เล่มที่ 4 บทที่ 92
“องค์หญิงกำลังรอจนแทบจะถล่มเรือนแล้ว ถ้าเ้าไม่มาอีก นางจะออกไปฆ่าคนเป็แน่” ทันทีที่มู่หรงฉิงปรากฏตัว ความหนาวเย็นในดวงตาของจ้าวจื่อซินได้ละลายลงเล็กน้อย
“นางมาที่นี่ทำไมหรือ?” ประเด็นสำคัญคือเขารู้ได้อย่างไรว่าหญิงสาวในบทสนทนาจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน? เป็ไปได้หรือไม่ การที่เฉินเทียนหยูร้องอยากจะมาเรือนหยางเซิง มันเป็ฝีมือของเขา?
“ทำไมข้าจะมาไม่ได้หรือ? เมื่อวานย่าเฒ่าคนนั้นไม่ยอมให้ข้ามาหาเ้า น่าโมโหมากจริงๆ” ทันทีที่คำพูดของมู่หรงฉิงสิ้นสุดลง เป้ยหนิงก็รีบออกมาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ให้ข้าดูสิว่ารอยฟกช้ำที่ลำคอของเ้าดีขึ้นหรือไม่?”
“ไม่เป็ไร ก็แค่รอยขีดข่วนเล็กน้อยก็เท่านั้น เวลานั้นเขาไม่ได้สติ แปลกพิกล ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” ทั้งสองคนเข้าไปในตัวเรือนโดยดึงมือของเป้ยหนิง “เพียงแต่เ้ามาได้อย่างไรหรือ?”
“ข้าวางใจไม่ได้ ข้ากลัวจริงๆ ว่าคนโง่เง่าคนนั้นจะใช้กำลังกับเ้าอีกหน” จ้องมองที่เฉินเทียนหยูด้วยสายตาโกรธเคือง เป็จังหวะเดียวกับที่เฉินเทียนหยูถูกจ้าวจื่อซินดึงตัวไว้ เนื่องจากเป้ยหนิงยังไม่ทันได้ด่าจบเฉินเทียนหยูก็สูญเสียการควบคุมก่อนแล้ว “ผู้หญิงเลว เ้าพูดจาเลื่อนเปื้อน ข้าไม่ใช้กำลังกับน้องหญิงเด็ดขาด”
“ใช่ เ้าไม่ใช้กำลัง ถ้าเ้าไม่ใช้กำลัง รอยฟกช้ำที่ลำคอของนางมาจากไหนหรือ?” ชี้ไปที่รอยมือบนลำคอของมู่หรงฉิงที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป้ยหนิงเป็เหมือนแม่ไก่ที่ดูแลลูกไก่ “เฉินเทียนหยู เ้าพูดมาสิ ว่าก่อนที่เ้าจะใช้กำลัง เ้าไปทำอะไรมา?”
“ข้าไม่ได้ใช้กำลัง ข้าจำได้ว่า แม่นมอะไรแล้วนะ แม่นมเรียกข้าไปกินของว่าง และหลังจากที่ข้าไปถึงห้องเก็บฟืน ข้าก็เจอสาวใช้คนเลว หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้อะไรอีกแล้ว” พูดถึงตรงนี้เฉินเทียนหยูจึงชี้นิ้วมือไปที่ชุ่ยเอ๋อร์และพูดต่อว่า “ถ้าเ้าไม่เชื่อข้า เ้าถามนางก็ได้ นางอยู่ที่ประตูห้องเก็บฟืนในเวลานั้น”
“บอกว่าเ้าโง่งม เ้ากลับไม่ยอมรับ ใครบ้างที่ไปกินของว่างที่ห้องเก็บฟืนกัน? หือ?” แม้กระทั่งนางที่โตมาในทุ่งหญ้ายังรู้เลยว่า ห้องเก็บฟืน ตามชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็สถานที่สำหรับวางไม้ฟืน คงมีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะถูกคนหลอกอย่างง่ายดาย
“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่ได้โง่งม” ใครๆ ต่างก็พูดกันว่าเขาโง่งม และเขาก็ฟังมันจนชินหูแล้ว ทว่าเขาสามารถทนต่อคนอื่นที่พูดว่าเขาโง่งมได้ แต่เขาไม่สามารถทนต่อคนอื่นที่พูดว่าเขาคลุ้มคลั่งและ้าจะฆ่าน้องหญิง
“เ้า…”
เป้ยหนิงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟมากขึ้น ชุ่ยเอ๋อร์จึงรีบพูดขึ้นว่า “องค์หญิงโปรดลดโทสะ สิ่งที่คุณชายรองพูดนั้นล้วนเป็ความจริง ไม่ได้มดเท็จ ในเวลานั้นบ่าวรีบไปที่ห้องเก็บฟืน แต่เห็นคุณชายรองและแม่นมจิ่นเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืนโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ในจังหวะที่บ่าวกำลังจะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ ทันใดนั้น คุณชายรองก็เดินออกมา เมื่อเห็นสีหน้าของคุณชายรอง บ่าวไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติ ดังนั้นบ่าวจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร”
“ท่านพี่ช่วยบอกฉิงเอ๋อร์เล็กน้อยว่า หลังจากท่านพี่เข้าไปในห้องเก็บฟืน ยวี้เอ๋อร์พูดอะไรกับท่านพี่? หรือนางทำอะไรบ้าง?” หลังจากได้ยินคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์ มู่หรงฉิงยิ่งรับรองได้ว่าเป็ฝีมือของยวี้เอ๋อร์เพิ่มมากขึ้น จุดประสงค์ก็ง่ายมาก นั่นก็เพื่อทดสอบนางและเพื่อขวางไม่ให้นางไปร่วมงานเลี้ยง
ทว่าตอนนี้มือของยวี้เอ๋อร์ใช้การไม่ได้แล้ว นางยังสามารถควบคุมเฉินเทียนหยูได้อย่างไร? ั้แ่รู้ว่าแม่นมทั้งสองคนถูกยวี้เอ๋อร์ใช้งาน นางสงสัยมาตลอดว่ามือของยวี้เอ๋อร์เป็กุญแจสำคัญในการควบคุมผู้อื่นหรือไม่? ทั้งที่มือของยวี้เอ๋อร์ใช้การไม่ได้ แต่นางก็ยังคงสามารถควบคุมเฉินเทียนหยูได้อีกซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า การคาดเดาของนางนั้นไม่สมเหตุสมผล
“ตอนที่ข้าเข้าไป นางนอนคว่ำอยู่บนกองฟาง นางเรียกข้า แล้วข้าก็มองดูนาง ข้ารู้สึกว่าดวงตาของนางสวยมาก คล้ายกับ... คล้ายกับ... อย่างไรก็เถอะ มันสวยมากก็แล้วกัน และต่อมาข้าก็ไม่รู้อะไรอีกต่อไปแล้ว” เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากลับห้องได้อย่างไร แต่มันเกี่ยวข้องกับอาการาเ็และการหมดสติของน้องหญิงด้วยหรือ?
ดวงตาหรือ? มู่หรงฉิงเข้าใจอย่างกระจ่างทันที ดูเหมือนว่าดวงตาเป็กุญแจสำคัญ “ั้แ่นั้นถึงเวลานี้ ท่านพี่ยังมีสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว ตอนนี้สมองของข้าชัดเจนมาก” หลังจากพูดจบ เฉินเทียนหยูก็ะโไปยืนอยู่ตรงหน้าของมู่หรงฉิง ก่อนจะกอดนางไว้ในอ้อมแขน “ข้าจะไม่ทำร้ายน้องหญิง ผู้หญิงเลวคนนี้โกหกข้าใช่หรือไม่?”
เฉินเทียนหยูกอดมู่หรงฉิง น้ำเสียงของเขาหดหู่เป็อย่างมาก เป้ยหนิง้าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ครั้นฉุกคิดได้ว่าเฉินเทียนหยูน่าเวทนามากพอแล้ว นางจึงไม่ได้พูดอะไร ทว่านางยังคงรู้สึกรำคาญในใจ นางเปล่งเสียงฮึ และนั่งลงด้านข้างด้วยความเคืองใจ
มู่หรงฉิงรู้ว่าเป้ยหนิงห่วงใยนาง นางย่อมไม่พูดว่าเป้ยหนิงทำไม่ถูก นางตบแผ่นหลังของเฉินเทียนหยูเบาๆ ในขณะเดียวกันนางก็พูดปลอบโยนทั้งสองคน “ท่านพี่เห็นใจฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์รู้ ท่านพี่จะไม่ใช้กำลังกับฉิงเอ๋อร์อย่างแน่นอน เพียงแต่องค์หญิงห่วงใยฉิงเอ๋อร์ ด้วยกลัวว่าฉิงเอ๋อร์จะถูกทำร้าย”
เฉินเทียนหยูได้ยินว่า มู่หรงฉิงเชื่อคำพูดของเขา ใบหน้าซึ่งมีแต่ความหดหู่จึงแปรเปลี่ยนเป็สดใสในทันใด เป้ยหนิงเบะปากและกลอกตาต่อคำพูดเอาใจของมู่หรงฉิง “อย่าคิดว่าพูดอะไรดีๆ สองสามคำแล้วจะดีขึ้น ถ้าเกิดเ้าเป็อะไรขึ้นมา ในภายภาคหน้าใครจะบรรเลงกู่ฉินให้ข้าฟัง?”
“ใช่ เพื่อให้ศิษย์พี่หญิงได้ฟังเสียงบรรเลงกู่ฉินของฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์จะต้องมีชีวิตที่ดี” มองเป้ยหนิงและหัวเราะเบาๆ จากนั้นดึงเฉินเทียนหยูให้นั่งลง ก่อนพูดถึงประเด็นสำคัญ “ว่าแต่ศิษย์พี่หญิงมาที่นี่ได้อย่างไรหรือ?”
“เดิมทีข้าให้คนส่งเทียบเชิญมาให้แล้ว แต่กระนั้นข้ายังคงวิตกกังวลอยู่ จึงมาที่นี่ อีกข้อคือเวลานี้ ท่านอาจารย์กำลังศึกษายาตัวใหม่อยู่ ถ้าข้าไม่วิ่งออกมา ข้าก็จะถูกเขาทดสอบยาอีกหน”
“เทียบเชิญหรือ? เทียบเชิญอะไรหรือ?” ครู่ก่อนนางไปพบฮูหยินผู้เฒ่า ทว่ากลับไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับเทียบเชิญแม้แต่น้อย
“ข้าอยากจะนัดกับเ้าไปดูเทศกาลลอยโคมไฟในอีกสองวันข้างหน้าที่จะมาถึง มีคนบอกว่าเทศกาลลอยโคมไฟในเมืองหลวงนั้นน่าสนุกมากไม่ใช่หรือ? ข้าอยากไปดูด้วย” เป้ยหนิงยกมือทั้งสองข้างขึ้นประกบกันยามพูดถึงเื่น่าสนุก หน้าตาของนางเปี่ยมไปด้วยการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ “ถ้าเวลานี้เขาอยู่ในเมืองหลวงด้วย คงจะดีมาก เราจะได้ปล่อยโคมลอยด้วยกันแล้ว”
“เ้าส่งเทียบเชิญมาแล้วหรือ?” ความรักของเป้ยหนิงที่มีต่อชายผู้นั้นทำให้มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ทว่านางกลับรู้สึกอิจฉาเป้ยหนิงเพราะอีกฝ่ายมีความกล้าที่จะรักและมีความกล้าที่จะเกลียดชัง รักคือรัก พูดออกมาย่อมไม่มีปัญหาอะไร ถ้าจะเกลียดก็คือเกลียด และความเกลียดก็เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ ข้าเห็นสาวใช้ยื่นเทียบเชิญให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยตาของตัวเอง” พูดจบ เป้ยหนิงก็แลบลิ้นพร้อมพูดเสริมในใจว่า ข้าเห็นเนื่องจากข้าปีนกำแพงเข้ามา
เนื่องจากนางวิตกกังวลว่าสาวใช้จะไม่ส่งเทียบเชิญ จึงปีนกำแพงเพื่อดู แต่โชคดีที่นางปีนกำแพง ไม่เช่นนั้น นางคงจะไม่ถูกจ้าวจื่อซินจับได้ และนางคงจะไม่ได้พบมู่หรงฉิง
ทันทีที่เป้ยหนิงพูดว่าเทียบเชิญถูกส่งไปยังมือของฮูหยินผู้เฒ่า มู่หรงฉิงก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของนาง ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่า้าเลี้ยงนางจนตายในจวนเฉินแห่งนี้ เนื่องจากนางกลายเป็คนของจวนเฉินแล้ว ไม่ว่านางจะตายหรือจะถูกเฉินเทียนหยูทุบตีจนตาย นั่นเป็เพราะร่างกายของนางอ่อนแอและป่วยตายเอง
แม้จะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม แต่ท้ายที่สุดแล้วมู่หรงฉิงก็ยอมรับต่อความเห็นแก่ตัวของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ ครั้นนึกถึงผู้หญิงหลายคนที่ถูกฆ่าตายในอดีต พวกนางตายด้วยความสิ้นหวัง
“ย่าเฒ่าคนนั้นไม่ได้ส่งให้เ้าใช่หรือไม่?” สีหน้าของมู่หรงฉิงทำให้เป้ยหนิงเปล่งเสียงพูดออกมาอีกหน “ข้ารู้อยู่แล้วว่า ย่าเฒ่าคนนั้นจะต้องไม่ส่งให้เ้าอย่างแน่นอน เ้ารอดูข้านำคนมาขู่นางในวันข้างหน้า เนื่องจากนางเก็บเทียบเชิญไว้ด้วยการตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“อย่า” เมื่อเห็นเป้ยหนิงถกแขนเสื้อขึ้นอย่างโกรธเคือง มู่หรงฉิงถึงได้รีบพูด “ไม่ใช่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ให้ออกไปแล้วก็ออกไปไม่ได้เสียหน่อย เ้าวางใจเถอะ เทศกาลลอยโคมไฟในอีกสองวันข้างหน้า ข้าจะต้องไปกับเ้าอย่างแน่นอน”
ถึงอย่างไรอยากจะออกจากจวนเป็เื่ง่ายมาก เพียงแค่ระวังเล็กน้อย อย่าให้คนอื่นค้นพบก็เพียงพอ
ได้ยินว่ามู่หรงฉิงตอบตกลงจะไปกับนาง เป้ยหนิงจึงเอ่ยถามเพื่อยืนยันสองสามหน หลังจากได้คำตอบ นางก็เดินไปนั่งที่เดิมอย่างมีความสุข และการนั่งลงคราวนี้เป็การเริ่มต้นสนทนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางพูดถึงหมอเทวดาที่น่ารำคาญอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนพูดถึงทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของทุ่งหญ้า ต่อมาจึงพูดถึงความน่าเบื่อของเมืองหลวง และพูดถึงความเกรียงไกรของผู้เป็ที่รักของนาง
บทสนทนาทำให้มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ทางด้านปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์ถึงกับต้องอดกลั้นรอยยิ้ม จะต้องบอกว่า เป้ยหนิงเป็ผลไม้ที่สร้างความสุขอย่างแท้จริง นางสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้ทุกที่
ถึงเวลาเที่ยงก็ได้เวลากินข้าว เป้ยหนิงไม่ยอมกลับไป และยังคงจะอยู่ในเรือนหยางเซิงต่อไป “ได้ยินมาว่าเ้าทำขนมของว่างอร่อยมาก ข้าก็อยากกินด้วย”
มู่หรงฉิงหันไปมองจ้าวจื่อซินโดยสัญชาตญาณ จ้าวจื่อซินรู้สึกถึงการจ้องมองซึ่งเป็แววตาสอบถามอย่างชัดเจน แม้เขายังคงก้มศีรษะและเช็ดดาบยาวในมือของเขาราวกับว่าไม่มีอะไร
“ได้หรือไม่?” เป้ยหนิงจับมือของมู่หรงฉิงพลางแกว่งไปทางซ้ายและแกว่งไปทางขวา ท่าทางคาดหวังของนางเป็สาเหตุให้คนไม่อาจปฏิเสธได้ มู่หรงฉิงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา จากนั้นพูดกับปี้เอ๋อร์และชุ่ยเอ๋อร์ว่า “พวกเ้าดูสิว่า ที่นี่มีส่วนผสมสำเร็จรูปอะไรบ้าง? นี่ก็ได้เวลากินข้าวแล้ว ข้าจะกินอาหารที่ปรุงเอง”
“ของพร้อมแล้ว ครัวเล็กทางทิศตะวันออกได้เตรียมของไว้พร้อมแล้ว และทุกอย่างก็ถูกหั่นไว้เรียบร้อย เ้าดูส่วนผสมเ่าั้สิว่า เ้าสามารถทำได้หรือไม่?” จบคำพูดของมู่หรงฉิง จ้าวจื่อซินก็สอดดาบกลับไปในฝักด้วยดวงตาลุกเป็ไฟขณะมองไปที่นาง
นี่... มู่หรงฉิงพูดไม่ออก จ้าวจื่อซินคงคาดการณ์ไว้ั้แ่เนิ่นๆ แล้ว ครั้นมองทั้งสองคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังสมคบคิดกันที่จะให้นางเป็แม่ครัวทำอาหาร นางยิ้มอย่างจนใจ ก่อนเดินนำหลายคนไปยังห้องครัวเล็ก
ห้องครัวเล็กนั้นสะอาดเป็พิเศษ และดูเหมือนว่าเครื่องใช้ทุกชนิดเพิ่งเตรียมไว้ แม้กระทั่งกระทะเล็กๆ ยังดูเหมือนเพิ่งซื้อมา
บนโต๊ะมีเนื้อที่หั่นเป็เส้น หั่นเป็ชิ้น เนื้อสับ เห็ดที่ล้างสะอาดเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำยังมีผักสด รวมถึงวัตถุดิบอื่นๆ และมีแม้กระทั่งส่วนประกอบสำหรับทำขนมของว่างมากมาย เมื่อนำของเ่าั้มาวางรวมกัน ปรากฏว่าโต๊ะที่กว้างขวางเป็พิเศษถึงกับมีของกองเต็มไปหมด
ทำอย่างลวกๆ เสียที่ไหนกัน? เห็นได้ชัดว่า้าให้นางทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงฉลอง
สายตาเลื่อนจากโต๊ะไปที่จ้าวจื่อซิน นางไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร? ด้วยของสดจำนวนมาก เขาเตรียมไว้สำหรับกินอยู่สักสามวันใช่หรือไม่?
“อืม เ้าสามารถเลือกทำก็ได้ แต่ข้าชอบกินเผ็ดเล็กน้อย” เขากระแอมไอเบาๆ เพื่อบังคับเอาความรู้สึกอึดอัดใจให้หายไป
์รู้ว่าหลังจากกลับมาเมื่อคืน เขานอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย สมองของเขาเต็มไปด้วยเงาร่างของนาง เขาคิดว่าจะให้นางอยู่กับเขาอย่างสงบได้อย่างไร?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาจึงใช้แผนการหลอกให้เป้ยหนิงส่งเทียบเชิญ ขณะเดียวกันเขาก็เตรียมส่วนผสมจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะจู่ๆ เขาอยากจะกินอาหารที่นางทำขึ้นมา...
“ข้าอยากกินปิ้งย่าง”
“ข้าอยากกินหวาน”
หลังจากจ้าวจื่อซินรายงานรสชาติที่ถูกปากของตัวเอง เป้ยหนิงและเฉินเทียนหยูจึงรายงานรสชาติที่ถูกปากของตัวเองตามลำดับ ต่างมองดูส่วนผสมของอาหารบนโต๊ะอย่างมีความสุขไปพลางบอกความชอบของตนเองไปพลาง
คนพวกนี้คิดว่าตัวเองอยู่ในร้านอาหารจริงๆ แล้วกระมัง? คิดไม่ถึงว่าจะแจ้งรสชาติอาหารที่ถูกปากของตนเอง ทั้งที่นางบอกอย่างชัดเจนแล้วว่า นางจะทำอาหารธรรมดาทั่วไปสองสามจานเท่านั้น
ในระหว่างที่พูดพึมพำอยู่ในใจ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากปฏิเสธ เฉินเทียนหยูได้ชี้ไปทางวัตถุดิบบนโต๊ะ พร้อมรายงานชื่ออาหาร หลังจากการรายงานของเฉินเทียนหยู เป้ยหนิงย่อมไม่ยอมแพ้โดยธรรมชาติ หลังจากฟังรายชื่ออาหารเ่าั้ มู่หรงฉิงรู้สึกว่าอาหารแต่ละจานกำลังลอยผ่านดวงตา นางหลุดหัวเราะอย่างไม่อาจควบคุมได้ ส่ายศีรษะและหันไปมองจ้าวจื่อซิน “เ้าก็จะสั่งอาหารด้วยหรือไม่?”
“เอ่อ... ในเมื่อเ้ากระตือรือร้นจากใจจริง ข้าคงจำต้องสั่งปลาแผ่นรสเผ็ดเล็กน้อย” หลังจากนั้น จ้าวจื่อซินดูเหมือนรำลึกถึง “รายการอาหารนี้เป็รายการอาหารบ้านๆ ทั่วไป ข้าไม่ได้กินเป็เวลานานแล้ว ข้าคิดถึงเล็กน้อย”
มู่หรงฉิง... “เ้าไม่จำเป็ต้องจำใจสั่ง ข้าไม่ได้กระตือรือร้นจากใจจริงถึงเพียงนั้น”