วางแผนนับพันนับหมื่นครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าแค่นังแพศยานั่นเพียงแกล้งเป็ลม จะทำลายแผนการของตนเองจนหมดสิ้น โม่เสวี่ยิ่รู้ดีว่าโอกาสแบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว ตราบใดที่โม่เสวี่ยถงยังอยู่ ฟางอี๋เหนียงอยากขึ้นเป็ภรรยาเอกย่อมเป็เื่ยากเสียยิ่งกว่ายาก นังสารเลวเ้าเล่ห์นั่นถึงขั้นยอมทำร้ายตนเองเพื่อขัดขวางไม่ให้ฟางอี๋เหนียงมีโอกาสขึ้นเป็ภรรยาเอก
ภายในใจแค้นเคืองยิ่ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ริมฝีปากล่างถูกกัดจนเป็แผลเืออกซิบๆ ั์ตากลายเป็สีแดงก่ำด้วยโทสะ
นางต้องไม่ใจอ่อน ขอแค่โม่เสวี่ยถงตายไป ฟางอี๋เหนียงย่อมได้ขึ้นเป็ภรรยาที่ถูกต้อง ตนเองก็จะกลายเป็บุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก พี่ชายก็สามารถเชิดหน้าชูตาในฐานะทายาทผู้สืบทอดตระกูลโม่ได้อย่างสมภาคภูมิ ยังมีสินเดิมของมารดาโม่เสวี่ยถง ที่สุดท้ายก็ต้องตกเป็ของตนเอง แค่มีสิ่งของเหล่านี้ นางก็สามารถนำมาใช้สร้างเงื่อนไข แม้แต่ขอฮองเฮาให้พระราชทานสมรสก็ไม่ใช่เื่ยาก
แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็จริงได้ นังแพศยานั่นต้องตายสถานเดียว และต้องตายอย่างน่าอนาถจึงจะหายแค้น ยามนี้นางแทบอดใจไม่ไหว อยากจะสับโม่เสวี่ยถงให้แหลกเป็หมื่นส่วน ขณะที่หมุนตัวไปหาโม่ซิ่ว ดวงตายังฉายแววอำมหิต เห็นความเกลียดชังจมลึกอยู่ด้านใน
โม่ซิ่วคุกเข่าอยู่ด้านข้างปากคอสั่นไม่กล้าเอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว ได้แต่ใช้มือเก็บเศษกระเบื้องทีละชิ้น เพราะความหวาดกลัวมือจึงถูกบาดเป็แผล แม้เืจะไหลนองแต่ก็ไม่กล้าร้องออกมา บรรยากาศโดยรอบหนาวเยือกและอัดแน่นไปด้วยความกดดัน
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้ยินโม่เสวี่ยิ่กล่าวเสียงเย็น “ไป! พวกเราไปเยี่ยมน้องสาวผู้แสนดีของข้ากันเถอะ”
โม่เสวี่ยิ่ใช้เวลาอยู่ชั่วครู่จึงกลับมาเยือกเย็นเหมือนปรกติ มีเพียงคนสนิทข้างกายที่รู้ว่าบัดนี้นางกำลังโกรธเกลียดคับแค้นใจมากแค่ไหน โม่ซิ่วไม่กล้าพูดมาก โยนเศษแก้วในมือไปด้านข้าง แล้วเดินตามโม่เสวี่ยิ่ออกจากห้องบูชาบรรพชนอย่างเงียบเชียบ
แสงตะวันจากภายนอกกำลังพอเหมาะ ยามแสงแดดสาดส่องลงมาเดิมทีก็ควรจะนำพาความอบอุ่นมาให้ แต่โม่ซิ่วกลับรู้สึกว่าลำแสงที่ทาบทอลงมาบนร่างกายช่างหนาวเหน็บเสียดกระดูกนัก เย็นะเืยิ่งกว่าอยู่ด้านใน นางแอบมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงราวกับพู่กันของคุณหนูใหญ่ ที่ยามนี้กลับมาอยู่ในอิริยาบถอันงดงามอ่อนโยน สุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง นางมองเห็นแม้กระทั่งแววยิ้มที่ปรากฏบนหางตา นุ่มนวลละมุนละไม ดูละม้ายกุลสตรีที่งามพร้อม
แต่รอยยิ้มนั้นเมื่อพาดผ่านเข้ามาในดวงตาของโม่ซิ่ว กลับทำให้นางหางตากระตุกโดยไม่มีสาเหตุ นางประกบมือทั้งสองเข้าหากันแล้วบีบนิ้วมือแน่น จึงค่อยคลายความหนาวเหน็บที่แล่นผ่านปลายนิ้วลงได้ พลันกดศีรษะลงต่ำ ไม่กล้ามองโม่เสวี่ยิ่อีก ได้แต่ก้าวเท้าตามนางไปยังเรือนชิงเวย
ภายในเรือนชิงเวย ท่านหมอมากันเป็หมู่คณะ ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถวินิจฉัยออกมาได้ว่าโม่เสวี่ยถงป่วยด้วยโรคอันใด ต่างรู้สึกเพียงว่าลมหายใจของนางอ่อนแรง ดูคล้ายมีคล้ายไม่มี หมอที่เชิญมาแต่ละคนล้วนส่ายหน้าแล้วทอดถอนใจ บอกแต่ว่าตนเองไร้ความสามารถ จากนั้นก็สะพายล่วมยาจากไปทีละคน โม่ฮว่าเหวินร้อนใจยิ่ง นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเฝ้าอยู่ไม่ห่าง บัดนี้ไม่มีใจจะไปแก้ปัญหาเื่อื่น แม้แต่โม่เสวี่ยิ่เดินเข้ามาแสร้งทำท่าทางราวกับเป็พี่สาวแสนดีแสดงความห่วงใยรักใคร่อย่างสุดซึ้ง เขาก็ยังไม่มีอารมณ์จะใส่ใจ
โม่เสวี่ยิ่เห็นแบบนี้ก็อารมณ์ดียิ่ง
ดูท่านางแพศยาจะป่วยจริง มิใช่วางแผนแสร้งเจ็บไข้อย่างที่ตนเองคิดไว้ แววตาอำมหิตทอวาบจากก้นบึ้งดวงตา หากไม่ต้องฟื้นขึ้นมา ตายไปเลยได้ก็ยิ่งดี
นางแสร้งบีบน้ำตาร้องไห้เรียกน้องสามๆ อยู่สองสามครั้ง หลังจากนั้นก็กลับเรือนของตนเอง หากโม่เสวี่ยถงตายไปเสีย เื่ทุกอย่างก็นับว่าแก้ไขได้แล้ว
ดังนั้นโม่เสวี่ยิ่จึงไม่เคลื่อนไหวชั่วคราว รอดูความเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ
ในขณะที่โม่เสวี่ยิ่หยุดการเคลื่อนไหว แต่โม่เสวี่ยถงซึ่งอยู่อีกโลกหนึ่งกลับไม่อาจอยู่นิ่งได้
นางจะตายแล้วหรือ?
ระหว่างที่ก้าวเท้าอยู่บนทางเดินแสนมืดมิด มีเพียงอนธการอันไร้ขอบเขตแผ่คลุมอยู่รอบตัว ทั้งเปล่าเปลี่ยวและน่าพรั่นพรึง ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นจากพื้นลอยขึ้นมาทีละฉาก ยามเยาว์วัยที่กำลังร้องอ้อแอ้หัดพูด บิดามารดาโปรดปรานรักใคร่ ท่ามกลางบรรยากาศป่าท้อที่งดงาม โม่ฮว่าเหวินที่ยังดูหนุ่มแน่นโอบกอดมารดาผู้งดงามอ่อนโยน เด็กน้อยที่วิ่งนำสาวใช้ไล่กวดผีเสื้ออยู่ก็คือตนเองใช่หรือไม่?
ใบหน้าของนางในวัยเด็กเต็มไปด้วยความสุข
ฉากต่อมากลับเป็ตอนที่มารดาเสียชีวิต ตนเองยืนอยู่นอกห้องของท่านแม่ มองดูบิดาที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยือก นางเข้าไปตัดพ้อต่อว่าบิดาด้วยความโกรธ นี่เป็ครั้งแรกที่นางตัดความหวาดกลัวทิ้งไปแล้วทำตาขวางใส่บิดา ฟางอี๋เหนียงกับโม่เสวี่ยิ่ยืนอยู่ในสวนอีกด้านหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกระหยิ่มใจ
ที่แท้ตอนนั้นตนเองกับท่านพ่อก็ตกหลุมพรางของพวกนางแล้ว...
ต่อมา ภาพเหตุการณ์วุ่นวายในชีวิตของตนเองในภพก่อนก็ปรากฏทีละฉาก ถูกทำลายรูปโฉมจนอัปลักษณ์ แต่งงานก็ถูกวางอุบาย แม้ว่าตนเองแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหวพร้อมด้วยสินเดิมมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบหาบ แต่ใครจะรู้ว่าของที่มีมูลค่าอย่างแท้จริงมีเหลืออยู่เพียงไม่กี่หาบ ฟางอี๋เหนียงแอบยักยอกสินเดิมของมารดาตนเองไปไม่น้อย ภายนอกแสร้งวางตัวเป็ผู้มีคุณธรรมบอกว่าได้เพิ่มสินเดิมให้ แต่ของเ่าั้เกรงว่าแม้แต่บ่าวในจวนของตนเองยังไม่ชายตามองด้วยซ้ำ
ในห้องคลังสมบัติมีแต่ผ้าต่วนขึ้นรา โต๊ะเก้าอี้ที่หักพัง เครื่องลายครามบิ่นๆ กำไลข้อมือที่ภายนอกใช้สีทองทาทับสีเงิน มีตั๋วเงินมูลค่าน้อยนิดจนน่าอนาถเพียงสิบตำลึงวางอยู่ก้นหีบ
ด้วยเหตุนี้เอง ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวจึงไม่พอใจในตัวนาง ทั้งดูิ่เหยียดหยาม กลั่นแกล้งสารพัด
พอแต่งเข้ามาอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วโหว นางก็ค่อยๆ ััได้ถึงความเ็าของซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่ในตอนนั้นนางยังคงหลอกตนเองทำเป็มองไม่เห็น เข้าใจว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นคงมีเื่กลุ่มใจจากภายนอก ดังนั้นจึงอดทนกับนางน้อยลง และด้วยเหตุนี้นางจึงไปจวนฝู่กั๋วกง คุกเข่าต่อหน้าท่านยายขอให้ท่านลุงทั้งสองช่วยสนับสนุนเขาด้วย
แต่ไม่คาดคิดว่านี่กลับเป็การชักนำเภทภัยสู่จวนฝู่กั๋วกงในเวลาต่อมา
ภายในจวนเจิ้นกั๋วโหว นางถูกโหวฮูหยินกลั่นแกล้ง ถูกซือหม่าหลิงอวิ๋นเ็าห่างเหิน ถูกอนุแย่งชิงความโปรดปราน ทั้งถูกวางแผนร้ายสารพัด ตั้งครรภ์บุตรคนแรกก็ต้องแท้งไป ชีวิตของบุตรชายคนที่สองก็ต้องดับสูญในอ้อมอกของตนเอง ท้ายที่สุดการปรากฏตัวของโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นก็จุดประกายความแค้นให้แก่นาง
หลังจากนั้นก็ปรากฏภาพห้องโถงมงคลที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ภาพเหตุการณ์แต่ละฉากรายล้อมอยู่รอบตัวนาง แต่ละฉากที่เห็น หากไม่ใช่นางกำลังเสียใจ ร้องไห้เ็ป ก็นึกตำหนิตนเอง ทั้งยังหวาดหวั่นพรั่นพรึง มีเพียงฉากสุดท้าย ฉากแห่งการต่อสู้ที่สิ้นหวัง นางอุตส่าห์ยอมเอาชีวิตของตนเข้าแลกเพื่อลากชายโฉดหญิงชั่วสองคนลงนรกไปด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็ความล้มเหลว นางตาย แต่สองคนนั้นกลับไม่ได้รับาเ็แม้แต่น้อย...
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตา ฉากที่มีความสุขมีเพียงภาพแรกสุด นอกจากนั้นชั่วชีวิตมีแต่ความโศกเศร้า ถูกผู้อื่นบงการชีวิต บีบบังคับจนตาย ซ้ำร้ายแม้แต่จะแก้แค้นให้ตนเองยังสิ้นหนทาง ดวงตาขุ่นแค้นจนแทบะเิ แต่กลับเดินมาถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว ความเ็ปแล่นพล่านจากส่วนลึกของหัวใจแผ่ขยายไปถึงแขนขาและกระดูกทุกท่อน ทั่วทั้งร่างกายไม่เหลือพลังชีวิตอยู่เลยแม้เพียงส่วนเสี้ยว
ภายในความมืด โม่เสวี่ยถงขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งอย่างต่ำต้อย มองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างหมดอาลัยตายอยาก ในอดีตยามที่เห็นภาพเหล่านี้ในความฝัน นางก็จะสะดุ้งตื่นด้วยความแค้นเคือง แต่บัดนี้นางกลับพบว่าตนเองไม่มีแรงจะต้านทานอีกต่อไป ภายในความมืดมิด มีดวงตาเย็นเยียบคู่หนึ่งมองเหยียดลงมาจากที่สูง คอยบันดาลทุกอย่างให้เกิดขึ้น แม้ว่านางจะขัดขืนต่อสู้เพียงใด ก็ไม่อาจหนีพ้นจากโศกนาฏกรรมแห่งชีวิตไปได้
ดวงตาที่มองมาจากที่สูงคู่นั้น เ็าไร้หัวใจ ควบคุมหมากในมือของตนเอง หมากแต่ละเม็ดคือเืเนื้อและชีวิต แผ่นฟ้าดั่งกระดาน มนุษย์คือเม็ดหมาก ผู้คนต่างแบ่งขาวดำ แย่งชิงแข่งขัน สูงเกียรติก็สุขล้ำ ต้อยต่ำก็จาบัลย์
แต่นั่นไม่ใช่โลกของนาง ดังนั้นนางไม่จำเป็ต้องใส่ใจ แต่ยามนี้ เมื่อความจริงแต่ละเส้นสายสอดร้อยเข้าด้วยกัน นางไม่อาจมองตรงๆ ได้ ตนเองสามารถล้างแค้นให้ชีวิตก่อนได้จริงๆ หรือ นี่เป็ครั้งแรกที่นางไม่มีความมั่นใจกับการกลับมาเกิดใหม่ ถึงขั้นรู้สึกหวาดกลัว
ตลอดมานางนึกว่าหากต่อสู้จนล้มฟางอี๋เหนียง โม่เสวี่ยิ่ ซือหม่าหลิงอวิ๋นได้ ชะตาชีวิตของตนเองก็จะเปลี่ยนไป ความสุข ความโชคดีก็จะคืนมา ดังนั้นนางจึงมานะพยายามต่อสู้ แม้จะมีการเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ไม่ช้าก็จะเดินออกมาจากความผิดพลาดนั้นได้ เพราะภายในใจมีความยึดมั่น ว่าเพียงแค่ไม่มีพวกเขา ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แต่วันนี้นางกลับไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดอีก ได้แต่นั่งมองภาพความเ็ป สิ้นหวัง เดียวดาย ไร้คนช่วย สุดท้ายก็ดับสูญ...
ชีวิตใหม่ นางนึกว่าจะได้เริ่มต้นใหม่ ได้ยืนมองดูอยู่ในจุดที่สูงกว่า ทำให้ฟางอี๋เหนียงกับโม่เสวี่ยิ่สิ้นหนทางที่จัดการกับนางได้ ทำให้แผนร้ายของพวกนางย้อนกลับไปหาตัวเอง นางไม่ใช่คนที่จะให้ใครรังแกได้อีกต่อไป
คิดไม่ถึง นางกลับมามีชีวิตใหม่นานแล้ว วันนี้เวลานี้จึงพบว่าแท้จริงแล้วตนเองไม่รู้อะไรเลย แม้แต่สาเหตุที่ทำให้ต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า แล้วตนเองจะเอาสิ่งใดไปต่อสู้ และต้องต่อสู้กับผู้ใด คำถามบางอย่างอยู่ในใจนางมาโดยตลอด แล้วก็ลืมเลือนไป แต่เมื่อมาอยู่ใน่เวลาแห่งความเดียวดายและสิ้นหวังนี้ ทุกอย่างกลับมาชัดเจนในสมองอีกครั้ง
ชาติที่แล้ว หลังจากมารดาตาย ฟางอี๋เหนียงได้เลื่อนขึ้นเป็ภรรยาเอกก็มีแนวโน้มที่เป็ไปได้ แต่ตนเองไปทำอะไรให้ พวกนางจึงเพียรแต่ยัดเยียดความตายให้ หากไม่ตายก็ไม่เลิกรา คิดถึงคำพูดที่โม่เสวี่ยิ่กระซิบข้างหูของนาง ยามนั้นสุราพิษถูกกลืนลงท้องไปแล้ว เ็ปจนสูญเสียการรับรู้ แต่ดูเหมือนว่าตนเองยังได้ยินคำบางคำ... วังหลวง?
ดูเหมือนว่าโม่เสวี่ยิ่จะพูดถึงใครบางคนในวังหลวง แต่ตอนนั้นนางเ็ปจนหมดสติ จึงได้ยินไม่ชัด
โม่เสวี่ยิ่มีใจทะเยอทะยานอยากแต่งเข้าวังหลวง เสพสุขอำนาจวาสนาไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งนั้นในวังหลวงเกิดเหตุอันใดขึ้น นางจึงไม่กล้ามีความคิดจะเข้าวังอีกเลย
ฉินอวี้เฟิงเป็พวกของใคร คนฉลาดและทะนงตนเช่นนั้น ไฉนจึงผูกสมัครรักใคร่กับโม่เสวี่ยิ่และยอมยืนอยู่เื้ันางตลอดมา ทั้งวางแผนให้นางได้แต่งกับบุรุษอีกคน ขนาดภาพวาดที่ตนเองรักยังยอมทำลายได้ แต่ไม่ยอมมอบให้ผู้ใด แล้วไยสตรีที่ตนเองรักจึงตัดใจมอบให้ผู้อื่นได้เล่า เว้นเสียแต่ว่า... เขาไม่เคยรักนางเลย
แต่เพราะเหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นจึงต้องแสดงเป็รักใคร่นักหนาด้วยเล่า เขากำลังแสดงให้ใครดู...
แม้ว่าต่อมาซือหม่าหลิงอวิ๋นจะได้เป็ขุนนาง แต่ตำแหน่งก็ไม่ได้ใหญ่โต เขาเอาสิ่งใดไปจากจวนฝู่กั๋วกง ในกระถางดอกไม้นั้นแท้จริงแล้วมีสิ่งใดอยู่กันแน่ จึงทำให้จักรพรรดิจงเหวินตี้พิโรธถึงเพียงนั้น และสั่งให้ตรวจสอบจวนฝู่กั๋วกงทันที
ของสิ่งใดกันที่เป็ที่้าของทั้งผู้ที่สนับสนุนองค์จักรพรรดิ และผู้ที่ต่อต้านพระราชอำนาจของพระองค์ ของสิ่งใดกันที่เขย่ารากฐานของครอบครัวที่อยู่มานับร้อยปีให้สั่นะเืได้เยี่ยงนี้
...
เื่ราวแต่ละเื่เหล่านี้มิได้เป็แค่เื่ภายในครอบครัวอีกต่อไป
การเมือง เป็เื่การเมือง!
สกุลโม่เป็แค่ตระกูลขุนนางขั้นห้าเล็กๆ ไฉนจึงไปเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ ภายในจวนโม่แท้จริงแล้วมีสิ่งใดให้คนอยากเข้ามาค้นหา หนึ่งคน สองคนที่ยื่นมือแทรกเข้ามา ชาติก่อนก็เป็เช่นนี้ ชาตินี้ก็เป็เช่นนี้อีก แต่นางหาต้นสายปลายเหตุไม่พบ ได้แต่มองดูตนเองเหยียบซ้ำไปบนทางเดินสายเก่า
หากชีวิตต้องมีจุดจบเหมือนชาติที่แล้ว นางขอยอมตายอย่างโง่ๆ ดีกว่า ผู้ไม่รู้ย่อมปราศจากความหวาดกลัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้