เมืองต้าอี้เป็เมืองหลวงของแคว้นชางอี้ผู้ทรงอำนาจและสูงศักดิ์แห่งแคว้นชางอี้ส่วนใหญ่ล้วนรวมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ถนนต้าอี้ที่ทอดตัวจากทิศใต้จรดเหนือสามารถมองเห็นจวนขุนนางและผู้สูงศักดิ์ได้ทุกหนแห่ง
ยามอักษรตัวใหญ่สามตัวว่าจวนอมาตย์ปรากฏเข้ามาในม่านตาของหลิ่วจิ้งนางต้องแอบทอดถอนใจด้วยความตกตะลึง อักษรตัวใหญ่ทั้งสามตัวล้วนสลักมาจากทองคำรอบแผ่นป้ายยังประดับไว้ด้วยไข่มุกซึ่งมีขนาดเท่ากันแปดเม็ดต่อให้เป็ยามค่ำคืนก็ไม่จำเป็ต้องจุดตะเกียงเพราะที่หน้าประตูสามารถส่องแสงสว่างได้เองอยู่แล้ว
เพราะบิดาเป็ราชครูหลิ่วจิ้งจึงเคยติดตามบิดาเข้าออกจวนขุนนางระดับสูงของแคว้นต้าเว่ยแต่ก็ไม่เคยเห็นจวนที่อลังการเช่นนี้มาก่อน
ท่านอมาตย์ผู้แสนสูงส่งแต่กลับปล่อยให้ผู้สำเร็จราชการ่ชิงอำนาจไปได้ผู้นี้ช่างกระตุ้นความใคร่รู้ของหลิ่วจิ้งนักเป็อีกครั้งหนึ่งที่นางรู้สึกพึงพอใจที่รับงานส่งเทียบเชิญมาเพราะนี่ช่างเป็โอกาสแสนวิเศษณ์ที่จะได้รู้จักเหล่าผู้ทรงอิทธิพล ยิ่งไปกว่านั้นหั่วอี้ก็มากับนางด้วยนางจึงต้องไปอธิบายเื่เล็กน้อยต่างๆ ให้มากความ
หลิ่วจิ้งนึกว่าเมื่อท่านอมาตย์ไม่ต้องไปเข้าเฝ้าและไม่ต้องดูแลเื่ต่างๆในแคว้น เขาก็คงจะพักผ่อนอยู่ในจวนตามประสาคนในวัยชราแต่เมื่อพวกเขาบอกให้เด็กเฝ้าประตูเข้าไปรายงานกลับได้รับการบอกกล่าวว่าท่านอมาตย์ออกไปท่องเที่ยวข้างนอกจึงไม่อยู่ในจวนในระยะนี้
ดูไปแล้วหั่วอี้คงจะเป็แขกประจำของจวนอมาตย์เขาจึงฝากเทียบเชิญเอาไว้กับเด็กเฝ้าประตูอย่างไม่ยี่หระใดๆและไม่คิดจะพาหลิ่วจิ้งเข้าไปในจวนด้วย หลังจากสั่งความกับเด็กเฝ้าประตูคำสองคำก็ออกไปแล้ว
“ท่านแม่ทัพ ชางอี้เป็ดินแดนที่มั่งคั่งอย่างยิ่งใช่หรือไม่ท่านดูที่ป้ายจวนอมาตย์สิ ถึงกับใช้ทองคำสลักออกมา” หลิ่วจิ้งเกิดความสงสัยในใจจึงเอ่ยถามหั่วอี้
หั่วอี้ยิ้มอย่างภาคภูมิพลางว่า “แน่นอนอยู่แล้ว แต่โบราณชางอี้ก็ยึดครองแคว้นหนิงได้แม้แคว้นหนิงจะเล็กแต่ก็มีสมบัติมหาศาลจึงทำให้ชางอี้ก้าวะโขึ้นมาเป็แคว้นขนาดใหญ่ทัดเทียมกับต้าเว่ย”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็คล้ายว่าหั่วอี้นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้เขาคิ้วขมวดคิดถึงเื่ในอดีตที่ผ่านมาแสนนาน เอ่ยเสียงหนักว่า“จากที่กษัตริย์ของเราทรงเคยมุ่งมั่นในเื่ราชกิจแต่นับจากนั้นก็กลับกลายเป็ไม่สนพระทัยในราชกิจใดๆและเริ่มพระราชทานทองคำมหาศาลเพื่อรวบรวมหญิงงามจากแต่ละแคว้นเข้าวังเป็เหตุให้เหล่าประชาไม่ใส่ใจก่อร่างสร้างแคว้น หากเอาแต่ออกไปตามหาหญิงงามเลิศจากทั่วสารทิศนานวันเข้าอำนาจหลักของแคว้นจึงไปตกอยู่ในมือของผู้ที่จ้องหาผลประโยชน์”
“ท่านแม่ทัพผู้สำเร็จราชการจงใจเอาเส้นสายของเขาเข้าไปอยู่ในศูนย์กลางอำนาจแห่งราชสำนักเื่นี้มิใช่ว่าไม่เป็ผลดีต่อท่านแม่ทัพอย่างยิ่งหรอกหรือ? หากวันใดผู้สำเร็จราชการ้าควบคุมอำนาจทางทหารขึ้นมาเล่าอย่างไรท่านแม่ทัพก็ควรจะระวังเอาไว้ให้มากเป็ดีเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งมีท่าทีร้อนใจด้วยความเป็ห่วงพลางหันมองหั่วอี้ด้วยดวงตาโตเปี่ยมด้วยแววร้อนรน
“ฮ่าๆๆ” หั่วอี้หัวเราะติดต่อกันอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยอย่างทะนงว่า“ฮูหยินโปรดวางใจ เมื่อสามีและอาเหมิ่งต๋าสองคนรวมเป็หนึ่งในแคว้นชางอี้แห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดมีปัญญามาเป็ศัตรูของพวกเราได้หรอก”
อาเหมิ่งต๋า! หลิ่วจิ้งรีบจดจำตัวละครสำคัญนี้เอาไว้ในใจ
หลิ่วจิ้งเสียดายนักหนาที่ไม่อาจได้พบกับขุนนางคนสำคัญคนแรกนี้แต่นางก็ไม่ได้ร้อนใจ เพราะเื่ที่นาง้าลงมือใช่จะสำเร็จได้ภายในคืนเดียวนางยังมีเวลาและความอดทนเพื่อตระเตรียมแผนการ
หั่วอี้เห็นว่าตะวันคล้อยลงทางทิศประจิมแล้ว ฟ้าก็จวนเจียนมืดยิ่งไปกว่านั้นหากจะกลับไปทานอาหารเย็นเขากลับอยากจะอยู่ตามลำพังกับหลิ่วจิ้งข้างนอกมากกว่าเขาจึงพาหลิ่วจิ้งตรงไปที่เหลาสุรา ครั้งนี้ไม่มีอาเหมิ่งต๋ามาด้วยเขาจึงวางแผนว่าจะเสพสุขความหวานชื่นกับหลิ่วจิ้งในโลกที่มีเพียงพวกเขาสองคนให้หนำใจ
เหลาสุราที่หั่วอี้เลือกครานี้เป็เหลาสุราอีกรูปแบบหนึ่งไม่ใช่เหลาสุราที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่นที่เคยไปกับอาเหมิ่งต๋าคราก่อน
เหลาสุราที่พวกเขาไปหนนี้ต้องสั่งอาหารกันบนฝั่งให้เรียบร้อยก่อนจากนั้นจะมีเรือเล็กมาส่งขึ้นเรือสำราญที่มีการประดับตกแต่งอย่างหรูหรา
หลิ่วจิ้งตรงเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวยามมองจากหน้าต่างเห็นน้ำในทะเลสาบไหลเอื่อยผ่านข้างกายพวกเขาชวนให้ไม่อาจดึงสติกลับมาจากความงดงามแปลกตานั้นนี่เป็การทานอาหารในบรรยากาศที่ไม่เหมือนที่ใดเลย
ทั้งได้ลิ้มรสอาหาร ทั้งได้ชมทิวทัศน์ข้างบนฝั่งเองก็ตั้งใจประดับประดาอย่างงดงามสิ่งปลูกสร้างหลายหลากรูปแบบชวนให้อยากขึ้นไปเที่ยวชมให้เห็นกับตาละลานตาจนตาพร่าไปหมด มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แปลกตาน่าชมนัก
หั่วอี้ชอบใจที่เห็นหลิ่วจิ้งชมอย่างเคลิบเคลิ้มที่แท้การทำให้สตรีเบิกบานใจก็ไม่ได้ยากเย็นอันใดแค่ต้องตั้งใจสังเกตว่าสตรี้าสิ่งใดเป็พอแล้วเขาคิดว่าวันหน้าจะหาเวลาว่างพาหลิ่วจิ้งออกไปท่องเที่ยวให้ทั่ว เมื่อโฉมงามเป็สุขใจวันคืนแสนดีงามของเขาก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
ครั้งนี้หั่วอี้ก็ยังคงสั่งกุ้งเมามาจานหนึ่งเขาละวางฐานะของตนมาช่วยแกะกุ้งให้หลิ่วจิ้ง ทั้งยังป้อนนางด้วยตนเอง
สีหน้าของหลิ่วจิ้งยังคงเป็ปกติแต่กลับมีความหอมหวานพรั่งพรูเข้ามาในหัวใจเพียงแต่ในความหอมหวานนั้นกลับมีความกังวลใจบางๆ แทรกอยู่ เป็ความกลัดกลุ้มที่บรรยายออกมามิได้
หั่วอี้ดีกับนางเหลือเกิน แต่สิ่งนี้กลับทำให้นางรู้สึกไม่มั่นคงนางไม่รู้ว่าที่เขาดีกับนางเช่นนี้จะเป็ดั่งบุปผาในกระจกจันทราในวารี [1] ที่จะเลือนรางจนเลือนหายไปพร้อมกับเวลาที่ล่วงเลยไปหรือไม่โดยเฉพาะเมื่อนางเห็นท่าทีที่หั่วอี้มีต่ออาหนูนางจึงควรดูไว้เป็ตัวอย่างและระวังตัวไว้เป็ดี
หั่วอี้คีบกุ้งตัวโตให้นางอีกตัวหนึ่ง “มาเถิด ฮูหยินลองทานกุ้งเมาที่นี่อีกสักหน่อยว่าเหมือนกับที่เคยทานเมื่อคราก่อนหรือไม่”หลิ่วจิ้งยิ้ม ค่อยๆ ทานแต่ในใจกลับกำลังหมุนคว้างเป็ร้อยเป็พันรอบนางหาได้มองผ่านหรือไม่ซาบซึ้งกับความรักที่หั่วอี้แสดงออกนางหวั่นไหวแล้วเสียด้วยซ้ำแต่นางพบว่าเมื่อนางรู้สึกหวั่นไหวก็จะเกิดความคิดว่าตนเองไม่อาจเชื่อมั่นในตัวหั่วอี้ทุกครั้งไปทำให้ความรู้สึกที่ร้อนระอุขึ้นมากลับมีอันต้องเยือกเย็นลงทันตา
นางเองก็อยากมีความรักสักหนความรักบริสุทธิ์ที่รักนางจากข้างในหัวใจ มิใช่แค่ความสำราญทางกายเท่านั้น
นางมุ่งปรารถนาความอบอุ่นจากการที่มีใครสักคนเก็บนางไว้ภายในใจมิใช่ความรักเร่าร้อนระหว่างชายหญิงเงามืดท่ามกลางเมฆหมอกในอดีตยังคงไม่เคยสลายหายไป ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็สาเหตุให้นางไม่กล้าทุ่มเทจิตใจและก้าวต่อไปข้างหน้า
วันนี้หั่วอี้ไม่ได้จัดคนติดตามพวกเขา เพื่อจะได้อยู่กับหลิ่วจิ้งในบรรยากาศที่สงบเงียบเช่นในยามนี้
“ท่านแม่ทัพ วันนี้ผลงานของพวกเราต่ำต้อยนัก หากครั้งต่อๆ ไปก็ยังเป็เช่นนี้แล้วจะส่งเทียบเชิญหมดเมื่อใดเล่าเ้าคะ? ” หลิ่วจิ้งมองเห็นว่าในสายตาของหั่วอี้ยิ่งเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆจึงรีบเบี่ยงเบนประเด็นสนทนาไปเสีย หวังให้หั่วอี้ไม่ต้องพุ่งความสนใจมาที่ตัวนาง
หั่วอี้หัวเราะ “ฮูหยิน สามียังไม่ร้อนใจเลย แล้วท่านร้อนใจอันใด? เทียบเชิญเหล่านี้จะส่งหรือไม่ส่งก็ไม่เป็ไรผู้ที่ควรมาต่อให้ไม่มีเทียบเชิญพวกเขาก็จะมาเองผู้ที่ไม่อยากมาต่อให้ส่งเทียบไปเชิญก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี”หั่วอี้ป้อนกุ้งคำโตให้หลิ่วจิ้งอีก เอ่ยกระเซ้าว่า“แต่สามีมีความสุขใน่เวลาที่ได้อยู่กับท่านเพียงลำพังนักฉะนั้นเทียบเชิญเหล่านี้จึงยังต้องนำไปส่งอยู่”
หลิ่วจิ้งหวั่นไหวอยู่ในใจคิดถึงครั้งนางจ้าวมาอวดอ้างว่าหั่วอี้มอบอำนาจในการจัดงานวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าให้นางหลิ่วจิ้งจึงตอบโต้กลับไปหนักๆ ด้วยการบอกไปว่าเพราะหั่วอี้้าให้ตนมีเวลาว่างจะได้พาตนออกไปท่องเที่ยวจึงหลีกทางให้นางจ้าวเป็คนจัดการงานเสีย
นึกไม่ถึงเลยว่าเื่ที่นางพูดกลับกลายเป็ความจริงสองตาสดใจของหลิ่วจิ้งเปล่งประกายขึ้นมาทันใดไม่รู้ว่าภายในเมืองต้าอี้มีที่ใดน่าดูน่าชมบ้าง นางมองออกไปยังทิวทัศน์นอกตัวเรือคล้ายกำลังรำพึงกับตนเองและในเวลาเดียวกันก็คล้ายพูดให้หั่วอี้ฟัง
ดวงตาของหั่วอี้สว่างวาบ จับจ้องหลิ่วจิ้งด้วยแววตาที่อบอวลด้วยรักเขาเพียงพูดไปลอยๆ แต่กลับไปกระตุ้นความสนใจของหลิ่วจิ้งขึ้นมาจริงๆและพลอยทำให้เขากระตือรือร้นอยากออกไปท่องเที่ยวขึ้นมาเช่นกัน
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] บุปผาในกระจกจันทราในวารี หมายถึง ของที่เป็เหมือนภาพมายา ไม่มีจริง
