จีบ?
หลิวหงเหยียนไม่คุ้นเคยกับคำคำนี้
หากไม่เอ่ยถึงฐานะราชินีของหลิวหงเหยียน ด้วยรูปลักษณ์ของนางเพียงอย่างเดียว นางก็คือหนึ่งในสามหญิงสาวที่สวยที่สุดที่ได้รับการยอมรับจากแคว้นเล็กๆ แปดร้อยแคว้น แต่ไหนแต่ไรมา ผู้ชายมักจะเป็ฝ่ายตามจีบนาง นั่นเป็เหตุผลที่หลัวเลี่ยรู้สึกตลกเมื่อนางพูดแบบนั้น
หลิวหงเหยียนหน้าแดงและใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงหัวใจของนางดังออกมา หลัวเลี่ยหัวเราะและเอ่ยว่า “ข้าได้ยินเสียงจากหัวใจของท่านแล้ว ท่านกำลังจีบข้าจริงๆ”
หลิวหงเหยียนหน้าแดงเล็กน้อย ปล่อยให้หลัวเลี่ยคิดเช่นนั้นไป นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว และพูดด้วยความสนใจ “บอกข้าถึงวิธีการที่จะจีบเ้าง่ายๆ สิ”
“เื่นี้หรือ” หลัวเลี่ยถูคางของเขาและครุ่นคิด “ให้ข้าสอนท่าน มันจะไม่ง่ายเกินไปหรือ ท่านหรือที่จะตามจีบข้า เช่นนั้นข้าเล่านิทานเื่หนึ่งให้ท่านฟังดีกว่า ซึ่งหากว่าท่านเข้าใจ ท่านก็จะตามจีบข้าได้แล้ว”
“ดีเลย ข้าชอบฟังนิทานมากที่สุด” เช่นเดียวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ หลิวหงเหยียนนั่งลงตรงข้ามกับหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยอารมณ์ดีเป็พิเศษ การได้อยู่กับหลิวหงเหยียนนั้นน่าสนใจมาก เขากระแอมในลำคอและพูดว่า “กาลครั้งหนึ่ง มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งชื่อจู้อิงไถ...”
แล้วเขาก็เริ่มเล่านิทานเื่ม่านประเพณีด้วยภาษาที่เรียบง่าย ทำให้เข้าใจง่ายและตลกสุดๆ
หลิวหงเหยียนที่ตอนแรกได้ฟังแล้วคิดว่าเป็เื่ตลก ก็เริ่มมีอารมณ์ร่วมกับเื่เล่า
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ไม่ว่าจะเป็อดีต เป็ปัจจุบัน หรือในอนาคต หัวใจของหญิงสาวก็มักโหยหาความรักซ่อนเร้นอยู่ภายในใจเสมอ
หลิวหงเหยียนเองก็เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับนางแล้วเื่ม่านประเพณีนี้เป็เื่ที่แปลกใหม่และดึงดูดใจมาก
หลัวเลี่ยเล่าไปได้เพียงครึ่ง ก็มีเื่สำคัญให้ราชินีหลิวหงเหยียนต้องไปจัดการ นางจึงทำได้เพียงเดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ
ในวันต่อมา หลิวหงเหยียนและชงโหวหู่ได้มีข้อพิพาทในที่ประชุมขุนนางอีกครั้ง ซึ่งหลัวเลี่ยไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ เพราะเขายังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็อ๋อง ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำคือขยันฝึกฝนให้มาก
นอกจากเสวี่ยปิงหนิงต้องฝึกฝนแล้ว นางยังต้องทำงานให้หลิวหงเหยียนอีกหลายสิ่งหลายอย่าง หลัวเลี่ยที่ไม่มีใครช่วยเหลือ จึงไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน นอกจากนี้ระดับวรยุทธ์ที่มาถึงคือระดับที่สี่ ซึ่งการเลื่อนระดับนั้นยากขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก เขาใช้เวลาถึงสี่สิบวันเต็มในการไปถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ์ระดับที่สี่
สี่สิบวัน ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ หากคนอื่นรู้ว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาคงจะเป็บ้าไปแล้ว
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เจียงจื่อหยาและเหวินจง ผู้ซึ่งน่าทึ่งและมีพร์ที่สุดในรอบพันปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ใช้เวลาถึงสิบปีในการฝึกฝนร่างกายถึงระดับที่ห้า
แต่หลัวเลี่ยเริ่มฝึกฝนจนถึงตอนนี้นับเป็เวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลัวเลี่ยยังคงไม่พอใจเล็กน้อย
เขา้าพัฒนาให้เร็วขึ้นอีก ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนให้หนักขึ้น
ใน่เวลาเดียวกันนี้ ณ ตำหนักราชันผู้พิชิต ฉินจื้อและเหยาเฟิงก็ได้เข้าใจความเป็ไปของ์และโลก แต่เนื่องจากความเข้าใจของพวกเขามีขีดจำกัด และเนื้อหาความเป็ไปของ์และโลกบนเสานั้น ไม่ทรงพลังเท่ากับในลูกแก้วมณีแห่งสรรพสิ่งที่หลัวเลี่ยได้รับ ดังนั้นการเรียนรู้จึงมีขีดจำกัด แต่ก็ยังทำให้พวกเขามีความหวังที่จะเข้าใจความเป็ไปของ์และโลก ดังนั้นทั้งสองจึงหมกมุ่นอยู่กับมันอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ พวกเขามาอย่างลับๆ ดังนั้นคนที่รู้ล้วนเป็คนสนิทของหลิวหงเหยียน คนอื่นๆ จึงไม่รู้ว่ามีพวกเขาสองคนอยู่ในวัง
ด้วยเหตุนี้ ตำหนักราชันผู้พิชิตจึงยังคงดำเนินไปตามปกติ และการระแวงกลัวว่าชงโหวหู่จะส่งคนมาลอบสังหารก็ไม่เกิดขึ้น ทำให้หลัวเลี่ยฝึกฝนได้อย่างสบายใจ
สามวันผ่านไป ซึ่งก็คือในวันที่สี่สิบสามในการทำงานหนักของหลัวเลี่ย ในที่สุดก็ได้ผลตอบแทน
เขาได้รับความก้าวหน้าในการฝึกฝน
พลังในร่างกายสั่นด้วยความถี่ที่สูงผิดปกติ ในระหว่างการสั่นะเื พลังก็เคลื่อนผ่านเส้นลมปราณภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ไปรวมกันที่จุดตันเถียนอีกครั้ง
การเดินพลังครั้งนี้สั่นะเืจนทำให้เส้นลมปราณขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมสองเท่า และยังทำให้มีความเหนียวแน่นมากขึ้น ซึ่งเป็ผลทำให้แข็งแกร่งมากขึ้น
เมื่อพลังทุกอย่างกลับมาที่จุดตันเถียนอีกครั้ง จุดตันเถียนก็บวมขึ้น จนท้องส่วนล่างนูนออกมา
แต่การสั่นะเืก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และครั้งที่รุนแรงพลังภายในทั้งหมดมารวมตัวกัน เกิดเสียง ‘ตูม’ ราวกับว่าได้ทำลายขอบเขตของระดับพลัง และทำให้พื้นที่ตรงจุดตันเถียนขยายตัวอย่างกะทันหัน
แล้วท้องของหลัวเลี่ยก็กลับมาเป็ปกติ
มีเสียงคล้ายฟ้าร้องเกิดขึ้นในจุดตันเถียนของเขา ทำให้อากาศในห้องที่เขาอยู่สั่นะเือย่างรุนแรง ขณะที่พื้นดินก็สั่นะเืเช่นเดียวกัน
“ในที่สุดก็ทะลุ”
“การฝึกวรยุทธ์ระดับที่ห้า!”
จู่ๆ หลัวเลี่ยก็ลืมตาขึ้น เขาเต็มไปด้วยความสุข
การฝึกวรยุทธ์ระดับที่ห้า ในเคล็ดวิชาั์นั้นไม่ง่ายเลย และลักษณะเฉพาะของการฝึกนี้คือ...ฟันแทงไม่เข้า และสามารถสังหารคนได้ด้วยลมปราณ!
การฟันแทงไม่เข้านี้ ไม่ได้หมายถึงสามารถต้านทานสมบัติหรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เป็ดาบธรรมดาที่ไม่สามารถแตะต้องเขาได้
อย่าได้ดูถูกความสามารถนี้เด็ดขาด มีเคล็ดวิชาบางอย่างที่แม้ว่าพวกเขาฝึกฝนถึงระดับที่สิบแล้ว แต่ก็ไม่สามารถพูดว่าสามารถต้านทานดาบที่ทำจากเหล็กชั้นดีได้
เมื่อรู้สึกถึงพลังภายในที่พลุ่งพล่านในร่างกาย จุดตันเถียนที่แข็งแกร่ง และเส้นลมปราณที่เปิดกว้าง ทั้งหมดนี้เป็สัญลักษณ์ของการไปสู่ระดับที่ห้าของการฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ ซึ่งทำให้หลัวเลี่ยตื่นเต้นมาก
หลังจากเดินวนไปมาในห้องฝึกสักพักเขาก็เดินออกมา ตั้งใจจะหาคนทดสอบความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา
เมื่อเดินออกจากห้องซ้อม เขาก็เห็นเสวี่ยปิงหนิงที่ยืนเพลิดเพลินกับทิวทัศน์อยู่ในตำหนักราชันผู้พิชิต
ใน่วันฝึกซ้อมที่น่าเบื่อ เมื่อเห็นเสวี่ยปิงหนิงมาหาก็นับว่าทำให้หลัวเลี่ยผ่อนคลายแล้ว
มีเพียงหลิวหงเหยียนเท่านั้นที่ยุ่งเกินกว่าจะหาเวลามาได้ และแม้ว่านางมาหา แต่นางก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว นางไม่ได้รั้งรออยู่นานนัก
“พี่ปิงหนิงคิดถึงข้าอีกแล้วหรือ” หลัวเลี่ยหัวเราะ
เสวี่ยปิงหนิงเม้มปาก ก่อนยิ้ม “ข้ามาที่นี่เพื่อมอบของขวัญให้เ้า”
หลัวเลี่ยกล่าวว่า “ของขวัญ?”
“อืม เป็หงเหยียนที่เตรียมไว้ให้เ้า ของขวัญครั้งก่อนนอกจากกระเป๋าเฉียนคุณแล้ว ไม่เห็นเ้าสนใจอย่างอื่น ดังนั้นนางจึงคิดเื่นี้อยู่ในใจเสมอ หลังจากกลับมา นางขอให้ใครบางคนเตรียมของขวัญนี้ให้เ้า ตอนนี้ของขวัญเสร็จแล้ว จึงให้ข้านำมาส่ง” เสวี่ยปิงหนิงอธิบาย
หลัวเลี่ยคิดเกี่ยวกับเื่นี้ และดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้นจริงๆ
ของขวัญสามอย่างที่หลิวหงเหยียนมอบให้ก่อนหน้านี้ ชิ้นแรกคือคันธนูซวนิที่เขาไม่สนใจ มันถูกมองว่าเป็ของที่ระลึกจากอ๋องหนานหลี่ ชิ้นที่สองคือกระเป๋าเฉียนคุณ ซึ่งถือได้ว่าไม่เลวเลย และชิ้นที่สามนางมอบอาจารย์ให้ ซึ่งในตอนนี้ฉินจื้อและเหยาเฟิงถูกทดสอบโดยเขา และพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เพื่อให้ทั้งสองอยู่ในวังหลวง กลายเป็กำลังให้หลิวหงเหยียนช่วยกำจัดชงโหวหู่
ดังนั้นหลิวหงเหยียนจึงรู้สึกอยู่เสมอว่านางเป็หนี้หลัวเลี่ย
“สิ่งของอะไรหรือถึงใช้เวลาเตรียมการนานขนาดนี้?” หลัวเลี่ยถาม
เสวี่ยปิงหนิงหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเฉียนคุณ
ตราหยกสูงไม่เกินครึ่งศอก และยาวประมาณสองฉื่อ บนหยกประดับด้วยลวดลายน้ำทะเล ูเาหิน และั ทั่วทั้งตราหยกเปล่งพลังแห่งลมปราณ
“นี่คือตราหยกเชื่อมิญญาใช่หรือไม่” หลัวเลี่ยได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความรู้ทุกประเภทใน่เวลาว่างจากการฝึกฝนเมื่อเร็วๆ นี้ และตอนนี้เขารู้เื่พื้นฐานทั่วไปทั้งหมด
“ถูกต้อง และมันยังเป็ตราหยกเชื่อมิญญาระดับสูงอีกด้วย” เสวี่ยปิงหนิงกล่าว
“ระดับสูง!”
หลัวเลี่ยมีความสุขมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ตราหยกเชื่อมิญญานั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก คนกลุ่มเดียวที่สามารถผลิตสิ่งนี้ได้คือกลุ่มัแห่งสี่ทะเล ถ้าเป็บุคคลทั่วไป พวกเขาก็จะขายแค่ระดับทั่วไป และระดับกลางนั้นแม้กระทั่งราชวงศ์ของบางอาณาจักรก็ยังเป็ไปได้ยากที่จะได้รับ แต่นี่คือสำหรับระดับสูง ต่อให้เป็ผู้ที่มีสถานะสูงส่ง ก็เป็ไปไม่ได้ที่กลุ่มัแห่งสี่ทะเลจะขายให้
“นี่คือจิติญญาัแห่งความโกลาหล” เสวี่ยปิงหนิงหยิบขวดขนาดเล็กออกมา “เมื่อนำจิติญญาัแห่งความโกลาหลแนบเข้ากับตราหยกเชื่อมิญญาแล้ว เ้าจะสามารถเข้าสู่ภพจิตัผ่านตราหยกเชื่อมิญญาได้ ทำให้เปิดโลกทัศน์ได้กว้างขึ้น”
หลัวเลี่ยไม่สามารถรอได้ ดังนั้นเขาจึงหยิบขวดลายครามขนาดเล็กที่ผูกจิติญญาัแห่งความโกลาหลไว้ภายใน เขาใช้พลังภายในร่างกายยับยั้งพลังของัที่วุ่นวายในขวดกระเบื้องขนาดเล็ก เพื่อป้องกันไม่ให้มันหลบหนี จากนั้นหยดเืหยดหนึ่งลงไป ปรับแต่งพลังในขวดด้วยพลังตนเอง และสุดท้ายวางขวดลงบนตราหยกเชื่อมิญญา
ตราหยกเชื่อมิญญาเปล่งรัศมีจางๆ ซึ่งแสดงถึงการกลืนกินพลังของัแห่งความโกลาหลโดยตรง
“เ้ารู้วิธีเข้าไปหรือไม่” เสวี่ยปิงหนิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลัวเลี่ยพยักหน้า และยื่นมือออกไปกดบนตราหยกเชื่อมิญญาที่แกะสลักนูนขึ้นมา เขากำจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป จากนั้นเขาก็เห็นตรงที่นูนกะพริบแสง แล้วดึงตัวหลัวเลี่ยเข้าไป
แล้วเสวี่ยปิงหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ปรากฏรอยยิ้มบนริมฝีปาก “หลัวเลี่ย เ้ารีบร้อนเหลือเกิน ข้ายังไม่ได้บอกเ้าเลย ว่าเพื่อช่วยให้เ้าได้รับตราหยกเชื่อมิญญาระดับสูงนี้ หงเหยียนได้ทำให้ัตัวเมียที่มันโกรธมาก และขู่ว่าทุกครั้งที่เ้าเข้าสู่ภพจิตั นางจะทุบตีเ้าจนกว่าเ้าจะออกไป”