เมื่อได้รับคำอธิบายอย่างละเอียดจากเจียนั่ว ในที่สุดโม่จ้านก็เข้าใจแล้วว่าการ ‘ชี้นำ’ ทำอย่างไร หากจะพูดให้เข้าใจง่ายสักหน่อยก็คือการที่จอมเวททำการกระตุ้นประสาทััทั้งห้าของผู้ถูกชี้นำระหว่างรวบรวมพลังธาตุ ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับพลังธาตุลงจนกว่าผู้ถูกชี้นำจะััได้ถึงการมีอยู่ของธาตุของพลังเวท หลังจากนั้นสามารถทำตามวิธีในตำรา พัฒนาการขับเคลื่อนและการควบคุมพลังธาตุไปทีละขั้นตอน
กุญแจสำคัญของเื่นี้ แน่นอนว่าคือการกระตุ้นและลดปริมาณ หากพลังธาตุมากเกินจะสร้างอาการาเ็ให้ผู้ถูกชี้นำ หากน้อยเกินไปก็มิอาจทำให้อีกฝ่ายรับรู้ ผู้ชี้นำมิเพียงแต่ต้องควบคุมพลังธาตุให้แม่นยำ ทว่ายังต้องมั่นใจว่ามีพลังิญญาเพียงพอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการ ‘ขาด่’ อย่างกะทันหันจนกลายเป็การโจมตีผู้ถูกชี้นำ
“ดังนั้นจึงได้้าจอมเวทระดับสูงที่ควบคุมพลังเวทได้ดีกว่า ใช่หรือไม่?” โม่จ้านสื่อว่าเข้าใจ “แล้วท่านผู้นั้นที่ชี้นำให้เ้าเขาทำอย่างไร?”
สีหน้าของเจียนั่วค่อนข้างหดหู่ ท่าทางคล้ายกับนึกถึงเื่ในอดีตที่มิน่ายินดี
“เขาส่งพลังเวทเข้ามาในร่างกายของข้า จากนั้นขังข้าไว้ในห้องลับสามวัน ปล่อยให้มันทำลายร่างกายของข้าตามอำเภอใจ บีบบังคับให้ข้าััถึงมัน”
โม่จ้านตะลึงงันเสียแล้ว “...นึกมิถึงว่าเ้าจะรอดมาได้?”
“ข้าระดมพลังจิตอย่างสุดชีวิต ท้ายที่สุดกดข่มมันเอาไว้ได้ จากนั้นจึงขับพวกมันออกจากร่างกาย” เจียนั่วพยักหน้า “รอกระทั่งท่านผู้นั้นเข้ามา เขารู้สึกยินดีอย่างมากที่เห็นว่าข้ายังมีลมหายใจ”
ขณะมองเจียนั่วเล่าอย่างผ่อนคลาย โม่จ้านกลับเหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากเสียแล้ว --- การทำเช่นนี้มิเท่ากับเลี้ยงหนอนไว้ในตัวงั้นหรือ? จะเอาชีวิตรอดได้ล้วนต้องพึ่งดวง ต่อให้ถูกชี้นำสำเร็จ กระนั้นก็เป็ไปได้สูงที่จะทิ้งอาการตกค้างในภายหลังเอาไว้
“ช่างเถิด ข้ายังมิอยากตาย” โม่จ้านตัดสินใจเด็ดเดี่ยว “หากพลังเวทของอัศวินเวทอย่างพวกเ้าได้มาอย่างทรมานเช่นนี้ ข้ายินดีจะเป็เบี้ยล่าง”
“แน่นอนว่าข้าไม่มีทางทำเช่นนั้นกับเ้า” เจียนั่วกดมือที่ยกขึ้นของโม่จ้านลง “ข้าสามารถควบคุมพลังเวทมิให้มันทำลายร่างกาย เ้าเพียงรวบรวมสมาธิค่อยๆ ััมันเป็พอ”
วิธีการเหมาะสมอย่างยิ่ง อีกทั้งมิจำเป็ต้องสงสัยในความสามารถของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทว่าสิ่งที่ทำให้โม่จ้านลังเลนั้นคือเจตนารมณ์ที่เจียนั่วทำเช่นนี้ --- ตนกับเจียนั่วเพิ่งจะเคยพบกันสามครั้ง สองครั้งก่อนยังเกิดความหมางใจ ก่อนจะกลายเป็ความสัมพันธ์ที่สามารถไว้ใจเพียงเพราะกระดาษส่งข่าวนัดหมายเพียงแผ่นเดียว?
โม่จ้านจดจ้องเจียนั่ว หวังจะอ่านจุดประสงค์จากในแววตาของเขา ทว่านอกจากความไม่สะทกสะท้านและความคาดหวังบางๆ ภายในดวงตาของท่านอัศวินช่างใสกระจ่างเป็ประกายอย่างมาก
ช่างเถิด เชื่อเ้าสักครั้งก็แล้วกัน ตนทั้งยากจนและไม่มีสิ่งใดสักอย่าง ยังจะไปมีอันใดให้ต้องใช้แผนการ? โม่จ้านส่งมือซ้ายให้เจียนั่วอย่างยอมรับชะตากรรม เจียนั่วหยิบกริชขึ้นมาก่อนค่อยๆ กรีดเป็ทางลงหลังมือของโม่จ้านเบาๆ หยดเืผุดขึ้นมาทันใด
คนทั้งสองที่นั่งอยู่บนฟูกปิดเปลือกตาลงพร้อมกัน โม่จ้านััได้ว่านิ้วมือของเจียนั่วกดลงบนปากแผล ตามด้วยความเ็ปหนึ่งระลอกที่ส่งผ่านมา
ทันใดนั้นไอเย็นกลุ่มหนึ่งพลันแทรกซึมเข้าสู่ปากแผล มิต่างกับเข็มเย็นทิ่มเข้าสู่ร่างกายก่อนจะเริ่มฉีดสารละลายที่เย็นะเืมิต่างกัน กระแสความเย็นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายภายในเสี้ยววินาที โม่จ้านขนลุกชันก่อนจะชักมือกลับมาโดยสัญชาตญาณ พลังธาตุน้ำแข็งที่เพิ่งเข้าสู่ปากแผลหลุดจากการควบคุม วิ่งไปตามท่อนแขน มุ่งสู่หัวใจของโม่จ้าน
นึกว่าช้าไปแต่กลับเร็วกว่าที่คิด เจียนั่วคว้าข้อมือของโม่จ้านเอาไว้อีกครั้ง พลังจิตพุ่งเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วก่อนจะกลายเป็ตาข่ายใหญ่ห่อหุ้มหัวใจของโม่จ้านเอาไว้ สามารถขัดขวางการโจมตีของธาตุน้ำแข็งได้อย่างทันเวลา เจียนั่วที่กำลังตึงเครียดถอนหายใจโล่งอก จากนั้นค่อยๆ ไล่ธาตุน้ำแข็งไปยังบริเวณใกล้เคียงกับสมอง
โม่จ้านที่กำลังหลับตามิทันได้เห็นว่าในเสี้ยววินาทีที่มือของตนหลุดจากมือของเจียนั่ว สีหน้าของอีกฝ่ายฉายแววหวาดกลัวและร้อนรนมากเพียงใด
เจียนั่วปกป้องโม่จ้านได้สำเร็จ ทว่าอารมณ์ที่ตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวภายหลังยังมิอาจคลี่คลาย --- พลังธาตุที่หลุดจากการควบคุมจะทำสิ่งใด ตนย่อมรู้ดีอย่างยิ่ง หากพลาดพลั้งแม้แต่น้อย คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าอาจต้องกลับสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็เ้าเสียแล้ว
ทว่าโม่จ้านกลับมิรู้เื่นี้แม้แต่น้อย ถึงขั้นมิอาจััถึงความเ็ปเนื่องจากพลังธาตุเคลื่อนไหวในร่างกายอย่างรวดเร็ว ความสนใจของโม่จ้านล้วนแต่ถูกดึงดูดด้วยสิ่งที่อยู่ในหัว --- บนท้องฟ้าสีดำสนิทยามเที่ยงคืน ปรากฏดวงดาวสีน้ำเงินดวงหนึ่งส่องแสงกะพริบ รอบข้างยังมีม่านหมอกสีน้ำเงินเวียนวน
งดงามเหลือเกิน...โม่จ้านเพ่งมองดาวดวงนั้น พยายามแยกแยะรูปทรงของมันอย่างตั้งใจ
“ข้าจะส่งพลังธาตุน้ำแข็งตามเข้าไปอีกครั้ง เ้าจงรวบรวมพลังจิตเพื่อรับรู้ถึงมันอย่างสุดความสามารถ” ข้างหูของโม่จ้านมีน้ำเสียงค่อนข้างแหบพร่าของเจียนั่วดังเข้ามา
พลังจิตที่เอ่ยถึง แท้จริงแล้วเป็เพียงความคิดและความตระหนักรู้ของตนเองเท่านั้น ครั้นธาตุน้ำแข็งเข้าสู่ร่างกายครั้งที่สองและสาม โม่จ้านพลันคุ้นชินเสียแล้ว ถึงขั้นยังััได้ว่าเ้าก้อนเล็กๆ ถูกเือุ่นร้อนโอบอุ้มขณะไหลมายังศีรษะ จากนั้นปรากฏเป็ดาวดวงใหม่ดวงแล้วดวงเล่าบน ‘ท้องฟ้า’
เจียนั่วลืมตาขึ้น ใบหน้าขาวซีดเป็ทุนเดิมไร้สีเืเสียแล้ว โดยปกติหากรวบรวมพลังธาตุสิบก้อนไว้ในร่างกาย แต่อีกฝ่ายยังคงมิอาจััได้ เช่นนั้นก็เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีพร์ด้านพลังเวท ระดับความสามารถในการควบคุมพลังธาตุน้ำแข็งของตนมิสูงมาก มิได้ดีไปกว่าจอมเวทระดับกลางเท่าใดนัก การควบคุมพลังธาตุสิบก้อนก็จวนจะใกล้ถึงขีดจำกัดของตนแล้ว
กระนั้นบุรุษที่อยู่ตรงหน้ายังคงปิดเปลือกตา มุมปากหยักยกเล็กน้อย เจียนั่วคิดว่าตนต้องอดทนพยายามต่อไปอีกสักครู่
โม่จ้านในยามนี้ยังคงดื่มด่ำกับความสุขที่ได้แหงนมองดวงดาว ภายในโลกที่มีมลพิษเอ่อล้นแห่งนั้น ต่อให้เป็ชนบทยังยากจะได้พบเห็นดวงดาวสว่างไสวสะดุดตาเช่นนี้ แม้ตนจะรู้ว่านี่มิใช่ดาวจริงๆ แต่กระนั้นท่าทางะโโลดเต้นเป็ประกายระยิบระยับของพลังธาตุน้ำแข็งทั้งสิบก้อนที่เรียงหน้ากระดานช่างควรค่าแก่การชื่นชมยิ่งนัก
“ััได้...แล้วหรือไม่?” น้ำเสียงของเจียนั่วอ่อนแรง มือที่กดปากแผลของโม่จ้านเอาไว้สั่นเทาเล็กน้อย
โม่จ้านได้สติกลับมาทันใด ลอบบริภาษว่าตนช่างโง่สิ้นดี เจียนั่วกับตนเพิ่งจะประลองกันจนหนำใจยกหนึ่ง ต่อให้พลังจิตจะไหว แต่พลังกายตามมิไหว!
ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มไม่เป็ระเบียบ โม่จ้านค่อนข้างตื่นตระหนก ภายในหัวคิดเพียงแต่จะให้เจียนั่วได้พักผ่อนจึงสะบัดมือเจียนั่วออก
สีหน้าของเจียนั่วเปลี่ยนไปโดยพลัน ไม่มัวสนใจว่าพลังจิตแทบจะหมดสิ้นแล้ว กดข้อมือซ้ายของโม่จ้านเอาไว้ทันทีก่อนจะลองพยายามควบคุมพลังธาตุอีกครั้ง ทว่ามือขวาของโม่จ้านกลับกุมข้อมือของเจียนั่วอย่างผ่อนคลาย บีบลงบนหลังมืออีกฝ่ายแ่เบาเพื่อสื่อว่าตนมิเป็อันใด
เจียนั่วตกตะลึง หรือว่า...
มิผิด โม่จ้านมิได้ยิงธนูโดยไร้เป้า
ตนมิเคยลองควบคุมพลังเวทมาก่อนจริงๆ เพียงแต่หลังััได้ถึงความพยายามสุดความสามารถของเจียนั่ว ขณะกำลังร้อนใจจึงได้ใช้พลังจิตของตนผลักพลังธาตุน้ำแข็ง นึกมิถึงว่าจะพบว่าพลังธาตุน้ำแข็งกระจุกตัวรวมกันเป็ก้อนราวกับพบศัตรูโดยธรรมชาติ ดังนั้นตนจึงใช้พลังจิตห่อหุ้มพวกมันเอาไว้ จากนั้นปัดมือของเจียนั่วออก
โม่จ้านรู้สึกว่าตนมิต่างกับครูฝึก ตนใช้แส้อย่างพลังจิตไล่เฆี่ยนตีพลังธาตุน้ำแข็งที่วิ่งวุ่นไปทั่ว ต่อให้เหล่าพลังธาตุน้ำแข็งจะพยายามรวมตัวกันเป็กลุ่ม โม่จ้านที่นึกสนุกแบบพิเรนทร์ก็จะใช้พลังจิตมหาศาลฟาดพวกมันให้แยกออกจากกัน จากนั้นมองดูพวกมันล้มลุกคลุกคลานกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หลังจากเล่นสนุกจนพอใจ โม่จ้านจึงไล่พวกมันไปยังาแบนข้อมือ มองดูเหล่าพลังธาตุน้ำแข็งแย่งกันออกไปคล้ายกับกลัวจะได้รั้งท้าย ท่าทางมิต่างกับกลัวว่าจะต้องอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
“คล้ายจะสำเร็จแล้ว ขอบคุณ” โม่จ้านคลี่ยิ้มบางให้เจียนั่วก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ในเสี้ยววินาทีที่เห็นแสงอาทิตย์ โม่จ้านััได้ถึงอากาศที่เต็มไปด้วยพลังธาตุจากทั่วทุกสารทิศ ถึงแม้จะมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทว่าตนสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพวกมัน คล้ายกับนักเปียโนที่หลับตาบรรเลง ปลายนิ้วที่คล่องแคล่วว่องไวได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับเปียโนแล้ว
ขณะมองอัศวินที่เหน็ดเหนื่อยและค่อนข้างอ่อนแรง ความรู้สึกผิดในใจของโม่จ้านพลันปะทุขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม
“...เ้า ควบคุมพวกมันได้?” ตนเห็นกับตาว่าพลังธาตุน้ำแข็งไหลออกมาจากาแของโม่จ้าน กระนั้นเจียนั่วกลับยังเลือกที่จะเอ่ยถามทั้งที่รู้ดีแก่ใจ เพราะเขามิกล้าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นจริงๆ
“อืม ต้องขอบใจเ้ามาก” โม่จ้านหยัดกายลุกขึ้น ตามด้วยเผยรอยยิ้มจริงใจให้เจียนั่วอีกครั้ง
บุรุษที่อยู่ตรงหน้าหันหลังให้หน้าต่าง แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องใบหน้าแย้มยิ้มของเขา ร่างทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยสีสันแวววาวหนึ่งชั้น
เจียนั่วรู้สึกลำคอแห้งผากเล็กน้อยจึงกระแอมไอออกมา
