นึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะตอบกลับมาเร็วขนาดนี้
“กำลังเดินกลับบ้านแล้ว”
“สอนพิเศษราบรื่นดีไหม? ”
“พอได้อยู่นะ เป็เด็กผู้หญิง เชื่อฟังมากเลยทีเดียว”
ชวีเสี่ยวปออมยิ้ม เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ยิ้มออกมา “ฉันอยู่กับซือจวิ้น นายจะออกมาด้วยไหม? ”
เซี่ยเจิงตอบกลับมาว่า “คงจะไม่ได้อะ ตอนกลางวันป้าหลี่ชวนไปกินเกี๊ยวที่บ้านเขา”
ชวีเสี่ยวปอเลือกสติกเกอร์คนเกรี้ยวกราดส่งไปตัวหนึ่ง ไม่ได้ส่งข้อความอะไรไปเพิ่มเติม จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงไป
อันที่จริงโดยปกติแล้วตอนที่เขาอยู่กับซือจวิ้น บทสนทนาที่ทั้งคู่พูดคุยกันก็เป็เื่เรื่อยเปื่อยไม่มีสาระแทบจะทั้งหมด แต่หลังจากที่เขาได้พิมพ์ข้อความคุยกับเซี่ยเจิงไปสองประโยคแล้ว ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าตอนแรกจะไม่ได้รู้สึกแย่อยู่แล้ว แต่พอได้คุยกับเซี่ยเจิงเขากลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
น่าประหลาด
“ปอเอ๋อร์? ”
ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของซือจวิ้นที่เต็มไปด้วยความสงสัยชะโงกเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขา
“ถ้าฉันใตายจนกลายเป็ผี ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ
“นายยิ้มอะไรกับโทรศัพท์น่ะ? ” ถ้าหากว่าเกมนี้เขาไม่ได้ตายไปซะก่อน ซือจวิ้นก็คงจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าชวีเสี่ยวปอที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังนั่งยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว
“ฉันยิ้มที่ไหนกัน? ” ชวีเสี่ยวปอจับไปที่ใบหน้าสองครั้ง “ไม่ได้ยิ้มนี่”
“นายคุยกับใครเหรอ? ” ซือจวิ้นยิ้มอย่างเ้าเล่ห์พร้อมทั้งขยับใบหน้ามาใกล้ๆ เขา “หรือว่ามีคนใหม่...”
“ไม่มี !” ชวีเสี่ยวปอรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงได้ปฏิเสธแทรกออกไปทันที “คุยกับเซี่ยเจิง”
“อ๋อ” ซือจวิ้นทำเสียงจิ๊ปากออกมาอย่างผิดหวัง จากนั้นก็ถามต่ออีกว่า “ไม่ใช่สิ คุยกับเซี่ยเจิงแล้วนายจะยิ้มขึ้นมาทำไม”
“เล่นของนายไปเถอะน่า !” ถูกซือจวิ้นถามไล่ต้อนจนเขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ชวีเสี่ยวปอจึงทำได้เพียงพูดเอาตัวรอดออกไปเท่านั้น จากนั้นก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่พร้อมทั้งเปิดอนิเมะเื่ที่เขากำลังติดตามอยู่ขึ้นมา
โดยปกติแล้วชวีเสี่ยวปอจะกดถูกใจตอนที่มาใหม่เอาไว้ทั้งหมดเพื่อที่จะทำให้ดูได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้น สุดท้ายแล้วเขาดูจบสามตอนภายในรวดเดียว จนกระทั่งซือจวิ้นมากระทุ้งแขนของเขา “ปอเอ๋อร์ ฉันหิวแล้วอะ”
“งั้นไป ไปกินข้าวกัน” ชวีเสี่ยวปอรีบปิดเครื่องทันที
บริเวณนั้นมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่แห่งหนึ่ง โดยปกติแล้วเมื่อพวกเขามาที่นี่ก็จะตรงไปยังชั้น้าตลอด ซึ่งชั้น้าจะเป็ชั้นของร้านอาหารและโรงภาพยนตร์ ในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้คนจึงเยอะขึ้นมาเป็พิเศษ ทั้งคู่จึงเลือกทานอาหารที่ตุ๋นออกมาเป็หม้อเพราะมันค่อนข้างที่จะได้เร็ว หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ทานเสร็จเป็ที่เรียบร้อย
“อีกเดี๋ยวไปไหนดี” ชวีเสี่ยวปอดื่มน้ำผลไม้เข้าปากไปอึกหนึ่ง “จะกลับไปที่ร้านอินเทอร์เน็ตอีกไหม? ”
“ไม่แล้วล่ะ” ซือจวิ้นกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปากไป พร้อมทั้งพูดออกมาเสียงไม่ชัด : “วันนี้มือไม่ค่อยดี แพ้ตลอดเลย เล่นจนหมดแรงไปหมดแล้วเนี่ย”
“มือไม่ดีบ้านนายสิ อย่างนายเรียกว่าอ่อนต่างหาก” ชวีเสี่ยวปอเยอะเย้ยออกไปอย่างไร้ความปรานี
“ถ้างั้นดูหนังกันไหม? ” หลังจากที่ซือจวิ้นกินคำสุดท้ายหมดก็เอนตัวพิงไปด้านหลัง พร้อมทั้งผ่อนลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกสบายใจ “่นี้มีหนังการ์ตูนเื่ใหม่เข้าโรงด้วยไม่ใช่เหรอ? ดูท่าแล้วน่าจะสนุกอยู่นะ เมื่อวานฉันเห็นจ้าวชิวเจียโพสต์ลงในโมเมนต์เพื่อนด้วย”
“ดูหนังการ์ตูนในวันหยุดแบบนี้มันจะต่างอะไรกับไปสนามเด็กเล่น” ชวีเสี่ยวปอมีประสบการณ์อันแสนจะเลวร้ายในการดูภาพยนตร์กับเด็กอยู่ครั้งหนึ่ง เนื่องจากครั้งนั้นเด็กน้อยที่นั่งอยู่ถัดจากเขา จู่ๆ ก็ปัสสาวะรดออกมาในขณะที่กำลังนั่งดูภาพยนตร์อยู่ ตอนแรกชวีเสี่ยวปอยังไม่ทันสังเกตเห็น แต่สักพักเขาก็รู้สึกว่ากางเกงของเขามันเปียกแฉะขึ้นมา ตอนนั้นจึงทำเอาเขาขยะแขยงเข้าอย่างจัง
ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังเข้าแอปพลิเคชันซื้อตั๋วหนังเพื่อค้นหาภาพยนตร์ที่กำลังเข้าฉายอยู่ตอนนี้ทั้งหมด นอกจากภาพยนตร์การ์ตูนเื่นี้แล้วก็ยังมีภาพยนตร์แนวฆาตกรรมลึกลับอีกเื่หนึ่งที่ยังมีที่นั่งว่างอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ดูเื่นี้ไหม? ” ชวีเสี่ยวปอยกโทรศัพท์ขึ้นมาให้ซือจวิ้นดู “เื่นี้คะแนนรีวิวสูงอยู่เหมือนกันนะ”
“ฉันได้หมดเลย” ซือจวิ้นไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
“ได้ งั้นเื่นี้เนอะ” ชวีเสี่ยวปอกดซื้อตั๋วภาพยนตร์รอบที่ใกล้จะฉายที่สุด ตอนเลือกที่นั่งกลับพบว่ารอบนี้คนดูน้อยมาก เพราะนอกจากพวกเขาทั้งสองคนก็มีเพียงแค่ห้าหกคนที่นั่งอยู่ตรงกลาง
ใน่สิบนาทีก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มฉายเขาทั้งคู่เพิ่งจะออกจากร้านอาหาร จากนั้นชวีเสี่ยวปอจึงไปรับตั๋ว ส่วนซือจวิ้นก็ไปซื้อป๊อปคอร์น ขณะนั้นคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าของเครื่องรับตั๋วอัตโนมัติค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่เมื่อถึงคิวของชวีเสี่ยวปอเขากลับได้ยินเสียงของคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังว่า :
“บังเอิญขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
ชวีเสี่ยวปอหันหน้ากลับไปดู ทันทีที่เห็นเขาคนนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกงงไปชั่วขณะ แต่แล้วแว่นกรอบสีทองนั้นก็เตือนให้เขาจำขึ้นมาได้ทันที
โจวเจ๋อหยวน
ถึงแม้ว่าท่าทางยิ้มแย้มของโจวเจ๋อหยวนจะสามารถนิยามได้ว่า “ไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร” ทว่าสัญชาตญาณของชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกอยากที่จะถอยหลังออกไปสักสองก้าว แต่ติดที่ว่าด้านหลังของเขามีเครื่องรับตั๋วอัตโนม้ติตั้งขว้างเอาไว้อยู่
คงจะเป็เพราะว่าชวีเสี่ยวปอยังคงจำท่าทีตอบโต้ที่ผิดปกติของเซี่ยเจิงเมื่อครั้งก่อนตอนที่ได้เจอกับคนคนนี้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นทันทีที่เห็นเขา ชวีเสี่ยวปอจึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
“นายมาดูหนังคนเดียวเหรอ? ” โจวเจ๋อหยวนถามออกไปด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่” ชวีเสี่ยวปอตอบ “มากับเพื่อน”
“ใช่เซี่ยเจิงไหม? ”
“ไม่ใช่ เพื่อนในห้อง” เมื่อได้ยินชื่อของเซี่ยเจิงออกมาจากปากโจวเจ๋อหยวน ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ตัวเขาเองไม่ค่อยอยากพูดกับโจวเจ๋อหยวนสักเท่าไหร่ เหตุผลแรกเป็เพราะท่าทีที่เซี่ยเจิงมีต่อคนคนนี้ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเป็เพราะว่ารอยยิ้มที่ดูเหมือนเดิมตลอดราวกับหุ่นยนต์ มันมักจะทำให้เขารู้สึกว่าคนคนนี้กำลังใส่หน้ากากเพื่อปิดบังหน้าตาที่แท้จริงของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“อ๋อ” โจวเจ๋อหยวนพยักหน้า “นายดูหนังเื่อะไรเหรอ? ”
ตอนที่โจวเจ๋อหยวนถาม ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็ได้ตั๋วออกมาพอดี จึงยื่นให้เขาดูอย่างเปิดเผย แต่คิดไม่ถึงว่าโจวเจ๋อหยวนกลับหัวเราะพร้อมทั้งพูดออกมาว่า :
“พวกเราดูรอบเดียวกันเลย”
“บังเอิญเนอะ” ชวีเสี่ยวปอตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นซือจวิ้นกำลังมองหาเขาอยู่พอดี ชวีเสี่ยวปอจึงเงยคางให้กับโจวเจ๋อหยวนไปทีหนึ่ง “ผมไปก่อนนะ”
“โอเค” โจวเจ๋อหยวนพยักหน้า
“นายรู้จักเหรอ? ” ซือจวิ้นยัดป๊อปคอร์นเข้าปากไป เมื่อครู่นี้เขาเห็นชวีเสี่ยวปอกับโจวเจ๋อหยวนยืนคุยกันอยู่
“จะว่างั้นก็ได้ แต่ไม่ได้สนิทเท่าไหร่” ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปทางเครื่องรับตั๋วอัตโนมัติด้วยท่าทีที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ แล้วเขาก็พบว่าโจวเจ๋อหยวนไม่ได้มาคนเดียว หลังจากที่เขารับตั๋วเสร็จ ผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกันกับเขาซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็เดินเข้าไปหาเขาทันที พวกเขาทั้งสองคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปยังจุดตรวจตั๋ว ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที พร้อมทั้งดึงแขนของซือจวิ้นให้รีบตามมาพลางพูดออกไปว่า : “เข้าไปข้างในค่อยกิน !”
พอเข้ามาในโรงภาพยนตร์แล้วเขาถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย
ที่นั่งของพวกเขาทั้งสองคนอยู่ทางด้านหลัง ส่วนโจวเจ๋อหยวนก็อยู่ห่างจากพวกเขาไปพอสมควร ตอนที่เดินเข้ามาเขายังพยักหน้าให้ชวีเสี่ยวปอด้วยครั้งหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอจึงจำต้องพยักหน้าตอบกลับไป แต่ผู้ชายคนนั้นที่อยู่ข้างๆ โจวเจ๋อหยวน หลังจากที่เขานั่งลงเรียบร้อยแล้วก็ยังหันหลังกลับมามองชวีเสี่ยวปออยู่หลายครั้ง ท่าทางดูน่าสงสัยมากเลยทีเดียว
“คนนั้นเขาคือใครเหรอ? ” ซือจวิ้นสงสัยขึ้นมา
“เป็เพื่อนบ้านของเซี่ยเจิงน่ะ บังเอิญเจอครั้งหนึ่งตอนไปบ้านของเซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอพูดเสียงเบา
ทันใดนั้นไฟในโรงภาพยนตร์ก็ดับลง โฆษณาเริ่มฉายขึ้นมาบนหน้าจอ ซือจวิ้นจึงไม่ได้ถามอะไรต่อแล้ว... แต่จะว่าไปแล้วภาพยนตร์เื่นี้ก็สนุกใช้ได้เลยเหมือนกัน และพล็อตเื่ก็ยังเป็แบบที่ชวีเสี่ยวปอชอบอีกด้วย ในตอนที่เพลงประกอบภาพยนตร์ในตอนท้ายดังขึ้นชวีเสี่ยวปอยังรู้สึกอยากที่จะดูต่ออยู่เลย :
“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนนั้นจะเป็สายลับแฝงตัวเข้ามา !”
“ใช่ ฉันนึกว่าตอนสุดท้ายเขาจะตายซะอีก”
ทั้งสองคนเดินออกมาพลางพูดคุยกันถึงฉากของภาพยนตร์ไปด้วย เมื่อเดินออกมาด้านนอกซือจวิ้นก็รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอจึงถือถังป๊อปคอร์นที่เหลืออีกครึ่งถังมารอข้างนอก
“นายก็รอใครอยู่เหมือนกันเหรอ? ” มีใครบางคนเดินเข้ามาพูดข้างๆ เขา
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้ตอบกลับไปโดยทันที เพราะคนที่พูดขึ้นมานี้คือผู้ชายคนนั้นที่มากับโจวเจ๋อหยวน และคงจะคิดว่าเขารู้จักกับโจวเจ๋อหยวน จึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูสนิทคุ้นเคยกันเช่นนี้ แต่มันกลับทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
“อืม” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า
“นายยังเป็นักเรียนอยู่ใช่ไหม? ” อีกฝ่ายถามขึ้นต่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สนใจท่าทีตอบกลับที่เ็าของชวีเสี่ยวปอเลย
“ใช่” ชวีเสี่ยวปอตอบ
“แอดวีแชทกัน? เดี๋ยววันหลังจะได้ออกมาเที่ยวด้วยกัน” อีกฝ่ายรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที “นายจะสแกนของฉัน หรือว่าให้ฉันสแกนของนายดี? ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกงุนงงกับการกระทำทั้งหมดนี้ของเขาเป็อย่างมาก แต่เขายังคงรู้สึกตัวดีอยู่ “แอดวีแชทนี่คงไม่ต้องหรอกมั้ง”
“ทำความรู้จักกันสักหน่อยไง” อีกฝ่ายยิ้มออกมา “นายหล่อขนาดนี้”
“ผมบอกว่าไม่ได้ไง” ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เห็นชัดๆ ว่าประโยคนั้นเป็คำชม แต่ชวีเสี่ยวปอกลับรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก น้ำเสียงของเขาจึงดูไม่ค่อยพอใจตามไปด้วย “ผมไม่ได้อยากรู้จักคุณ”
“งั้นก็ได้” อีกฝ่ายผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเก็บโทรศัพท์ลงไปอย่างเขินอาย ทั้งยังมองชวีเสี่ยวปอด้วยสายตาที่รู้สึกเสียดาย : “นายไม่ใช่หรอกเหรอ? ”
“ใช่อะไร? ” ชวีเสี่ยวปอถามกลับไป