เล่มที่ 4 บทที่ 109
ท่าทีแน่วแน่ของมู่หรงฉิงเป็สาเหตุให้ปี้เอ๋อร์นิ่งคิดไปชั่วครู่หนึ่ง ทว่านางทำได้เพียงทำตามคำแนะนำเท่านั้น จ้าวจื่อซินมองไปที่มู่หรงฉิงอย่างเ็าด้วยไม่รู้ว่าเด็กสาว้าทำอะไร? แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้หยุดนาง
เมื่อปี้เอ๋อร์นำยาในถ้วยขนาดใหญ่สองถ้วยเข้ามา มู่หรงฉิงจึงเริ่มตัดผ้าพันแผลออก ครั้นได้เห็นแผลอันน่าตกตะลึง มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อย
นางหายใจเข้าออกลึกๆ สองสามหน ก่อนหยิบชามยาที่สามารถใช้ทำให้เกิดอาการชา และทายาบนาแอย่างประณีต ในตอนแรกชิงยวี่เปล่งเสียงฮือๆ สองครั้ง ก่อนเขาจะสงบลง จากนั้นใช้ยาแก้อักเสบทาลงบนาแ เมื่อรับรองได้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี นางจึงยกเข็มขึ้นด้วยมือสั่นเทา และค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาาแนั้น
จ้าวจื่อซินได้เห็นเข็ม เขาก็เข้าใจทันทีว่ามู่หรงฉิง้าจะทำอะไร ดวงตาเป็ประกาย ในจังหวะที่กำลังจะลุกขึ้น เขาคล้ายจะคิดอะไรบางอย่างได้จึงหย่อนตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ และมองดูมือสั่นเทาของนางด้วยความสนใจ นางเย็บแผลกว้างสองนิ้วโดยพยายามเย็บทีละหนึ่งด้าย
กระทั่งนาฬิกาทรายเดินกลับไปและกลับมาหนึ่งรอบ มู่หรงฉิงถึงเย็บแผลยาวเสร็จสมบูรณ์ หลังจากรับรองได้ว่าเย็บแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็เช็ดแผลด้วยยาแก้อักเสบและปิดแผลด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง
หลังจากทำงานเป็เวลาสองชั่วยาม ทุกอย่างจึงเสร็จสิ้นในเวลานี้ มู่หรงฉิงถึงกับรู้สึกอ่อนแอหมดเรี่ยวแรง แม้แต่สมองของนางยังเหมือนจะพังทลาย ครั้นทำความสะอาดมือและใบหน้าแล้ว มู่หรงฉิงก็นั่งลงบนเก้าอี้พลางหายใจอย่างยากลําบาก
ขณะแทงเข็มทะลุผ่านเข้าไปที่แผล ยามเสียงด้ายผ่านเนื้อเหมือนเสียงรบกวนที่ไม่หายไปเป็เวลานาน ความรู้สึกนั้นช่างน่าอึดอัดจริงๆ
“ด้วยเข็มและด้ายเหมือนกัน เ้าสามารถใช้งานแตกต่างกันได้ ไม่แปลกจริงๆ ที่เ้าเป็ศิษย์ของหมอเทวดา มีเพียงเ้าเท่านั้นที่คิดวิธีนี้ได้”
คำพูดของจ้าวจื่อซินไม่ได้เป็การถากถางดูถูก? หรือเป็การชื่นชมอย่างจริงใจ?
มู่หรงฉิงไม่มีใจจะไปสนใจจ้าวจื่อซิน แต่จ้าวจื่อซินกลับถามคำถามที่ทำให้นางลำบากใจ “ด้ายนี้ถูกเย็บแล้ว จะถอดออกได้เมื่อใด? แล้วควรจะถอดอย่างไรหรือ? แล้วใครจะเป็คนถอดหรือ?”
คำถามสามข้อถูกเอ่ยออกมาในลมหายใจเดียว และคำถามทั้งหมดนั้นได้เอ่ยถึงประเด็นสำคัญ สมองของมู่หรงฉิงยังไม่ฟื้นกลับมาเป็ปกติ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซิน นางก็รู้สึกสับสนเช่นเดียวกัน นางรู้เพียงวิธีการเย็บแผล ทว่าด้ายจะต้องตัดออกหรือไม่?
อาการาเ็ของชิงยวี่นั้นค่อนข้างสาหัส เดิมไม่เหมาะสำหรับเขาที่จะออกเดินทางในทันที แต่นี่ก็เป็เวลาสองวันแล้ว ถ้าเกิดยังไม่เดินทางอีก เกรงว่าถ้าใช้เวลายาวนาน สิ่งต่างๆ อาจจะเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี และเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีเพิ่มมากมาย
ในูเาลึกแห่งนี้มีเพียงยาสมุนไพร ถ้าชิงยวี่้าฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด เขาจะต้องกลับไปที่จวนเฉิน ถึงจะมียาที่ดี หลังจากหารือกับจ้าวจื่อซิน ชายหนุ่มจึงตอบกลับโดยไม่ต้องหยุดคิด “แน่นอนว่าจะต้องกลับไปที่จวนเฉิน การอยู่บนูเาแห่งนี้มีแต่จะทำให้อาการาเ็แย่ลงมากกว่าเดิม”
ตามคำพูดของจ้าวจื่อซินย่อมเป็เื่ปกติที่จะต้องเร่งรีบในการเดินทางชั่วข้ามคืน หลายคนกลับไปที่จวนเฉิน ขณะนั้นท้องฟ้าได้กลายเป็สีขาวแล้ว หลังจากตรวจสอบอาการาเ็ของชิงยวี่ มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกผิดอย่างมิอาจห้ามได้ ชิงยวี่ได้รับาเ็สาหัสแต่ยังต้องขี่ม้าเป็เวลานาน าแที่เย็บอย่างยากลำบากจึงเปิดออก ฉะนั้นคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเย็บแผลใหม่อีกหน
เมื่อเฉินเทียนหยูกลับไปที่จวนเฉิน เขาก็ซ่อนผลไม้ไว้ในห้องและไม่เคยออกจากเรือนม่อเหออีกเลย ฟากฝ่ายมู่หรงฉิงก็ไม่ใช่เื่ง่ายที่จะเย็บแผลของชิงยวี่จนเสร็จเรียบร้อยในที่สุด จากนั้นนางจึงล้างมือและกลับไปที่เรือนม่อเหอ
หลังจากเข้าไปในลานเรือนก็ตรงไปหายวี้เอ๋อร์ก่อนด้วยท่าทีคล้ายห่วงใย มือของยวี้เอ๋อร์ใช้การไม่ได้แล้ว และไม่สามารถถืออะไรได้ ครั้นเห็นมู่หรงฉิงเดินมาถึงห้องเก็บฟืน นางจึงมองมู่หรงฉิงพร้อมหลั่งน้ำตาทันที ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากใช้ขี้ผึ้งของแม่รองเฉินเป็เวลาหลายวัน ใบหน้าของนางถึงกับฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี
ท่าทางน้อยใจของยวี้เอ๋อร์ส่งผลให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกเวทนาจริงๆ ทว่าถ้าผ่านไปอีกสักหลายวัน ใบหน้าของนางคงไม่น่าจับจ้องอีก ไม่รู้ว่านางจะทำหน้าทำตาเช่นนั้นอีกหรือไม่ และไม่รู้ว่ามันจะน่ามองหรือน่ากลัวกันแน่?
ใบหน้าของมู่หรงฉิงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเสียใจกับยวี้เอ๋อร์ นางดึงมือของยวี้เอ๋อร์เบาๆ “ลำบากเ้าแล้ว เดิมคิดว่าสองสามวันนี้จะขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าให้ปล่อยเ้ากลับเรือน แต่วันก่อนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธแล้ว เวลานี้แม้กระทั่งข้ายังยากจะป้องกันตัวเอง ทำให้เ้าต้องลำบากอยู่ในห้องเก็บฟืนอีกสองสามวัน หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าหายโกรธแล้ว ข้าจะไปขอฮูหยินผู้เฒ่า”
ยวี้เอ๋อร์ได้ฟัง น้ำตาก็ไหลร่วงลงมาทันใด มู่หรงฉิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาที่หางตาของอีกฝ่าย ก่อนที่จะพูดต่อว่า “แม้ว่าวันนั้นข้าจะเห็นหมอเทวดาที่จวนของฮูหยินหลิง ถึงกระนั้นข้าก็ไม่ทันได้พูดคุยด้วย ได้ยินจ้าวจื่อซินบอกว่าหมอเทวดาเก่งกาจด้านการแพทย์ หลังจากนี้อีกสองวัน ข้าจะส่งจดหมายขอเข้าพบหมอเทวดา ข้าไม่รู้ว่าจะได้พบเขาหรือไม่?”
กระดูกมือของยวี้เอ๋อร์แตกหักแล้ว แม้จะมียารักษา แต่ก็ยากที่จะรักษากระดูกแตกหักได้ ถ้าอยากจะทำให้หายดี แม้กระทั่งผู้เป็ะอยู่เหนือกาลเวลาก็รักษาไม่ได้ ด้วยสาเหตุที่ว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระตุ้นยวี้เอ๋อร์ และยังให้ความหวังอันฟุ่มเฟือยแก่คนตรงหน้าด้วย หลังจากนางไปพบหมอเทวดาด้วยตัวเอง นั่นจะเป็การเริ่มต้นการแสดงที่ดีจริงๆ เสียที
ก่อนออกจากจวน นางจงใจสั่งกำชับชุ่ยเอ๋อร์ว่าสามารถทำตัวี้เีเหมือนเ้านายไม่อยู่ เพื่อให้โอกาสยวี้เอ๋อร์ได้ติดต่อกับอนุหนิงด้วย ใน่สองวันที่ผ่านมา ยวี้เอ๋อร์อาจจะเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่นางแค่ไม่รู้ว่ายวี้เอ๋อร์จะใช้วิธีการอย่างไรในการให้หมอเทวดารักษาด้วยตัวเอง?
หลังจากกำชับแม่นมทั้งสองคน มู่หรงฉิงก็ออกจากห้องเก็บฟืนและเข้าไปในเรือน “ได้ยินชุ่ยเอ๋อร์พูดว่าแม่นมจิ่นออกจากจวนเฉินสามหนในสองวันที่ผ่านมา คิดว่านางจะต้องไปพบกับอนุหนิง”
่ที่มู่หรงฉิงกำลังเย็บแผลของชิงยวี่ ปี้เอ๋อร์ได้กลับไปที่เรือนม่อเหอเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ เมื่อเห็นมู่หรงฉิงเข้ามาในห้อง ปี้เอ๋อร์จึงรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าเพื่อประคองผู้เป็นายหญิงพร้อมกระซิบอย่างแ่เบาว่า “ดูเหมือนว่าใน่สองวันนี้ แม่รองเฉินกำลังเตรียมการอะไรบางอย่าง สิ้นเดือนหน้าจะเป็วันคล้ายวันเกิดของอาจารย์องค์ชายรัชทายาท แม่รองเฉินคงจะเคลื่อนไหวในวันคล้ายวันเกิดของอาจารย์องค์ชายรัชทายาท”
หลังจากพยักหน้า ทั้งสองคนก็เข้าไปในห้องด้านใน แต่กลับเห็นเฉินเทียนหยูมีท่าทีคล้ายขโมย เขาปิดหน้าต่างและเฝ้าอยู่ที่ประตู
ตอนนี้เฉินเทียนหยูเป็เหมือนเด็กจากครอบครัวยากจนข้นแค้นผู้ซึ่งเพิ่งได้รับกระสอบใส่ข้าว กอปรกับอากัปกิริยาระแวดระวังของเขา มู่หรงฉิงเห็นแล้วถึงกับรู้สึกปวดใจ การกระทำของเฉินเทียนหยูทำให้คนรู้สึกเ็ป มู่หรงฉิงจึงไม่ลังเลอีกต่อไป หากพยายามก็ต้องตายและถ้าไม่พยายามก็ต้องตาย แค่รอเวลาช้าเร็วเท่านั้น หากจะบอกว่าหลังจากทุกข์ทรมานจะต้องตาย นั่นหมายความว่า์จะนำเขากลับคืน แต่ถ้าเขารอดด้วยวิธีนี้ นั่นย่อมหมายความว่าอายุขัยของเขายังอีกยาวไกล
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่ตายในหายนะ ย่อมต้องมีพร’ เฉินเทียนหยูมีพรอะไรบ้าง? มู่หรงฉิงไม่รู้ นางรู้แค่ว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องลอง ชิงยวี่ใช้ชีวิตของเขาเพื่อแลกกับหญ้าชิงโยว ดังนั้นนางต้องไม่ทิ้งมันไว้ให้สูญเปล่า
ความคิดนั้นทำให้มู่หรงฉิงก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเฉินเทียนหยู อาจเป็เพราะความตื่นเต้นมากเกินไป มือของเฉินเทียนหยูจึงสั่นเทาเล็กน้อย “ท่านพี่ พวกเราทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สบอารมณ์แล้ว พวกเราควรจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกสบายใจถึงจะถูก ก่อนหน้านี้พวกเราออกจากจวนโดยไม่ได้แจ้งอะไรเลย และเวลานี้พวกเราก็กลับมาแล้ว มันย่อมถึงเวลาที่พวกเราจะสารภาพผิดต่อฮูหยินผู้เฒ่า ท่านพี่คิดว่าใช่หรือไม่?”
เฉินเทียนหยูได้รับผลไม้จำนวนมากและเขากำลังมีความสุข หลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาควรจะต้องทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจ? แต่เพราะเห็นท่าทางของมู่หรงฉิงเต็มไปด้วยความจริงจัง เขาจึงพยักหน้า “ได้ น้องหญิงพูดอะไร ข้าจะทำทุกอย่างที่น้องหญิงพูด”
หลังจากเฉินเทียนหยูพยักหน้าเห็นด้วย มู่หรงฉิงถึงได้ดึงเขาไปนั่งบนเก้าอี้ ก่อนที่จะมอบหมายและอธิบายให้เขาฟังอย่างระมัดระวัง
ใน่เวลาซื่อฉือ มู่หรงฉิงรับรองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเฉินเทียนหยูจะไม่พูดอะไรผิดอีกต่อไป นางจึงพาปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์ที่เตรียมขนมของว่างหลายชนิดไว้คอยท่ามาั้แ่เนิ่นๆ จากนั้นกลุ่มคนจึงไปที่เรือนสือเสียน
ทันทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินสาวใช้รายงานว่า คุณชายรองและฮูหยินน้อยมาคำนับ นางก็เปล่งเสียงบ่นอย่างเ็าว่า “ช่างเลือกเวลาได้เก่งจริงๆ นี่ก็เวลาเที่ยงแล้ว ยังจะมาคำนับอะไรหรือ?”
ขณะนั้นมู่หรงฉิงรออยู่ที่หน้าประตู หลังจากได้ยินเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าที่ตั้งใจพูดให้นางฟัง นางกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกใดมากนัก และดึงเฉินเทียนหยูตรงเข้าไปในห้องโถง
“ฉิงเอ๋อร์น้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า”
“หลานชายน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่า”
ทั้งสองคนคุกเข่าลงเบื้องหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าและคำนับอย่างเป็ทางการ ฮูหยินผู้เฒ่าถือถ้วยน้ำชาพลางเหลือบมองสองสามีภรรยาคนปราดหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มองคนทั้งคู่อีกเลยและแค่ดื่มน้ำชาเงียบๆ ราวกับว่าพวกเขาที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้นไม่มีตัวตน
หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดว่าให้ลุกขึ้น มู่หรงฉิงย่อมไม่ลุกขึ้นโดยธรรมชาติ แต่สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่คาดคิดก็คือ เฉินเทียนหยูก้มศีรษะลงและคุกเข่าลงอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่พูดพึมพำแม้กระทั่งครั้งเดียว นี่มันผิดไปจากปกติจริงๆ
ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่อาจทนสงบได้อีกต่อไป นางเปิดปากถามเฉินเทียนหยูก่อน “ทำไมวันนี้เ้าถึงไม่รู้สึกเห็นใจน้องหญิงแสนหวานของเ้าแล้วล่ะ? ไม่กลัวว่านางคุกเข่าแล้วจะทำให้เข่าของนางาเ็หรือ?”
ครั้นได้ยินคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า เฉินเทียนหยูถึงกับใ เขาลอบพูดพึมพำว่า น้องหญิงเก่งกาจมาก นางรู้จริงๆ ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะพูดอะไร
เขา้าเหลือบตาขึ้นมองสีหน้าและอากัปกิริยาของฮูหยินผู้เฒ่าว่าจะคล้ายกับที่มู่หรงฉิงพูดไว้หรือไม่ แต่หลังนึกถึงคำเตือนซ้ำๆ หลายหนของมู่หรงฉิง เขาจึงได้แต่ล้มเลิกที่จะทำสิ่งนั้นพร้อมก้มศีรษะลงและพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิด “หลานชายโง่เง่า หากเสียมารยาท ขอฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดยกโทษด้วย คนโบราณได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่สามารถรักษาความเมตตาและกตัญญูอยู่เสมอ ทุกสิ่งไม่ดีในโลกนี้ที่ไม่อาจทำได้ ย่อมสามารถอดทนอดกลั้นที่จะไม่ทำสิ่งนั้นได้ ดังนั้นความกตัญญูกตเวทีคือสิ่งแรกที่ควรจะทำให้ได้ ในบรรดาการกระทำทั้งปวง ถ้าคนคนหนึ่งมีความคิดชั่วร้าย สิ่งที่เวลาปกติไม่ยอมที่จะทำ เวลานี้เมื่อทำแล้วย่อมไม่ใช่เื่ยากอะไรแม้แต่น้อย นั่นคือความคิดชั่วร้าย มันเป็จุดเริ่มต้นของการกระทำความชั่วร้ายทั้งปวง พฤติกรรมของคนอายุน้อยกว่า ไม่ควรไปขัดกับเจตนารมณ์ของผู้ใหญ่ รวมถึงบรรพบุรุษ หลานชายสะเพร่า และไม่เพียงแต่ไม่เสียใจกับความผิดพลาดที่ได้กระทำไว้ แต่ยังไม่มีกาลเทศะ ทุ่มเถียงการสอนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยซึ่งช่างโง่เขลาเสียจริง หลังจากสวดมนต์ ทานอาหารเจเป็เวลาสองวัน หลานชายก็รู้ถึงเจตนาดีของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว สาเหตุที่มาที่นี่ในเวลานี้ ก็แค่อยากจะขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ายกโทษพฤติกรรมอกตัญญูให้หลานชายด้วย”
คำพูดของเฉินเทียนหยูนั้นมีจังหวะและน้ำเสียงที่ชัดเจน จังหวะที่พวกเขาควรจะสำนึกผิด เสียงของเขาก็ไม่คลุมเครือแม้แต่น้อย และเมื่อเขา้าจะพูดปลุกใจ เสียงของเขาก็ดังชัดและทรงพลัง คำพูดของเฉินเทียนหยูส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่ถือถ้วยน้ำชาถึงกับอึ้งงัน และไม่ตอบสนองเป็เวลานาน
หลังจากเฉินเทียนหยูพูดจบ มู่หรงฉิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเ่าั้ นางต้องใช้เวลาไปเกือบสองชั่วยามในการสอนเฉินเทียนหยู แม้ว่าความทรงจำของเขาจะดีเกินคน แต่น้ำเสียงในคำพูดของเขาคล้ายกับการอ่านหนังสือออกเสียงโดยไม่มีอารมณ์อยู่ในนั้นแม้แต่น้อย ในเวลาสองชั่วยามนั้น มู่หรงฉิงอธิบายและสอนเขาแต่ละคำและแต่ละประโยค โดยบอกเขาว่าเขาควรทำสีหน้าอย่างไร เมื่อพูดประโยคไหน และจะพูดอย่างไร
สาเหตุที่มู่หรงฉิงพยายามสอน หลักๆ เป็เพราะ้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าเฉินเทียนหยูนั้นโง่จริงๆ ไม่มีผิด ถึงกระนั้นเขาก็เป็ต้นกล้าที่ดีเช่นเดียวกัน ตราบใดที่นางใช้ใจในการสอนย่อมไม่ต้องกลัวว่าเฉินเทียนหยูจะไม่ดีขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่เชื่อว่าเฉินเทียนหยูจะดีขึ้น แต่ว่าสำหรับจวนเฉินแล้ว ภาพลวงตาที่ดีนี้นับว่าเป็พรของบรรพบุรุษ