เพราะไม่รู้ว่าผู้มาเยือนเป็มิตรหรือศัตรู อูิโยวจึงยังไม่เผยตัว เมื่อคนเ่าั้เห็นหลินเจิ้งหมดสติอยู่บนพื้นก็รีบก้าวเข้าไปอุ้มเขาและจากไปทันที
อูิโยวรออยู่บนต้นไม้เป็เวลานาน เมื่อไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกจึงะโลงจากต้นไม้ เขาครุ่นคิดก่อนจะฉีกผ้าออกมาจากชุดผืนหนึ่ง จากนั้นก็นำมาปิดบังใบหน้าของตนไว้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับป่าอันกว้างใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี จากสิ่งที่อวิ๋นจวากล่าวเมื่อครู่ อีกฝ่ายน่าจะหลอกล่อพี่สาวของเขาและคนอื่นๆ ไปยังที่ใดสักแห่ง พวกเขาจึงถูกกักให้ติดอยู่ในนั้น หากอยากรู้ว่าคือที่ใดก็จำเป็ต้องทำให้อวิ๋นจวาปริปากออกมา จะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายยอมทำตาม
จู่ๆ เบื้องหน้าก็ปรากฏเงาของใครคนหนึ่ง อูิโยวรีบซ่อนตัวในความมืด ผู้มาเยือนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า แต่หน้ากากนั้นช่างคุ้นตายิ่งนัก คิดอยู่นานและในที่สุดก็นึกออกว่าเป็ใคร
เดิมทีจื่ออู่ตั้งใจมาตามหาคน แต่เมื่อมาถึงกลับไม่เห็นผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียวจึงตั้งใจจะเดินจากไป ทว่าได้ยินใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกจากด้านหลังเสียก่อน
“เ้าคือจื่ออู่จากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานใช่หรือไม่”
จื่ออู่หันกลับมา เพราะอีกฝ่ายปิดหน้าเอาไว้ ทำให้แยกไม่ออกว่าคนผู้นั้นเป็ใคร
“เ้าเป็ใคร มาจากตระกูลไหน เหตุใดจึงอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว”
อูิโยวไม่ได้ถอดผ้าคลุมออก “เ้าไม่จำเป็ต้องรู้ว่าข้าคือใคร เพียงอยากถามเ้าว่าบุตรสาวของคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานมาที่นี่หรือไม่”
“อวิ๋นลั่วหรือ”
เมื่อพูดถึงชื่อคนผู้นี้ น้ำเสียงของจื่ออู่ก็เปลี่ยนไป
“เ้ารู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูของตระกูลอวิ๋นอยู่ที่นี่ นางอยู่ที่ใด”
อูิโยวตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นี่เท่ากับว่าอวิ๋นลั่วยังไม่ได้เจอกับอีกฝ่ายอย่างนั้นหรือ แต่วันนั้นนางออกเดินทางมาก่อน รวมกับความล่าช้าระหว่างทางที่เขาพบเจออีก แล้วเหตุใดอวิ๋นลั่วจึงยังมาไม่ถึงที่นี่
“เริ่มแรกข้าร่วมเดินทางมาพร้อมกับคุณหนูตระกูลอวิ๋น แต่เพราะเกิดเื่ขึ้นระหว่างทางทำให้พวกเราต้องแยกกัน นางเดินทางล่วงหน้ามาก่อนข้า ตอนนี้ยังไม่ได้เจอกับเ้าอย่างนั้นหรือ”
จื่ออู่ส่ายหน้า ยังคงมีท่าทีระมัดระวังต่ออูิโยว “เ้ารู้ได้อย่างไรว่านางจะมาที่นี่เพื่อตามหาข้า”
อันที่จริงในตอนแรกอูิโยวก็ยังไม่รู้ เขาแค่เดาเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่อวิ๋นลั่วอยู่ในหุบเขาไป่หลิง คนตรงหน้าได้เดินทางไปหานาง ดูเหมือนทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนม นอกจากนี้นางยังเคยบอกว่า จะเดินทางมาที่นี่เพื่อตามหาคนรัก ดังนั้นคนที่อยู่เบื้องหน้านี้ต้องเป็คนในใจนางอย่างแน่นอน เขาไม่ได้รู้จักจื่ออู่ดีเท่าไร แต่หน้ากากบนใบหน้าอีกฝ่ายง่ายต่อการจดจำ และที่รู้ว่าคนตรงหน้ามีนามว่าจื่ออู่ก็เป็เพราะท่านพี่หญิงเคยบอกนั่นเอง
“นางเป็คนพูดเอง” อูิโยวยังไม่ยอมบอกความจริงกับอีกฝ่ายง่ายๆ
จื่ออู่เริ่มกังวลเกี่ยวกับอวิ๋นลั่ว ทำให้ค่อยๆ ลดท่าทีระแวดระวังที่มีต่ออูิโยวลง
“ตอนนี้นางอยู่ที่ใด”
อูิโยวแบมือทั้งสองข้าง “ข้าสิควรจะถาม นางมาที่นี่เพื่อตามหาเ้า พวกเ้ายังไม่พบกันแล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
จื่ออู่ประสานมือคำนับ “ในเมื่อไม่รู้เช่นนั้นก็ขอลา!”
“เดี๋ยวก่อน!” อูิโยวรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ “พี่จื่ออู่ เ้าช่วยบอกข้าสักเื่ได้หรือไม่”
“เื่ใดหรือ”
“ตอนนี้คุณหนูอูจากหุบเขาไป่หลิงอยู่ที่ใด”
จื่ออู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เ้าเป็ใครกันแน่ เหตุใดจึงถามเื่นี้”
อูิโยวได้แต่สาปส่งอยู่ในใจ ชายคนนี้ทำไมถึงได้จู้จี้เหมือนคนแก่นักนะ ในเมื่อเขาถามว่าพี่สาวอยู่ที่ใด อีกฝ่ายแค่ตอบมาตามตรงไม่ได้หรือ เหตุใดต้องมีท่าทีระแวดระวังเช่นนั้น
“แม้พวกเราจะไม่ได้เดินทางมาพร้อมกัน แต่ทุกคนล้วนมาจากดินแดนเจ๋อ ในสถานการณ์เช่นนี้เ้าคิดว่าข้าจะไปทำร้ายนางหรืออย่างไร หากข้าไม่ใช่คนดี แม่นางอวิ๋นลั่วจะยังมีโอกาสมาหาเ้าอีกหรือ ข้าคงส่งนางลงนรกไปนานแล้ว ข้าแค่อยากตามหาอูิหลิง บอกข้ามาว่านางอยู่ที่ใด”
จื่ออู่ตระหนักได้ว่าตนเองกังวลมากเกินไป แต่สุดท้ายก็ยังคงส่ายหัว “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาพวกเขา แต่...”
“พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่”
จื่ออู่เล่าสถานการณ์ของที่นี่ให้ฟังคร่าวๆ เมื่อสี่วันก่อนได้มีสัตว์ร้ายรุกรานแดนเจ๋อครั้งใหญ่ เดิมทีได้เตรียมพร้อมตั้งรับมาเป็อย่างดี ตอนที่คิดว่าการต้านทานสัตว์ร้ายเ่าั้เกือบจะสำเร็จ ในเสี้ยวนาทีสุดท้ายที่กำลังจัดการนั้น จู่ๆ ก็มีสัตว์ร้ายบุกเข้ามาอีกระลอกจากบริเวณชายป่าใต้พิภพ สัตว์ร้ายกลุ่มนี้บุกเข้ามาเจาะแนวป้องกันจากด้านข้าง ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกเปลี่ยนกะทันหันเช่นนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตจึงเพิ่มขึ้นอย่างอย่างรวดเร็ว
อูิหลิงนำกลุ่มหมอเข้าช่วยเหลือผู้าเ็ แต่กลับถูกสัตว์ร้ายเข้ารายล้อม จากนั้นหลิ่วไป๋เจ๋อจึงพาคนไปช่วย แต่ตอนนี้ยังไม่มีข่าวใดส่งกลับมา
“หลังจากเหตุการณ์สงบลง พวกเราก็ส่งคนเข้าไปค้นหา ทว่าไม่พบพวกเขา นอกจากศพของหมอสองสามคนก็ไม่มีร่องรอยของอูิหลิงและหลิ่วไป๋เจ๋อ การไม่พบศพถือเป็ข่าวดี อย่างน้อยก็สรุปได้ว่าทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่”
“ถุย!” อูิโยวถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยท่าทีดุดัน “หลิ่วไป๋เจ๋อเป็คนดวงแข็ง ไม่ตายง่ายๆ หรอก บอกข้ามาว่าพบเจอร่องรอยของพวกเขาที่ใด”
หลังจากรู้ตำแหน่งจากจื่ออู่แล้ว อูิโยวก็หันหลังเตรียมจากไป แต่อีกฝ่ายรั้งเขาไว้พร้อมเอ่ยถาม “เ้าจะไปเองคนเดียวหรือ”
“ทำไม เ้าอยากไปกับข้าหรือ”
จื่ออู่ลังเล อูิโยวรู้ว่าเวลานี้ในใจของอีกฝ่ายเป็กังวลเกี่ยวกับอวิ๋นลั่ว แต่เขาคงไม่อยากจะเปิดเผยเื่นี้ “ข้าคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียวสะดวกกว่า”
อูิโยวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานของเ้า้าทำสิ่งใด แต่ขอแนะนำว่าในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการยับยั้งการรุกรานของสัตว์ร้าย หากาในครั้งนี้ฝ่ายเราต้องฝ่ายแพ้ คฤหาสน์อวิ๋นหลานซานจะต้องโดดเดี่ยวในดินแดนเจ๋อเป็แน่”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร”
อูิโยวไม่ได้อธิบายให้มากความ “แค่ฟังไว้ก็พอ นอกจากนี้คุณชายรองของเ้าควรจะมีใครสักคนอบรมสั่งสอนให้มากกว่านี้ หากครั้งหน้าข้าพบเขาอีก ก็ไม่รับประกันว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
อูิโยวทิ้งจื่ออู่ที่แสดงสีหน้างุนงงไว้ด้านหลัง แล้วรีบหลบเข้าไปในป่าทึบ เมื่อครู่อีกฝ่ายได้บอกรายละเอียดที่เคยสังเกตเห็น ได้ความว่าอย่างช้าที่สุดใน่เฉินสือของวันรุ่งขึ้น กลุ่มสัตว์ร้ายจะบุกออกมาจากป่าใต้พิภพอีกระลอกหนึ่ง เขาจึงต้องหาร่องรอยของท่านพี่หญิงและหลิ่วไป๋เจ๋อให้พบก่อนเวลานั้น
ป่าใต้พิภพแห่งนี้ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงดาว ตลอดทั้งวันถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด
ระหว่างทางราวกับเป็นรก มีศพอยู่ทุกหนแห่ง ทุกที่เปื้อนไปด้วยเื อูิโยวระงับความรู้สึกในอก เลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ขวางทาง รู้ดีว่าการที่ตนเองอยู่คนเดียวในป่าผืนนี้ไม่ควรประมาท อีกทั้งยังมีเวลากระชั้นชิด เขาจำเป็ต้องตามหาพี่สาวกับหลิ่วไป๋เจ๋อให้พบก่อน
เมื่อเดินมาถึงยังจุดหมาย กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากกิ่งไม้และซากศพที่กระจัดกระจายอยู่ทุกหนแห่ง ความเงียบรอบกายช่างน่ากลัว อูิโยวรู้สึกราวกับว่ามีดวงตานับไม่ถ้วนกำจังจ้องมองจากในมุมมืด ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว เขารู้ว่าตนคิดไปเอง รอบกายเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้ร่วงสักใบก็ยังไม่มี
ที่นี่เละเทะเกินไปทำให้เขาไม่พบเบาะแสอื่น
ทำอย่างไรดี จิตใจของอูิโยวกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เขาไม่เคยกังวลเช่นนี้มาก่อน ในใจพยายามปลอบโยนให้ตนเองสงบสติอารมณ์ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วยกมือขึ้นมาตบหน้าผาก
“เหตุใดข้าถึงโง่เช่นนี้ ลืมเื่นั้นไปได้อย่างไรกัน”
มือขวาถูกยกขึ้น แสงสีเขียวปรากฏบนฝ่ามือ ก่อตัวแ่าจนกลายเป็แถบแสงหมุนวนไปรอบกาย ก่อนจะกระจายออกไปทุกทิศทาง ไม่นานอูิโยวก็ลืมตาขึ้นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“ทางนั้นนั่นเอง!” ิโยววิ่งตามเส้นแสงสีเขียวเส้นหนึ่งเข้าไปในป่าทึบ แถบแสงนี้ก็คือลำแสงสีเขียวที่ใช้ติดตามพลังิญญา หากเทียบกับตอนเก้าขวบที่ิโยวเคยใช้พลังนี้เพื่อติดตามกระต่ายหิมะละลาย ในยามนี้เขาใช้มันได้อย่างอิสระมากขึ้น เพียงแต่ว่าการทำเช่นนี้ต้องใช้พลังิญญาสูง แม้แต่อูิโยวก็ไม่อาจใช้นานจนเกินไปได้
ก่อนที่เส้นแสงนี้จะหายไป อูิโยวก็พบทางเข้าสู่หุบเขาอันมืดมิด
เขาเดาว่าท่านพี่หญิงและหลิ่วไป๋เจ๋อคงเข้าไปในนั้น จึงรุดเข้าไปในทันทีโดยไม่คิดไตร่ตรองใดๆ
ทางเข้าหุบเขาทั้งแคบและลึก กว้างเพียงหนึ่งคนเดินเข้าไปได้ ยิ่งเดินลึกเข้าไปทางจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ หน้าผาสองฝั่งค่อยๆ หายไป ปรากฏให้เห็นพื้นดินกว้าง
อูิโยวมองไปรอบกาย แม้ท้องฟ้าเหนือศีรษะยังคงมืดมิด แต่บรรยากาศบริเวณนี้กลับสดชื่นกว่านอกหุบเขามาก เขาเดินไปตามทางด้านหน้า ที่นี่มีถนน ดังนั้นต้องมีผู้คนเคยอยู่อาศัย ทว่าเดินมาจนสุดทางก็ยังไม่พบเบาะแสใด เบื้องหน้าไร้ซึ่งถนนแล้ว มีเพียงป่าทึบที่ไม่อาจรู้ได้ว่าลึกเข้าไปเพียงใด
อูิโยวเริ่มสงสัยว่าท่านพี่หญิงและคนอื่นๆ จะเข้ามาในหุบเขานี้จริงหรือ
ในตอนที่กำลังจะหันหลังเดินกลับ ก็พบว่าไม่ไกลจากตรงนี้มีเศษผ้าสีขาวตกอยู่ท่ามกลางหญ้าหนาม ทั้งยังมีคราบเืเปรอะเปื้อน
“นี่มันชุดของหลิ่วไป๋เจ๋อ…” อูิโยวจำได้ทันที เศษผ้านี้มีกลิ่นอายอันเป็เอกลักษณ์ของหลิ่วไป๋เจ๋อ แม้จะถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอันรุนแรงของเืก็ตาม แต่เขาซึ่งสนิทสนมกับอีกฝ่ายสามารถระบุได้ในทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ยดินเผาดังมาจากส่วนลึกของป่า อูิโยวรีบวิ่งตรงไปทางนั้นโดยไม่ลังเล
เสียงขลุ่ยดินเผาดังขึ้นและหยุดลง เพียงฟังก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอันแ่เบาราวกำลังจะสิ้นใจ ในอกของอูิโยวร้อนรน หลิ่วไป๋เจ๋อคงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วเป็แน่
ในที่สุดก็มองเห็นร่างที่สวมชุดขาวอันคุ้นเคย ชายผู้นั้นยืนอยู่คนเดียวใต้ต้นหลิวเขียวขจี แม้ลำตัวจะตั้งตรง แต่อูิโยวก็เห็นได้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายใกล้จะพังทลายเต็มที
มีซากศพของสัตว์ร้ายมากมายกองอยู่แทบเท้า แต่ก็ยังมีอีกเป็โขยงที่รายล้อมเขาเอาไว้ ภาพนี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก
อูิโยววิ่งไปหาหลิ่วไป๋เจ๋อด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ฝ่ายนั้นยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มสัตว์ร้าย ใบหน้าซีดเซียวแต่สงบนิ่ง ราวกับไม่สนใจว่าตนเองกำลังจะเป็หรือตาย
ขลุ่ยดินเผายังคงถูกบรรเลงอย่างต่อเนื่อง เสียงที่เปล่งออกมาทำให้สัตว์ร้ายบางตัวสูญเสียความสามารถในการแยกแยะมิตรหรือศัตรูจนเริ่มกัดพวกเดียวกันที่อยู่ด้านข้าง แต่นั่นก็เป็เพียงส่วนน้อย สัตว์ร้ายส่วนใหญ่ยังคงเผชิญหน้ากับหลิ่วไป๋เจ๋อ น้ำลายไหลเยิ้ม กระตือรือร้นที่จะโจมตีเขา
ตอนนั้นเองก็มีตัวหนึ่งอ้อมไปด้านหลังเพื่อจะโจมตีหลิ่วไป๋เจ๋อ แต่เขาสังเกตเห็นก่อนจึงพุ่งเข็มเงินใส่สัตว์ร้ายจนล้มลง เพราะเหตุนี้ทำให้เสียงขลุ่ยดินเผาหยุดชะงัก เหล่าสัตว์ร้ายที่ได้สติรีบโถมเข้าหาหลิ่วไป๋เจ๋อทันที!
ท่วงทำนองที่หยุดลงกะทันหันทำให้ร่างกายของหลิ่วไป๋เจ๋อถูกจู่โจม ความเ็ปบริเวณทรวงอกนั้นยากจะทนไหว ก้อนเืพลันพุ่งออกจากปาก อูิโยวที่กำลังวิ่งเข้ามาก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ความโกรธแค้นพลันปะทุขึ้น
“พวกเ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายเขา...ตายเสียเถอะ!”
——————————————
