อารัมภบท
‘ประกาศเลิกกิจการ’
ดวงตาภายใต้กรอบแว่นไล่อ่านประโยคดังกล่าวซ้ำ ๆ เป็รอบที่หนึ่งร้อยของวัน เขาคอยหยิกหลังมือตัวเองซ้ำ ๆ หวังให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็เพียงความฝันเท่านั้น ทว่าความรู้สึกเจ็บที่เกิดขึ้นทุกครั้งก็เป็สิ่งตอกย้ำว่าเขาควรจะเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว
เล่าจื๊อ ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น ตอนนี้เขายังอยู่ในชุดทำงานด้วยซ้ำ กว่าจะหอบร่างพัง ๆ ของตัวเองฝ่าสารพัดความเฮงซวยให้เมืองกรุงฯ เพื่อกลับมาบ้านที่ยังผ่อนไม่หมดก็เหนื่อยมากพอแล้ว ยังจะต้องมาเห็นประกาศยกเลิกกิจการกะทันหันอีก
อา...บ้าเอ๊ย นี่ตัวเขาในวัยยี่สิบเจ็ดปี กำลังอยู่ในสถานะหนุ่มตกงานอย่างนั้นเหรอ!?
ในปัจจุบันมีเด็กจบใหม่เข้าสู่วัยทำงานจำนวนหลายแสนคนต่อปี บ้างจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง บ้างเก่งกาจถึงขนาดมีคนมาประเคนงานให้ถึงที่ ยังไม่นับรวมพวกที่เรียนจบจากเมืองนอกเมืองนาอีกต่างหาก แล้วคนอายุยี่สิบเจ็ดอย่างเขาที่เก่งแต่คำนวณเลขไปวัน ๆ พูดภาษาอังกฤษได้งู ๆ ปลา ๆ จะเอาอะไรไปสู้!
ภายในหัวเริ่มคิดไปไกล คำนวณถึงเปอร์เซ็นต์อันน้อยนิดที่เขาจะได้งานใหม่ที่มีเงินเดือนน่าพอใจ ภายใต้การแข่งขันกันอย่างดุเดือดในตลาดแรงงานก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะแตก ชายหนุ่มดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย เหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก
“แย่แล้ว...อย่างนี้แย่แน่ ๆ”
ร่างขาวฟุบหน้าลง เอาหน้าผากโขกโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก แล้วอย่างนี้เดือนหน้าจะหาเงินที่ไหนมาผ่อนบ้านล่ะ ใช่ว่าจื๊อจะไม่มีเงินเก็บออม แต่หากมีรายจ่ายทว่าขาดรายได้ ในอนาคตต้องลำบากกัดก้อนเกลือกินแน่ ๆ
“...”
ไม่สิ ทุกปัญหามีทางออก อย่างน้อยทางบริษัทก็แจ้งเลิกกิจการล่วงหน้าถึงครึ่งเดือน ก็แค่ตกงาน หางานใหม่เสียก็สิ้นเื่...คิดได้ดังนั้นก็รีบผงกหัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเริ่มเดินหน้าหางานใหม่ในอินเทอร์เน็ตทันที ระยะเวลาครึ่งเดือนนั้นไม่ใช่น้อย ๆ ก่อนที่บริษัทจะปิดกิจการโดยถาวร ตอนนั้นเขาคงจะหางานใหม่ได้แล้ว
...
ครึ่งเดือนต่อมา
THE EMPEROR
จื๊อไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พาตัวเองมาอยู่ที่นี่ในคืนวันศุกร์ ชายหนุ่มคลายเนกไทออกเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัด ดวงตาภายใต้กรอบแว่นกวาดมองรอบ ๆ ที่มีแต่แสงสีชวนให้ปวดหัว เขาได้แต่นั่งตัวลีบอยู่ที่มุมหนึ่งของโซฟา ในมือถือแก้วแชมเปญที่พนักงานนำมาเสิร์ฟเอาไว้แน่น ทว่ากลับไม่กล้าดื่ม
ที่นี่คือบาร์โฮสต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในย่านนี้ มีคนเล่ามาปากต่อปากว่าหากเข้ามาเยือนแล้วจะได้ประสบการณ์ราวกับขึ้น์...ในขณะที่ลูกค้าโต๊ะอื่นกำลังแข่งกันประมูลเพื่อเลือกโฮสต์หนุ่มที่้าไปร่วมโต๊ะอย่างออกรสออกชาติ หนุ่มตกงานคนนี้ทำได้แค่เพียงนั่งตัวแข็งทื่อเป็หุ่นเท่านั้น
“...”
วันนี้คือวันที่เขาได้ไปทำงานวันสุดท้าย ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาหางานใหม่ที่ได้เงินเดือนใกล้เคียงกับงานเก่าไม่ได้เลย เล่าจื๊อทั้งกลุ้มใจและสิ้นหวังสุดขีด เขาพาตัวเองมาในย่านสถานบันเทิงทั้งสภาพของชุดทำงาน รู้ตัวอีกทีก็เข้ามาเปิดโต๊ะในบาร์โฮสต์เสียแล้ว
ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้ว เขาควรจะทลายความกลัวของตัวเองด้วยการลองเรียกโฮสต์สักคน...แต่นั่นก็เป็เพียงความตั้งใจ เพราะภาพที่เห็น คือหนุ่มวัยใกล้สามสิบที่นั่งปากสั่นกึ่ก ๆ เพราะเพิ่งจะเคยมาเที่ยวสถานที่เช่นนี้เป็ครั้งแรกในชีวิต
“ไม่ทราบว่าลูกค้าสนใจโฮสต์เบอร์ไหนไหมคะ”
!!!
นั่งใจลอยอยู่นาน ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทักจากพีอาร์คนหนึ่ง จื๊อใช้มือดันกรอบแว่นขึ้นให้เข้าที่ หาเสียงของตัวเองอยู่นานทีเดียวกว่าจะตอบกลับไปได้
“มะ ไม่มีครับ...”
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันแนะนำให้ดีไหมคะ ลูกค้าอยากได้โฮสต์แบบไหนเอ่ย เป็เพื่อนคุย เพื่อนดื่ม หรือว่าอยากได้แบบแฟนก็มีนะคะ”
เพียงได้ฟังประโยคสุดท้าย จื๊อก็หน้าแดงเป็ลูกตำลึง รีบโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้าไปมาเป็พัลวัน
“ขะ ขอโทษครับ พะ พอดีว่าผมมีธุระด่วน...คงต้องกลับแล้ว”
พูดตะกุกตะกัก ทั้งเหงื่อที่แตกพลั่กไปทั้งหลัง พนักงานไม่เซ้าซี้ต่อ ครั้นเมื่อจ่ายเงินได้เสร็จสรรพแล้วก็วิ่งพรวดพราดออกมาหยุดยืนที่หน้าร้านแล้วจับเข่าหอบหายใจ การเข้าไปนั่งบาร์โฮสต์ครั้งแรกในชีวิต ให้ความรู้สึกอย่างกับเด็กที่โดดเรียนวิชาบังคับไม่มีผิด!
บ้าไปแล้ว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เลย
จื๊อหยิบกระเป๋าเงินมาเปิดดู เห็นแบงก์ร้อยที่หายไปหลายใบก็คิ้วตก น้ำตาตกใน...ซื้อน้ำส้มสักขวดไปดื่มที่บ้านก็ดีแล้ว มานั่งที่นี่จ่ายค่าเครื่องดื่มราคาเกือบพัน อีกทั้งยังดื่มไม่ทันหมดเพราะวิ่งออกมาก่อนอีก...การตกงาน ทำให้คนมีความคิดแปลก ๆ ผุดขึ้นมาจริง ๆ สินะ
ยืนโวยวายในใจได้เพียงไม่นาน เสียงเปาะแปะคล้ายฝนกำลังลงเม็ดก็ดึงความสนใจจากชายหนุ่มไปจนหมด จื๊อยื่นมือออกไปนอกชายคา พบว่าฝนที่เพิ่งจะปรอยปรายเมื่อครู่ ดูจะเม็ดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
“ฝนจะตกแล้ว...”
รีบวิ่งไปที่รถดีกว่า ขืนฝนตกหนักขึ้นมาต้องขับรถกลับที่พักลำบากแน่ ๆ
...
ควันบุหรี่ลอยขึ้นสู่อากาศ ตามด้วยเสียงหาวหวอด ๆ ของใครบางคนที่ยืนอยู่บริเวณซอกเล็ก ๆ หลังร้าน ดวงตาคมกวาดมองไปโดยรอบอย่างเกียจคร้าน ใต้ตาดำคล้ำเล็กน้อยตามประสาคนใช้ชีวิตกลางคืนเป็ส่วนใหญ่ จักรพรรดิ คีบบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้งแล้วบ่นเสียงเอื่อยเฉื่อย
“ง่วงฉิบหาย”
ฝ่ายลูกน้องที่ยืนกอดไม้กวาดอยู่ด้านหลังได้แต่ทำหน้าเอือมระอา เขาเป็พนักงานใหม่ที่ได้รับหน้าที่ดูแลหลังร้านทุกคืน และแต่ละคืนก็จะต้องมาคอยเฝ้าเ้านายที่มักจะมายืนทำตัวี้เีหน้าตายอยู่ตรงนี้จนกลายเป็กิจวัตร
สนใจงานการบ้างเถอะครับ กิจการของตัวเองแท้ ๆ ...ถึงจะร่วมหุ้นกับพี่ชายคนละครึ่งก็เถอะ
จักรพรรดิพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก มองเม็ดฝนที่เริ่มตกปรอย ๆ ก่อนจะกระหน่ำลงมาห่าใหญ่โดยไม่บอกไม่กล่าว อากาศเย็นสบายอย่างนี้เหมาะกับการนอนกระดิกเท้าอยู่ที่บ้านมากกว่ามานั่งคุมกิจการเป็ไหน ๆ
ทำไมมนุษย์เราต้องทำงานด้วยวะ
“ี้เีจังโว้ย...”
พึมพำบ่นหน้านิ่ง ก่อนจะนั่งยองลงแล้วจี้ปลายบุหรี่ลงกับพื้นจนมันมอดดับ
“ไอ้เขต”
ฝ่ายเ้าของชื่อที่แอบนินทาเ้านายในใจสะดุ้งโหยง ลนลานตอบรับเสียงดังจนแทบจะะโ
“ครับลูกพี่!!”
“เลิกงานแล้วตั้งวงเหล้า ชวนไอ้พวกที่ทำงานอยู่ข้างในด้วย กูเลี้ยง”
“อีกแล้วเหรอลูกพี่...ตั้งวงทีไรก็หนีพวกผมไปนอนก่อนทุกที”
เขตทำหน้าหน่ายใจ อีกฝ่ายชวนดื่มบ่อยเสียนึกว่าทำกิจการบาร์โฮสต์เป็งานอดิเรก นอกจากเลี้ยงเหล้าลูกน้อง ทำหน้าี้เีและหาวหวอด ๆ เป็ประจำ ผู้ชายคนนี้ทำอะไรอีกบ้าง ดูจะกระตือรือร้นหน่อยก็ตอนที่คิดเื่หื่นกามใต้สะดือล่ะมั้ง
“ลูกพี่อยากดื่มยี่ห้ออะไรครับ แต่ขโมยจากหลังร้านมาไม่ได้แล้วนะ เสียระบบร้านหมด”
“...”
เ้าของบาร์โฮสต์จิ๊ปากขัดใจเมื่อถูกดักทางจนได้ ตัดสินใจหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วยื่นให้ สักพักก็หันไปมองรอบ ๆ อีกครั้งด้วยความเบื่อหน่าย ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยยามเห็นร่างคุ้นเคยของใครบางคนรีบวิ่งฝ่าฝนผ่านหน้าไปยังลานจอดรถ ครั้นเมื่อตระหนักได้ว่าเป็ใครก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
“เดี๋ยวกูมา”
“ละ แล้วสรุปจะเอาเหล้ายี่ห้อไหนครับลูกพี่!”
“ยี่ห้อไหนแดกแล้วเมามึงก็เอามาเถอะ”
เอ่ยตอบส่ง ๆ แล้วเดินถือร่มนำไปไกลลิ่ว มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ เขตได้แต่มองตามแผ่นหลังของผู้เป็นายไปจนลับสายตาแล้วเกาหลังท้ายทอยแกรก ๆ ...จะรีบเดินไปไหนของเขาอีก ไม่ใช่ว่าจะแอบไปงีบหลับที่ไหนอีกหรอกนะ!
...
เล่าจื๊อวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงที่หมายได้สำเร็จ แม้ระยะทางจะไม่ไกล ทว่าฝนตกหนักถึงขนาดนี้ กว่าจะถึงลานจอดรถก็เปียกโชกไปทั้งตัว โชคดีเหลือเกินที่เขาจอดรถไว้ในร่ม ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเวลามายืนหอบหายใจพักเหนื่อยอย่างนี้
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ตอนนี้เป็เวลาเที่ยงคืน ย่านสถานบันเทิงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ทว่าเล่าจื๊อที่ปกติปิดไฟห่มผ้านอนั้แ่สองทุ่ม พอเห็นเวลาบนหน้าปัดก็เบิกตากว้างจนแทบถลน รู้สึกว่าตัวเองเป็คนไม่รักดี ต้องรีบกลับบ้านไปกักบริเวณตัวเองแล้วสำนึกผิดโดยด่วน
แย่แล้ว แย่มาก ๆ!!
“แฮ่ก...ต้องรีบกลับบ้านแล้ว”
สั่งตัวเองได้ดังนั้นก็รีบเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่แล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อไอ้แก่คู่ใจดันมาออกอาการป่วยจนสตาร์ทไม่ติดเสียอย่างนั้น เขาพยายามบิดกุญแจอยู่หลายครั้ง แต่นอกจากความเงียบแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
“ทำไมถึงสตาร์ทไม่ติดล่ะ!”
นี่มันไม่ใช่แค่แย่มากแล้ว มันคือโคตรแย่เลยต่างหาก!
จื๊อนั่งห่อไหล่ น้ำตาตกใน...วันนี้มันวันบ้าอะไรก็ไม่รู้ เขากลายเป็คนตกงานโดยสมบูรณ์เพราะบริษัทปิดกิจการ จะลองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ตัวเองบ้างก็ดันกลัวเสียจนต้องหนีออกมา ฝนก็ตกจนเปียกไปทั้งตัว แล้วนี่...รถยังจะมาเสียอีกงั้นเหรอ!?
ชายหนุ่มได้แต่เดินคอตกไปเปิดกระโปรงรถ แม้จะมองอะไรไม่รู้เื่เลยก็ตามที
“รถเก่าขนาดนั้น จะเสียบ้างก็ไม่แปลกหรอก”
!!!
เล่าจื๊อสะดุ้งเล็กน้อย รีบหันไปมองตามที่มาของเสียง ภาพที่เห็นคือร่างสูงของจักรพรรดิที่ยืนกอดอกพิงกำแพง กำลังมองกันอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย พลันเ้าของรถหน้าหงิก ปิดปากเงียบแล้วก้มหน้าก้มตาดูบรรดาเครื่องยนต์อย่างกับตั้งใจนักหนา
“ดูเป็เหรอ”
ยุ่ง!
แน่นอนว่าคำนี้จื๊อคิดในใจ...เขาทำหูทวนลม ทำเป็ไม่สนใจต่อไป เดี๋ยวเ้าตัวก็เบื่อแล้วเดินหนีไปเอง แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะมีความตั้งใจในการก่อกวนมากกว่าที่คิด
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก”
“ตามใจ นอนเฝ้ารถแถวนี้ไปจนกว่าจะเช้าก็แล้วกัน”
“...”
จักรพรรดิโคลงศีรษะพูดอย่างไม่ใส่ใจ กระนั้นก็ยังคงยืนพิงกำแพงมองคนหัวแข็งว่าจะทำอย่างไรต่อไป คราวนี้จื๊อเริ่มเม้มปากเข้าหากันแน่น ทั้งดวงตาที่กลอกล่อกแล่กไปมาในระหว่างครุ่นคิดอย่างหนัก
ฝนก็ยังไม่หยุดตก ซ้ำยังดูจะตกหนักรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างกับพายุเข้า จะหาวิธีกลับเองก็จนปัญญา ตอนนี้เขาเหนื่อยมากจนแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว อีกอย่าง พรุ่งนี้เช้าก็ยังต้องรีบตื่นมารดน้ำต้นไม้ที่เพิ่งปลูกเอาไว้อีกนะ ไหนจะจัดเตรียมเอกสารสำหรับการหางานใหม่อย่างเร่งด่วนอีก
จื๊ออยากกลับบ้านแล้ว ทนอยู่อย่างนี้ไปจนเช้าไม่ไหวแน่ ๆ เที่ยงคืนแล้วแต่ยังอยู่ในแหล่งอโคจรแบบนี้ นับว่าเป็เื่ผิดมหันต์สำหรับคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตออกนอกกรอบอย่างเขาสุด ๆ ...ให้ตายเถอะ ทำไมรถต้องมาเสียวันนี้ด้วยนะ!
“...”
ดวงตากลมใต้กรอบแว่นเหลือบไปมองจักรพรรดิทั้งใบหน้าบูดบึ้งราวกับไปโกรธกันมาั้แ่ชาติปางไหน...ยิ่งเห็นเ้าตัวแอบยิ้มเยาะใส่กันเพราะรู้ว่าตนนั้นมืดแปดด้านก็ยิ่งโมโหจนไฟลุกโชนอยู่ในใจ เขาจะรบกวนแค่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ!
แม้จะไม่พูดอะไรออกมา ทว่าผู้มองก็สามารถเข้าใจภาษากายที่สื่อออกมาเป็อย่างดี ร่างสูงพยักพเยิดหน้าไปยังรถยี่ห้อยุโรปคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก
“รถจอดอยู่ทางนั้น”
จื๊อไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองกำลังมานั่งอยู่ในรถของคนที่ตนยกให้เป็ศัตรูอันดับหนึ่งในสภาพเนื้อตัวเปียกปอนอย่างนี้ ร่างขาวนั่งตัวเกร็ง มือจับสายคาดนิรภัยเอาไว้แน่น ยิ่งไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศระหว่างกันยิ่งน่าอึดอัดขึ้นเป็เท่าตัว
จื๊อแอบเหลือบสายตามองเสี้ยวใบหน้าของคนข้างกายอยู่เป็ระยะ ถึงจะตั้งให้อีกฝ่ายเป็ศัตรูก็เถอะ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกส่วนของเ้าตัวนั้นโดดเด่นจริง ๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางคนหมู่มากก็เหมือนกับมีแสงสว่างส่องอยู่บนหัวตลอดเวลา
เทียบกับคนที่ธรรมดาทุกอย่าง และถูกจัดให้เป็ตัวประกอบในสังคมมาตลอดชีวิตอย่างจื๊อแล้ว พวกเราแตกต่างกันราวกับอยู่คนละโลก
บอกไปใครจะเชื่อ...เห็นอย่างนี้ พวกเขาวนเวียนอยู่ในชีวิตของกันและกันมาั้แ่สมัยอนุบาลเชียวนะ
เดิมทีพวกเขาเป็เด็กต่างจังหวัด เนื่องจากบ้านอยู่ติดกัน จึงจูงมือไปเรียนด้วยกันทุกวันั้แ่สมัยอนุบาลจนถึงชั้นประถม ครั้นเมื่อจื๊อเข้ามาเรียนระดับมัธยมในกรุงเทพฯ อีกฝ่ายก็ดันสอบติดที่เดียวกันอีก เขาใช้ชีวิตวัยรุ่นมัธยมตลอดหกปี โดยมีคนอย่างจักรพรรดิคอยวนเวียน ยั่วโมโหกันอยู่ไม่ห่าง
จื๊อคิดว่าเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็คงจะแยกกันได้เสียที แต่ในวันปฐมนิเทศนักศึกษา เขากลับเห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ในแถวน้องใหม่คณะเดียวกันเสียอย่างนั้น แม้แต่วันแรกที่ได้เข้าทำงานในบริษัทที่ใฝ่ฝัน เขาก็ยังเห็นจักรพรรดินั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานฝั่งตรงข้ามกันอีก!
ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปีในที่ทำงาน จักรพรรดิกลายเป็ดาวรุ่งประจำบริษัท นอกจากหน้าตาแล้วก็ยังมีผลงานที่โดดเด่น ถูกขึ้นเงินเดือนรัว ๆ จนหลายคนแอบพูดกันว่าเ้าตัวคงจะได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าได้ไม่ยาก ในขณะที่เล่าจื๊อยังคงเป็ไอ้คนมืดมน นั่งทำงานที่หัวหน้าโยนให้อยู่ในมุมแคบ ๆ ของตัวเอง ด้วยอัตราเงินเดือนที่เท่ากับนักศึกษาจบใหม่
ทว่าเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ดาวรุ่งประจำบริษัทก็ตัดสินใจลาออกกะทันหัน พวกเขาขาดการติดต่อกันไปทันทีหลังจากนั้น มารู้ข่าวคราวจากเพื่อนสมัยมหา’ลัย ว่าจักรพรรดิได้ผันตัวเป็เ้าของกิจการบาร์โฮสต์และร้านบาร์กลางคืนอีกหลายร้าน
และนี่คือการพบเจอกันอีกครั้งของพวกเขาในรอบหลายปี
แต่จื๊อไม่เคยรู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายเป็เ้าของร้าน The Emperor’s ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ไปนั่งหรอก!
“พนักงานดีเด่นอย่างอาจื๊อ เที่ยวโฮสต์คลับเหมือนคนอื่นเขาด้วยเหรอ”
“...”
“คิดยังไงถึงมาเที่ยว”
“...”
“ไม่มีหูหรือไง”
เสียงทุ้มในประโยคสุดท้ายยังคงเอื่อยเฉื่อย แต่หากให้เดาก็คงจะแอบหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อได้รับแต่ความเงียบเป็คำตอบ ไม่ต่างจากคุยกับกำแพง จื๊อเสหน้ามองนอกหน้าต่างแล้วแอบบ่นอุบในใจ...ใช่แล้ว เขามันคนไม่มีหู พูดอะไรมาก็ไม่ได้ยินหรอกนะ
อีกอย่าง เขาชื่อ ‘เล่าจื๊อ’ ไม่ใช่ ‘อาจื๊อ’ สักหน่อย! เรียกชื่อกันให้ถูกต้องสักครั้งมันยากขนาดนั้นเลยหรือไงนะ
เล่าจื๊อนั่งปิดปากเงียบมาตลอดทั้งทางจนถึงหน้าบ้าน โชคดีที่บริเวณนี้ฝนไม่ได้ตกหนักมาก จึงไม่จำเป็ต้องวิ่งฝ่าฝนเข้าไป...ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยออก ไม่ลืมที่จะเอ่ยขอบคุณ ทว่าไม่ยอมมองหน้าคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย
“ขอบคุณ”
ว่าจบแล้วก็ทำท่าจะพาตัวเองออกจากรถ ก่อนจะชะงัก เมื่อถูกอีกฝ่ายรั้งเอาไว้ด้วยการจับบัตรพนักงานที่จื๊อห้อยคอเอาไว้ ดวงตาคมสีน้ำตาลช้อนขึ้นมองสบั์ตากลมใต้กรอบแว่น มันแฝงไปด้วยการหยอกเย้าและล้อเลียนอยู่ในที
“วันหลังจะมาเที่ยว ถอดไอ้นี่ออกก่อนก็ได้...เลิกงานแล้วรีบมาขนาดนั้นเลยหรือไง”
จื๊อหน้าร้อนด้วยความอับอาย เขาห้อยบัตรพนักงานเอาไว้ตลอดโดยไม่รู้ตัว ยิ่งคิดว่าตนเข้าไปนั่งในบาร์โฮสต์อยู่นานสองนานด้วยสภาพนี้ก็นึกอยากจะเอาหัวโหม่งรถแล้วมุดดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ หากเห็นตั้งนานแล้วทำไมไม่บอกกันล่ะ
ร่างขาวนั่งตัวสั่นหงึก ๆ เม้มปากไม่ให้มีแม้แต่เศษเสี้ยวของเสียงหลุดเล็ดออกมา จักรพรรดิที่คล้ายกับหยอกเย้าจนพอใจแล้ว จึงยอมผละตัวออกไปในที่สุด
“รีบเข้าบ้านไป เลยเวลานอนมานานแล้วไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะตื่นมารดน้ำต้นไม้ไม่ทันนะ”
“...” พวกเขามองสบกันครู่หนึ่ง ก่อนเ้าตัวจะเบ้ปากโคลงศีรษะ
“แต่ลืมไป พูดอะไรออกไปก็คงจะไม่ได้ยิน เพราะอาจื๊อเด็กดีไม่มีหู”
พลันเส้นความอดทนอันน้อยนิดขาดผึง จื๊อเดี๋ยวหน้าแดงก่ำ เดี๋ยวดำคล้ำ ความโมโหแล่นปรี๊ดขึ้นสมองจนทนไม่ไหว ต้องหันไปะโอัดหน้าอย่างเหลืออด กวนประสาทสินะ...กวนประสาทกันอยู่สินะ!!
“เลิกเรียกเราว่าอาจื๊อเด็กดีสักที นิสัยไม่ดี!!”
คนชั่ว จักรพรรดิคนเลวผสมชั่ว!!
เลิกเปลี่ยนชื่อให้เขาได้แล้ว!
คนหนึ่งหงุดหงิดจนแทบะเิ ในขณะที่ร่างสูงยิ้มกริ่ม ดวงตาวาววับ ทำท่าทางราวกับสาแก่ใจที่สามารถยั่วโมโหกันได้ในที่สุด เอ่ยพูดเสียงเนิบนาบ ทว่าเนื้อความและสีหน้ากลับยั่วโมโหเสียจนจื๊อคิ้วกระตุก อารมณ์ร้อนขึ้นหัวยิ่งกว่าเดิม
“อ้าว มีหูแล้วนี่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้