ตอนที่6 เื่ที่ไม่ควรพูด
สิบปี… ในโลกภายนอก อาจเป็เพียงกะพริบตาในรอบชีวิตของผู้ฝึกตน แต่ใน ป่ารัตติกาลนิรันดร์—สิบปีนั้นคือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
จากเด็กชายตัวเล็กที่ร้องไห้ทุกครั้งเมื่อถูกวางลง วันนี้ เขากลับยืนอยู่กลางลานฝึกเพียงลำพัง เส้นผมสีเงินยาวถึงกลางหลัง ดวงตาเรียบนิ่งที่ไม่หวาดกลัวแม้แต่วานรอัสนีในร่างสมบูรณ์ …และในมือนั้น กำลังบีบลูกสายฟ้าขนาดเท่าหัวเด็กเล่นอยู่เงียบ ๆ
“เขาไม่ร้องเวลาโดนฟ้าผ่าแล้วงั้นหรือ…” วานรอัสนีบ่นพึมพำข้าง ๆ ก่อนจะขยับหางอย่างหงุดหงิด “เมื่อก่อนยังช็อกตัวแข็ง พอสงบไปข้าต้องปลุกแทบตาย!”
เต่าาที่นั่งอยู่ไม่ไกล ส่ายหัวช้า ๆ “เ้าก็ยังโยนสายฟ้าใส่เขาไม่เลิก…” “ถ้าราชินีรู้ว่าเ้าเผลอโยนฟ้าผ่าใส่หน้าเด็กตอนหลับอีก ข้าว่าจะไม่มีใครได้สอนอะไรอีกแล้ว แม้แต่ลมหายใจก็อาจจะไม่มีอีกต่อไป!”
“ฮึ่ย ก็เด็กมันไม่กลัวอะไรเลยนี่หว่า!” วานรอัสนีสบถ “ข้าแค่…อยากให้เขาใบ้าง จะได้หัวเราะ!”
—
สิบปีที่ผ่านมา ไป๋เฉินไม่เคยหลุดพ้นจากการฝึกแม้แต่วันเดียว ราชันย์อสูรทั้งแปดผลัดกันดูแล ฝึกฝน และสอดแทรกความรู้หลากแขนงลงไป เขาเรียนรู้ได้รวดเร็วจนน่าหวั่นใจ ทั้งการเคลื่อนไหว การควบคุมปราณอสูร การหลอมสมุนไพร และแม้แต่การลบกลิ่นอายจากศัตรูด้วยเวลาเพียงครึ่งลมหายใจ
แต่เขาไม่เคยโอ้อวด ไม่เคยถามหาอาวุธ ไม่เคยพูดเื่ออกนอกป่า…
จนกระทั่งในเช้าวันหนึ่งของปีที่สิบ เด็กหนุ่มวัยสิบสี่…ลืมตาขึ้นจากสมาธิ และหันไปมองยอดเขาไกลโพ้นนอกเขตแดน
ซือเหยียน…ที่ยืนอยู่เงียบ ๆ บนยอดผา หันกลับมามองเขาเพียงครู่เดียว
ตลอดสิบปีที่ผ่านมา
ซือเหยียนไม่เคยสอนเขาแม้แต่กระบวนท่าเดียว
นางไม่เคยอธิบายว่าป่านี้คืออะไร
ไม่เคยเล่าเื่ตนเอง ไม่เคยพูดถึงโลกภายนอก
แต่ทุกเช้า…นางมักจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างเขา
เพียงแค่นั่งเงียบ ๆ
ไม่ถาม ไม่แทรก ไม่แม้แต่เอ่ยคำชม
และแม้เงาร่างจะไร้ถ้อยคำ
แต่ไป๋เฉินรู้ดี—ว่านั่นคือการเฝ้าดู
.
เช้านี้ก็เช่นกัน
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินเรียบ
นิ่งเงียบจนแมลงป่ามาเกาะไหล่
เขาเงยหน้าขึ้น—สบตากับผู้ที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้
“ท่านแม่…”
“อืม” ซือเหยียนรับคำเบา ๆ ดวงตานิ่งเฉย
ไป๋เฉินเว้นจังหวะ เงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะถามคำถามที่ไม่เคยถามมาก่อน
“ข้าไม่มีพ่อหรือ?”
คำถามนั้นลอยอยู่ในอากาศ
เบา…แต่แหลมคมยิ่งกว่าปราณอสูรใด
ซือเหยียนนิ่งไปเล็กน้อย
นางขยับสายตาลงช้า ๆ มองเด็กหนุ่มที่ตอนนี้สูงเกือบถึงบ่าของตน
ริมฝีปากขยับ...แล้วหยุด
เหมือนกำลังหาคำที่จะพูดออกมาอย่างระมัดระวัง
“เ้ามีข้า”
เพียงเท่านั้น
ไป๋เฉินกะพริบตา
ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
เพียงแต่เงียบลงกว่าเดิม
“แล้วข้ามาจากไหน”
ซือเหยียนหลุบตา
“…จากข้าเช่นกัน”
“ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์อื่นเลย”
“อย่าอยากเห็น”
“ทำไม?”
“เพราะพวกนั้น...น่ารำคาญ”
“…เช่นนั้นข้าเป็อสูร?”
“ไม่ใช่” ซือเหยียนตอบทันที
ไป๋เฉินขมวดคิ้วน้อย ๆ
“แล้วข้าเป็อะไร?”
ซือเหยียนเงียบอยู่อีกพักหนึ่ง
ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเดิม—เรียบ เย็น และแน่นอน
“เป็ ‘เ้า’ ก็พอ”
.
เด็กหนุ่มไม่ถามต่อ
เขาพยักหน้าช้า ๆ เหมือนยอมรับคำตอบนั้นโดยไม่ขัดแย้ง
ก่อนจะนั่งลงอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ
ซือเหยียนยังยืนอยู่ตรงเดิม
ไม่พูดอะไรต่ออีกเลย
มีเพียงสายลมเย็นที่พัดผ่านกลีบดอกไม้ร่วงหล่น
ท่ามกลางความเงียบที่ยาวนาน…
ราวกับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
หลังจบการฝึกในเช้าวันนั้น
ไป๋เฉินไม่ได้ลุกออกจากลานฝึกทันที
แต่กลับนั่งนิ่งอยู่ตรงเดิม สายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่งที่ไม่มีใครมองเห็น
ราชันย์อสูรทั้งแปดบางตนยังอยู่ บ้างนั่ง บ้างนอน
แต่ทุกตนลอบสังเกตเขาเงียบ ๆ
กระทั่งวานรอัสนีเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“มีอะไรในใจหรือ นายน้อย?”
ไป๋เฉินหันกลับมาช้า ๆ
ดวงตาสีเทาเย็นนั้นยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย
แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกกลับไม่ใช่คำตอบธรรมดา
“…ข้าอยากออกไปนอกป่า”
เสียงเงียบลงทันที
แม้แต่ลมก็หยุดพัด
เต่าาขยับเปลือกตาช้า ๆ
“เ้าว่าอะไรนะ?”
“ข้าอยากออกไปดูโลกภายนอก” ไป๋เฉินพูดอีกครั้ง น้ำเสียงไม่ดัง แต่หนักแน่น
“เพราะเหตุใด?” กิเลนถามทันที
ดวงตาแหลมคมจับจ้องใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่วางตา
“…ข้าเรียนรู้เื่ราวมามาก”
ไป๋เฉินตอบ “พวกท่านบอกข้าว่า โลกกว้างใหญ่กว่าป่าแห่งนี้หลายเท่า มีทวีป มีผู้ฝึกตน มีเผ่าพันธุ์หลากหลาย และมีอันตรายที่ข้าไม่เคยเห็น…”
เขาเงียบไปชั่วครู่
“…แต่ทุกวันข้ากลับเดินวนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดิม ฝึกกับพลังแบบเดิม”
ราชันย์ทุกตนมองสบกันเงียบ ๆ
“เ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าภายนอกไม่ใช่แดนที่อ่อนโยนเหมือนที่นี่”
วิหคะกล่าวเสียงนุ่ม
“แม้แต่ท้องฟ้ายังไม่ใช่ของเ้าอีกต่อไป”
ไป๋เฉินพยักหน้า
“ข้ารู้…แต่มิใช่ท่านทั้งหลายที่สอนข้าเองหรือ ว่าไม่มีการเรียนรู้ใด…เหนือกว่าการเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง”
คำพูดนั้นทำให้ราชันย์เงียบไปอีกระลอก
“เ้ารู้หรือไม่ ว่าการขอออกจากป่า…คือการขอให้ราชินีอสูรปล่อยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของนางออกไป”
คำพูดนั้นมาจากวิหคะ
มันไม่ได้ถามเพื่อข่มขู่ แต่นั่นคือความจริง
ไป๋เฉินสบตาเขาตรง ๆ
“หากไม่สำคัญ…ข้าคงไม่ขอให้พวกท่านช่วย”
ราชันย์แต่ละตนสบตากันเงียบ ๆ
น้ำหนักของคำขอไม่ใช่เื่เล่น
พวกมันอยู่ใต้ร่มเงาของราชินีอสูรผู้หนึ่งมานับพันปี…และไม่มีใครอยากเอ่ยคำคัดค้านกับนาง หากไม่จำเป็จริง ๆ
วานรอัสนีหันมามองคนอื่น
“ถ้าจะพูดก็ต้องพูดพร้อมกัน ข้าจะไม่ยอมโดนฆ่าคนเดียวแน่”
จิ้งจอกหัวเราะเบา ๆ
“ถ้าเ้ากลัว ก็อยู่ข้างหลังเถอะ ข้าจะยืนข้างหน้า”
“เ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำเพื่อนายน้อยหรือ!” วานรตอบทันควัน
“พวกเ้าอย่าทำให้เป็เื่ตลก”
ัเพลิงทมิฬเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“แต่ข้าเห็นด้วย…อย่างน้อย ก็ควรได้ลองพูด แม้ว่านางจะอนุญาติหรือไม่ก็ตาม”
เต่าาถอนหายใจยาว
“เช่นนั้น...ไปกันเถอะ”
ราชันย์อสูรทั้งแปดค่อย ๆ ก้าวออกจากลานฝึก
แต่ก่อนที่พวกมันจะเดินพ้นเขตต้นไม้
ไป๋เฉินก็ก้าวตามมา
เขาไม่ได้พูดอะไร
เพียงแค่ยืนอยู่ข้างหลังพวกมันเงียบ ๆ
แต่ในสายตาของอสูรทั้งแปด…การก้าวเพียงก้าวนั้น กลับดังกึกก้องยิ่งกว่าคำพูดใด
ไม่มีใครห้าม
ไม่มีใครเอ่ยคัดค้าน
เพราะทุกตนรู้ดี—
ถ้าเป็คำขอของเขา เขาย่อมต้องเผชิญหน้าด้วยตัวเอง
.
.
.
.
ยอดเขาที่สูงที่สุดในป่ารัตติกาลนิรันดร์
คือสถานที่ต้องห้าม—ไม่ใช่เพราะอันตราย แต่เพราะเป็เขตที่อสูรทุกตน “ไม่กล้าเหยียบ”
และที่นั่น…คือที่อยู่ของซือเหยียน
ราชันย์อสูรทั้งแปด ยืนเรียงกันอยู่เบื้องหน้า
ไม่มีใครกล้าก้าวล้ำขอบเขตเส้นนั้น
ไป๋เฉินยืนอยู่ตรงกลาง เงียบขรึม ท่ามกลางหมอกบางที่รายล้อมเขาไว้ราวกับอ้อมกอดที่มองไม่เห็น
ไม่มีเสียง ไม่มีคำพูด มีเพียง “ร่างหนึ่ง” ที่นั่งอยู่บนก้อนศิลากลางลาน
เส้นผมขาวปลิวไหวเบา ๆ ตามแรงลม
เสื้อคลุมสีดำสนิทแนบลู่ไปตามเรือนร่างบาง
ไม่มีแม้แต่การหันกลับมามอง…แต่นั่นก็เพียงพอแล้วให้ทุกตนรู้—นาง “รับรู้” การมาของพวกมัน
วิหคะเป็ฝ่ายเอ่ยก่อน
เสียงของมันนิ่ง เยือกเย็น แต่เต็มไปด้วยความเคารพ
“องค์ราชินี…นายน้อย มีคำขอ”
เสียงของมันหายไปในลมหายใจเดียว
ไป๋เฉินจึงเป็ฝ่ายก้าวออกจากแนวของเหล่าราชันย์
เงาของเขาทาบลงบนลานศิลา ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากซือเหยียนเพียงไม่กี่ก้าว
“…ข้าอยากออกจากป่านี้”
คำพูดนั้นเรียบง่าย ไม่มีพิธี ไม่มีเสียงสะท้อน
แต่กลับดังก้องอยู่ในใจของทุกตนที่ยืนอยู่เื้ั
เงาร่างบนศิลาเงียบไปนาน นานเสียจนแม้แต่วานรอัสนียังรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวเริ่มหนักขึ้น
สุดท้าย… ซือเหยียนก็ขยับศีรษะเล็กน้อย
นางเอ่ยเพียงคำเดียว—เสียงนั้นเบา…แต่เ็าเสียยิ่งกว่าสายลมยามรัตติกาล
“ไม่”
คำเดียวที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากของนาง
แต่กลับหนักแน่นเสียยิ่งกว่าภูผาหมื่นชั้น
และมากพอจะทำให้ราชันย์อสูรทั้งแปดนิ่งงัน
วานรอัสนีเป็ผู้แรกที่ทนเงียบไม่ไหว
“แต่ท่านแม่!—เอ่อ…ข้าหมายถึงราชินี!” มันรีบแก้เสียงสั่น
“นายน้อยเติบโตแล้วจริง ๆ พลังของเขาเกินกว่าเด็กอายุสิบสี่ไปไกล! ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้เห็นโลกภายนอกบ้าง…”
“โลกภายนอก” ซือเหยียนทวนคำเบา ๆ ดวงตาสีอำพันกวาดมองไปยังอสูรทั้งแปด
“พวกเ้า...แน่ใจแล้วหรือว่าโลกนั้น เหมาะให้เขาเห็น?”
กิเลนโลกันตร์ขยับตัวขึ้นหนึ่งก้าว
“อย่างน้อยก็ให้เขาเรียนรู้ว่า โลกไม่ได้มีเพียงป่ารัตติกาล”
“นั่นไม่ใช่โลก”
เสียงตอบกลับของซือเหยียนราบเรียบ
“มันคือหุบเหวแห่งความโลภ การหักหลัง และการชิงอำนาจที่ไร้จริยธรรม…”
“แต่—” วิหคะเอ่ยขึ้นบ้าง “เขาจะต้องพบมันอยู่ดีในวันหนึ่งมิใช่หรือ?”
ซือเหยียนนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ
ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น
“ยิ่งพบช้ายิ่งดี”
ราชสีห์วายุส่ายหัวเบา ๆ
“แต่นายน้อยไม่เหมือนเด็กทั่วไป ท่านเองก็รู้…”
จิ้งจอกเก้าหางยิ้มบาง
“เขาไม่เคยร้องไห้...ไม่เคยโวยวาย แม้ถูกทดสอบอย่างหนัก เขาเพียงยืนขึ้นเงียบ ๆ แล้วฝึกต่อ—เด็กเช่นนี้ไม่ควรโดนกักไว้แต่ในป่า”
“ข้าไม่ได้กักขังเขา” ซือเหยียนกล่าวช้า ๆ
“ข้า…เพียง้าปกป้องเขา”
เสียงนั้นเบาลงแต่หนักแน่น
พยัคฆ์ครามสบตานางตรง ๆ
“แม้เขาจะอยากออกไปด้วยตัวเอง?”
ซือเหยียนนิ่งอีกครั้ง
ครั้งนี้นานกว่าทุกครั้งก่อนหน้า
ไป๋เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังราชันย์ ยังคงนิ่งเงียบเช่นกัน
แต่ในแววตานั้นมีเพียงภาพของผู้เป็แม่สะท้อนอยู่
ซือเหยียนปรายตามองลูกชายของตน
แล้วกล่าวเสียงเรียบ
“เด็กคนนั้น…ยังไม่พร้อม”
“ยังไม่พร้อม…”
ซือเหยียนทวนถ้อยคำนั้นอีกครั้งในใจ
เหมือนเป็คำตอบทั้งต่อตัวเองและทุกสิ่งรอบกาย
“แล้วเมื่อใดที่เขาจะพร้อม?” เสียงของวิหคอมตาดังขึ้น
“อีกสิบปี? อีกห้าร้อยปี? หรือเมื่อทุกสิ่งสายเกินไป?”
“ไม่มีสิ่งใดต้องรีบเร่ง” ซือเหยียนกล่าว
“ที่นี่…คือที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องออกไป”
“ไม่มีเหตุผล?” กิเลนโลกันตร์พูดขึ้น
“แต่เขาเกิดมาพร้อมเหตุผลมิใช่หรือ?”
คำถามนั้น...ทำให้อากาศนิ่งลง
ราชันย์ทั้งแปดเงียบงัน ไป๋เฉินก็เงียบ
ซือเหยียนเบือนหน้าหนี ไม่ตอบคำใด
“หากต้องให้รู้ว่าโลกนี้เป็เช่นไร”
วิหคอมตาพูดช้า ๆ
“ต้องให้เขาเห็นความโสมมของมันด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่ฟังใครเล่า”
เต่าาที่เงียบมานานเอ่ยเสียงหนักแน่น
“ท่านสร้างเขาขึ้นมา มิใช่หรือ? เพื่อสืบเจตจำนง…เพื่อทำในสิ่งที่ท่านไม่อาจทำให้สำเร็จ”
“พอ” ซือเหยียนพูดเสียงต่ำ
แต่แล้ว—เสียงหนึ่งกลับแทรกขึ้นในวินาทีนั้น
“หรือท่านลืมไปแล้ว…”
เป็วานรอัสนีที่เอ่ยขึ้นพลางยกแขนขึ้นกอดอก
“ว่าท่านสร้างเขามาเพื่อ ทำลาย์ ไม่ใช่หรือ?”
ทันใดนั้น…
เงามืดมหาศาลแผ่พุ่งออกจากร่างซือเหยียนโดยไร้สัญญาณ
ทุกราชันย์อสูรชะงักทันที
แม้ไม่ได้จู่โจม
แม้ไม่มีการเคลื่อนไหว
แต่เพียงจิตสังหารที่แผ่ผ่านจากแววตาคู่นั้น—ก็ทำให้แม้แต่วานรอัสนีสะอึก
พยัคฆ์ครามที่ยืนใกล้ที่สุดยังต้องถอยหลังครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้