หากจะพูดไปแล้ว หลินฟางเฉาเลี้ยงเด็กคนนี้มาั้แ่เกิด ความรู้สึกของเธอจึงแทบจะถือว่าเป็แม่ของเขาได้ด้วยซ้ำ
‘พี่สาวเป็เหมือนแม่’ คำนี้ใช้ได้กับฟางเฉาและเซียงฉินอย่างแน่นอน
ฟางเฉาแตะหน้าผากชื้นเหงื่อของเด็กน้อยเบาๆ จากนั้นก็ใช้แขนเสื้อซับให้ อดกังวลไม่ได้ว่าเด็กชายอาจจะป่วยอีกแล้ว
เซียงฉินคลอดก่อนกำหนดเพราะแม่ของเขาใเื่ที่สามีประสบอุบัติเหตุ พอหลังจากคลอดลูกแล้ว ฟางฮุ่ยก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและไม่ได้ดูแลเด็กให้ดีเลย
แม้หลินฟางเฉาจะพยายามช่วยดูแลอยู่ข้างๆ แต่ในตอนนั้นเธอยังเด็กเกินไป และไม่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลเด็กมากพอที่จะทดแทนความเอาใจใส่ของผู้ใหญ่ได้
ผลกระทบทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เด็กชายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภูมิคุ้มกันของหลินเซียงฉินเรียกว่าอ่อนแอมาก ขอเพียงอากาศเปลี่ยน หรือเกิดอะไรขึ้นเล็กน้อย ร่างเล็กๆ ของเขาก็พร้อมจะป่วยไข้ได้ตลอดเวลา
ดูเหมือนการเดินทางที่ยาวนานและน่าอึดอัดนี้จะทำให้เขาเริ่มไม่สบายแล้ว
ฟางเฉากระซิบ “อดทนหน่อยนะ อีกเดี๋ยวเราก็จะถึงแล้ว”
เด็กน้อยตอบอืมในลำคออย่างเซื่องซึม ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของพี่สาวเงียบๆ ร่างกายเริ่มอึดอัดและร้อนรุ่ม แต่เขากลับไม่มีท่าทีงอแงหรือบ่นเลย
นี่เป็ผลจากการป่วยมานานั้แ่ที่ยังจำความไม่ได้ เขารู้ว่าหากร้องไห้ คนรอบตัวจะมีท่าทีรำคาญใจแล้วจะทำให้พี่สาวมีปัญหามากขึ้น
ฟางเฉารู้สึกปวดใจ เด็กที่รู้ความจนน่าสงสารเป็แบบนี้เอง มันทำให้เธอรู้สึกเป็ทุกข์มากยิ่งกว่าการโวยวายของน้องชายในโลกก่อนเสียอีก
ใกล้เที่ยง พวกเขาก็ผ่านเข้ามายังตัวเมืองแล้ว
เสียงล้อรถบดบนถนนดังสะท้อน ก่อให้เกิดฝุ่นละอองบางเบาท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว
ฟางเฉาคว้าถุงสัมภาระและพาน้องชายก้าวลงจากรถอย่างระมัดระวัง
ระยะทางในชนบทถึงตัวเมืองเกือบ 80 กิโลเมตร ไม่นับรถประจำทางที่ดูเก่าทรุดโทรม เพียงแค่ถนนลูกรังขรุขระตลอดทั้งเส้นทางก็ทำให้กินเวลาไปหลายชั่วโมงแล้ว
เนื่องจาก้าประหยัดค่าเดินทาง สองพี่น้องจึงบีบตัวให้อยู่ในพื้นที่เล็กแคบท้ายรถ โดยจัดแจงสัมภาระและเบียดตัวกันอย่างเต็มที่ จนสามารถใช้เพียงที่นั่งเดียวได้สำเร็จ
ถึงกระนั้น ค่าเดินทาง 3 หยวนก็ทำให้ทรัพย์สินเล็กน้อยที่ติดตัวมาหายไปกว่าครึ่ง
ฟางเฉายัดเงินที่เหลือใส่กระเป๋าด้านในอย่างระมัดระวัง เมื่อมือของเธอััเศษเหรียญเหล่านี้จิตใจก็เริ่มตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย
ทว่าก่อนที่เธอจะคิดเื่อื่น ตอนนี้คงต้องรีบพาเด็กชายไปหาอาหญิงโดยเร็ว
พวกเขามองไปรอบๆ เมืองที่ไม่คุ้นเคย ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาบนถนนที่เต็มไปด้วยแผงลอยขนาดเล็กและรถจักรยานสองล้อ
“พี่สาว พวกเราจะไปทางไหน?” หลินเซียงฉินถามเสียงเบา พลางจับชายเสื้อพี่สาวไว้แน่น
ฟางเฉาเงยหน้ามองซ้ายขวา แม้หัวใจจะเต้นแรงจากความกังวล แต่เธอก็พยายามสงบสติอารมณ์ “ไม่เป็ไร เราจะถามทางจากคนแถวนี้”
เธอจำที่อยู่ของอาหญิงได้ แต่หลินฟางเฉาเคยมาเยือนเมืองนี้เพียงครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเธอมารับหลินเกากับลุงใหญ่ และได้พักที่บ้านอาหญิงหนึ่งคืน ขณะนั้นเธอยังเด็ก ความทรงจำจึงเลือนราง ทำให้ไม่มั่นใจในรายละเอียดมากนัก
เธอกระชับมือของน้องชายแน่นเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มรู้สึกประหม่า เด็กชายที่ยังไม่เคยเห็นเมืองใหญ่มาก่อนเบียดตัวเข้ามาใกล้พี่สาวของเขา ในขณะที่ฟางเฉาพยายามมองหาคนที่พอจะถามทางได้
“พี่สาว ขอโทษนะคะ… ขอรบกวนถามทางคุณหน่อยได้หรือเปล่า?” ฟางเฉารีบถามหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังถือถุงผักสด
หญิงคนนั้นมองสองพี่น้องด้วยความสงสัย เมื่อเห็นว่าทั้งคู่แต่งตัวซอมซ่อเหมือนคนบ้านนอก แต่เด็กสาวกลับค่อนข้างมีไหวพริบและกล้าพูด เธอจึงฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปทางถนนเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไป
“เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาตรงหัวมุมนั้น” เธอว่า “ลานบ้านที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ด้านหน้า คงใช่ที่นั่นแหละ”
ฟางเฉาก้มศีรษะขอบคุณก่อนจะจูงมือหลินเซียงฉินไปตามทางที่หญิงคนนั้นบอก
เด็กชายสามขวบดูอ่อนแอ แต่กลับกุมมือพี่สาว ก้าวเท้าตามเธอช้าๆ อย่างไม่บ่นเลย เพราะเวลาที่ฟางเฉาต้องไปตัดหญ้าให้อาหารหมูหรือออกไปซักผ้าข้างลำธาร เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอ
ไม่ใช่ว่าหลินฟางเฉาไม่อยากช่วยเขา แต่ร่างนี้ของเธอก็ตัวเล็กผอมบางอยู่แล้ว แถมยังต้องถือสัมภาระอีกข้างหนึ่ง ลำพังแค่ข้างของในกระสอบก็แทบจะทำให้เธอหมดแรงแล้ว
พวกเขาเดินผ่านซอยแคบ ๆ ที่มีบ้านเรือนเรียงราย บางหลังมีเด็กๆ เล่นอยู่หน้าบ้าน เสียงหัวเราะของพวกเขาทำให้หลินเซียงฉินเอียงหน้ามองอย่างสนอกสนใจ
เมื่อมาถึงลานบ้านที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่หน้าประตู ฟางเฉายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพาเซียงฉินเข้าไป เมื่อทั้งคู่เข้ามาก็ดึงดูดสายตาของเพื่อนบ้านสองสามคนที่นั่งพักอยู่ใต้ชายคาบ้านใกล้เคียงทันที
ผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังหอบผ้ามาซักมองทั้งคู่อย่างสงสัยและเข้ามาถาม หลังจากฟังที่ฟางเฉาพูดแล้ว เธอก็หันไปะโเรียกในทิศทางห้องหนึ่ง “หลินเหมย! มีคนมาหา!”
“ใครมาหาเหรอ?” เสียงผู้หญิงดังออกมาจากในบ้าน ไม่ช้าประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนในเสื้อผ้าธรรมดา เธอมองเด็กทั้งสองคนด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวเฉา เสี่ยวฉิน?”
“อาหญิง” ฟางเฉาทักทายเสียงเบา
หลินเหมยมักจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ทุกปี ดังนั้นจึงยังคุ้นเคยกับสองพี่น้องอยู่บ้าง
“เข้าบ้านก่อนสิ…” เมื่อเห็นหลานชายหน้าแดงด้วยความร้อนจากไอแดด เธอก็รีบพาทั้งคู่เข้ามาในบ้าน
“นั่งก่อนสิ เด็กๆ” หลินเหมยกล่าวพลางดึงเก้าอี้ไม้ตัวเก่ามาให้ ฟางเฉาและเซียงฉินนั่งลงอย่างเรียบร้อย
เมื่อทั้งสองพี่น้องก้าวเข้ามาในบ้านของหลินเหมย ความอบอ้าวจากภายนอกดูเหมือนจะลดลง แต่ความรู้สึกอึดอัดในใจของฟางเฉากลับเพิ่มขึ้น
หลินเหมยดูเหมือนจะตระหนักได้แล้วว่าทำไมทั้งคู่ถึงมาอยู่ที่นี่ ความรู้สึกปนเประหว่างความสงสารและกังวลใจ
เธอรู้ดีว่าภาระนี้อาจเพิ่มความลำบากให้ครอบครัวของเธอ แต่เมื่อคิดว่าไม่มีใครดูแลลูกๆ ของพี่ชายผู้ล่วงลับ เธอก็ไม่อาจเมินเฉยต่อพวกเขาได้
หลินเหมยกวาดสายตามองหลานทั้งสอง ใบหน้าของเซียงฉินแดงเรื่อจากความร้อนและอ่อนเพลีย ดูเหมือนจะมีไข้เล็กน้อย ส่วนฟางเฉาก็ดูซีดเซียว เธอถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปในครัว “เดี๋ยวอาเอาอะไรมารองท้องให้ก่อนนะ”
ฟางเฉาโล่งใจ ดูเหมือนอาหญิงคนนี้จะพึ่งพาได้ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีสถานที่ให้ปักหลัก
ไม่นาน หลินเหมยก็กลับมาพร้อมจานที่มีซาลาเปาเพียงสองลูกและน้ำอุ่นในขวดเก็บน้ำ “กินกันก่อนนะ เหลือแค่นี้จากเมื่อเช้า เดี๋ยวเย็นนี้อาจะทำอะไรเพิ่ม”
“ขอบคุณค่ะอา” เธอหยิบซาลาเปาหนึ่งลูกให้น้องชาย ส่วนตัวเองหยิบอีกลูกและกัดคำเล็กๆ เท่านั้น
ทั้งสองเพิ่งผ่านการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก แม้ว่าร่างกายจะรู้สึกโลภเมื่อได้กลิ่นอาหาร แต่กระเพาะก็ไม่ให้ความร่วมมือมากนัก เพียงแต่กินดื่มเพื่อฟื้นกำลัง
ฟางเฉานึกบางอย่างได้ แล้วก็เปิดสัมภาระของเธอออก
กระสอบขนาดครึ่งตัวที่หอบมาตลอดทาง แท้จริงแล้วมีมันเทศกองใหญ่รวมอยู่ด้วย!
แน่นอนว่าผู้เฒ่าหลินยังรู้สึกลำบากใจที่ผลักภาระไปหาลูกสาวคนเล็ก ดังนั้นจึงมอบสิ่งนี้มาให้ด้วย อย่างน้อยก็สามารถลดค่าอาหารของทั้งครอบครัวได้ครึ่งหนึ่ง
หลินเหมยไม่ได้ปฏิเสธ แต่เธอมองร่างเล็กๆ ของฟางเฉาที่แบกของหนักขนาดนี้มาตลอดทางอย่างสงสารเล็กน้อย จากนั้นจึงนำมันเทศไปเก็บในครัว
“พวกเธออยู่ที่นี่เถอะ ถึงอาจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็จะไม่ปล่อยให้หลานของตัวเองต้องไร้ที่อยู่” อีกอย่าง ในเมื่อพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว เธอก็คงไม่อาจใจแข็งพอที่จะไล่พวกเขากลับไปในสภาพนี้ได้หรอก ใช่ไหม?
“ขอบคุณค่ะอาหญิง” ฟางเฉาขอบคุณ และรีบบอก “หนูจะไม่รบกวนบ้านอาหญิงไปตลอด หนูคุยกับย่าแล้วว่าจะหางานทำ ถ้ามีเงินแล้ว พวกเราพี่น้องก็จะเช่าห้องเองได้...”
“เช่าอะไรให้เปลืองเงินล่ะ” หลินเหมยตัดบท “อีกอย่างพวกเธอก็เป็หลานอา ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจขนาดนั้นหรอกครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น”
แม้ว่าคำพูดแสนรู้ความของฟางเฉาจะทำให้เธอพอใจ แต่หลินเหมยที่อยู่ในเมืองก็รู้ดีว่างานไม่ได้หาง่ายนัก อีกทั้งหลานสาวของเธอเพิ่งจะอายุ 15 ทั้งตัวเล็กและผอม คงไม่มีใครอยากจะจ้างงานนักหรอก
ฟางเฉาไม่ได้พูดอะไร เธอรู้ในใจว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง
ในชีวิตก่อนเธอออกมาหางานทำในเมือง ล้มลุกคลุกคลานมาหลายปี อย่างน้อยควรจะมีประสบการณ์หาเงินค่ากินอยู่ได้บ้างถูกไหม?
“ไปนอนพักก่อนเถอะ ตอนนี้ยังเที่ยงอยู่ เดี๋ยวตอนเย็นทุกคนกลับมาแล้ว เราค่อยมาพูดคุยกัน” หลินเหมยว่า
เธอจัดที่นอนให้หลานสองคนในห้องเดียวกับลูกๆ ของเธอ ห้องคับแคบนี้มีเพียงเตียงเก่ากับฟูกบางๆ แต่ฟางเฉาไม่ได้บ่นอะไร เธอรู้ว่าพวกเขาโชคดีแค่ไหนที่ได้มีที่ซุกหัวนอนในเวลานี้
หลังจากเช็ดหน้าเช็ดคอให้เซียงฉิน เด็กชายก็หลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน ฟางเฉาโล่งใจที่เขาไม่ได้ตัวร้อนขึ้น เธอให้เขากินยาลดไข้แบบพื้นบ้านของหลินเหมยไปแล้ว และหวังว่าอาการของเขาจะดีขึ้นหลังจากตื่น
เธอมองเด็กชายอยู่สักพัก ความง่วงก็เริ่มแทรกซึมจนต้านไม่ไหว
เดิมทียังอยากนอนคิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี และไม่รู้ว่าจะใช้อะไรจากอดีตมาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตอนนี้
หลายปีกว่าจะเก็บเงินซื้อร้านรถเข็นของตัวเองได้ ทั้งยังได้พบทำเลดีๆ ที่มีลูกค้าประจำหลายคนแล้ว
...เธอคิดถึงสถานที่แห่งนั้นโดยไม่รู้ตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้