน้าเป็เชิงบอกให้รับน้ำไปดื่ม
“มึงรู้ได้ไงอะ...ว่ากูรู้สึกคอแห้ง”
“ไม่รู้ก็เหี้ยแล้ว มึงเล่นพูดไม่หยุดขนาดนั้น”
“...”
“ขนาดกูไม่ใช่มึงนะ กูยังรู้สึกคอแห้งแทนเลย”
พอเฮียได้ยินแบบนั้นเ้าตัวก็หลุดขำพรืด แล้วพูดปนหัวเราะ “ไอ้สัด...”
หลังจากเพื่อนสนิทรับแก้วน้ำไปดื่มแล้ว เรียวก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ร่างสูงเอนพิงหัวเตียงเหมือนเดิม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“โธ่...แล้วบอกว่าอยู่คนเดียวได้”
“…”
“ถ้าคืนนี้กูไม่ได้นอนค้างด้วย มึงก็คงตื่นมานั่งหลอนคนเดียว”
เฮียที่เพิ่งดื่มน้ำเสร็จหันมามองเขา อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ เรียวเดาว่าเพื่อนสนิทคงจะเล่นตลกอะไรให้ดูอีก หลังจากเ้าตัวเริ่มรู้สึกดีขึ้นจากฝันร้ายแล้ว
แล้วก็เป็อย่างนั้นจริง ๆ เพราะเฮียยกมือขึ้นพนมไว้กลางอก ก่อนจะกราบลงบนไหล่ของเขา เรียวส่ายหน้าเบา ๆ พลางยกมือข้างหนึ่งแกล้งผลักศีรษะของอีกฝ่ายที่กำลังโน้มลงมาจรดลงบนมือคู่นั้น
พอเฮียเงยหน้าขึ้นแล้วดึงมือทั้งคู่กลับไปแล้ว เ้าตัวก็ฉีกยิ้มกว้างพลางเอ่ย “ขอบใจนะจ๊ะ อีน้ำแดงจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ของเพื่อนเรียวเลย”
“อีน้ำแดง มึงนี่มัน...” เรียวพูดปนหัวเราะน้อย ๆ ก่อนเอ่ยต่อ “...ไม่เคยเล่นน้อย ๆ เลย เล่นใหญ่ตลอด”
“ไม่งั้นจะเป็อีน้ำแดงได้เหรอจ๊ะ”
เรียวหัวเราะดัง ‘หึ ๆ’ ในลำคอ ขณะมองดวงตาของเฮียที่ตอนนี้กลายเป็ตัวสระอิไปแล้ว นั่นเป็เพราะเ้าตัวกำลังยิ้มกว้างให้เขาอยู่
“ถ้าหายกลัวแล้ว งั้นนอนกันไหม ไอ้เหี้ย?”
“...”
“ตีสามกว่าแล้วเนี่ย”
เฮียหัวเราะเบา ๆ พลางล้มตัวลงนอนก่อน “โอเคจ้ะ”
เรียวมองเพื่อนสนิทที่นอนตะแคงหันมาทางเขา ก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง แล้วก็เหมือนทุก ๆ ครั้งที่เวลาเฮียตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้าย ถ้าเราสองคนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เรียวจะต้องนอนหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย จนกว่าเ้าตัวจะหลับสนิท ถึงจะพลิกตัวหันหลังให้เพื่อนสนิทได้
ทั้งหมดที่เรียวทำ...
เฮียไม่ได้ขอ
เฮียไม่ได้บังคับ
แต่เขาเต็มใจทำให้ทั้งนั้น
“ไอ้เรียว...”
“ไร?”
“มึงตะแคงไปข้างนู้นก็ได้นะ กูรู้ว่ามึงไม่ชอบนอนตะแคงข้างนี้”
เรียวสบสายตากับเพื่อนสนิทที่ตอนนี้มีแววตาเป็ประกายวิบวับ ก่อนเอ่ย “ถ้ามึงยังไม่ง่วงก็แค่หลับตา แต่ไม่ต้องชวนกูคุย เพราะกูจะนอนแล้ว”
“กูแค่บอกมึงเฉย ๆ ไม่ได้ชวนคุยต่อเลย”
“หลับตาได้แล้ว อีน้ำส้วม”
เฮียอมยิ้มก่อนจะหลับตาลง เ้าตัวเอามือทั้งสองข้างมาสอดไว้ใต้แก้มของตัวเอง ทำราวกับกำลังหนุนหมอนอีกใบอยู่ เรียวมองใบหน้าของเพื่อนสนิทพลางคิดว่า...
ไอ้เฮีย
กูเข้าไปปกป้องมึงในฝันไม่ได้หรอกนะ
แต่กูจะคอยปกป้องมึงในชีวิตจริงเอง...
#รักแท้ของผมคือคุณ
TBC
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้