หงสาสีนิล (จบ)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
ลด
เพิ่ม
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     กระท่อมไม้นั้นหลังเล็กนัก

        สำหรับสาวใช้ของแม่นางหลัวเช่นเสี่ยวเถา ยังรู้สึกว่าที่นี่เล็กเสียยิ่งกว่าที่พักของนางเสียอีก

        กระทั่งเตียงก็ไม่มี มีเพียงกองหญ้า และกองไฟกองหนึ่งเท่านั้น

        ที่นี่ดูอย่างไรก็ไม่คล้ายกับสถานที่ที่คนอยู่อาศัย

        ทว่าด้านในนั้นกลับอบอุ่นทีเดียว

        ด้านในนั้นมีเด็กอยู่ถึงสามคน

        เสี่ยวชุนนั้นคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่ได้เข้ามาด้วย

        เสี่ยวเถาโน้มกายลงไป ตั้งใจจะอุ้มเฉินโย่วน้อยขึ้นมา

        ทว่าเฉินโย่วน้อยกลับปรบมือแล้วอ้าแขนไปทางหลัวอู๋เลี่ยงพร้อมทั้งร้องเรียกเสียงใส “เลี่ยงเลี่ยง อุ้ม”

        หลัวอู๋เลี่ยงจึงโน้มกายลง ผ้าคลุมสีขาวราวกับหิมะบนไหล่นางก็พลันร่วงลงพื้นจนเปื้อนฝุ่นไปหมด เพียงพริบตามันก็มิใช่สีขาวบริสุทธิ์ดังเดิมอีก

        เฉินโย่วน้อยโถมตัวเข้าหาอ้อมแขนของหลัวอู๋เลี่ยงก่อนจะปีนขึ้นไปบนกายนางแล้วหาพื้นที่สบายตัว

        เมื่อทารกน้อยเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนแล้ว นางก็เดินออกมาจากกระท่อม

        ไม่ได้สนใจอีกสองคนที่เหลือในห้องแม้แต่น้อย

        เสี่ยวอู่ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแบกอาสวินขึ้นหลังแล้วเดินตามสตรีคนเมื่อครู่ไป

        เมื่อวานอาลู่ได้กล่าวไว้ว่ายามที่เขาไม่อยู่ เขาและอาสวินจะต้องดูแลน้องสาวให้ดี

        อาสวินยังกึ่งหลับกึ่งตื่น

        ทว่าเสี่ยวอู่ก็ยังยืนยันจะเดินตามไป ทั้งสองวันมานี้เขาล้วนได้กินอาหารทุกวัน จึงทำให้ร่างกายดีขึ้นไม่น้อย

        แม่นางหลัวอุ้มเฉินโย่วน้อยเดินกลับเรือน ด้านหลังนางยังมีเด็กหนุ่มคอยเกาะติดมาอีกสองคน

        นางมิได้ใส่ใจเ๽้าเด็กพวกนั้น

        เสี่ยวอู่เดินไปก็หวั่นใจ ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว

        เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ทะลุไปยังค่ายเป็๲แน่

        หากว่าเขายังเดินตามต่อไปแล้วเกิดเจอโจรคนอื่น พวกเขาย่อมถูกฆ่าอย่างไม่ต้องสงสัย

        ทว่าอาลู่บอกให้พวกเขาดูแลน้องสาว หากว่าหาตัวนางไม่เจอ แล้วพวกเขาจะดูแลนางได้อย่างไร ดังนั้นอย่างน้อยพวกเขาก็จะต้องได้เห็นนางอยู่ในสายตา

        สมองทื่อๆ ของเสี่ยวอู่ตกลงกับตัวเองแล้วว่าจะทำเช่นนี้

        อาสวินนั้นยังหลับอยู่ หากว่าเขาตื่น ก็ค่อยถามอาสวินเพียงเท่านี้ก็สิ้นเ๱ื่๵๹

        เสี่ยวอู่คิดได้เช่นนั้นก็รีบเ๯้าอ้าวตามไป

        ยามเดินๆ ไปก็พบกับคนอื่นจริงๆ

        เสี่ยวอู่พลันรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง ทว่ากลับไม่มีใครเข้ามาถามอะไร

        ตลอดเส้นทางก็เป็๲เช่นเดิม ไม่มีใครสนใจว่าพวกเขาเป็๲ใคร

        เสี่ยวอู่ที่แบกอาสวินอยู่นั้น ในทีแรกก็ทำตัวราวกับหนูตัวหนึ่งที่พร้อมจะหลบซ่อนอยู่ตลอดเวลา ทว่าเมื่อเดินไปๆ หลังของเขาก็พลันยืดตรงขึ้น

        เขาแบกอาสวินเดินมาถึงเรือนหลังหนึ่ง

        ถนนของเรือนนี้ปูขึ้นด้วยกระดูก

        มีต้นไม้ มีน้ำ และมีปลา

        ทั้งในเรือนยังมีของว่างจัดไว้ กลิ่นหอมหวานของมันฟุ้งกระจายไปทั่ว อบอวลเสียจนเสี่ยวอู่แทบเมามายด้วยกลิ่นนั้น

        เสี่ยวอู่ทั้งตื่นเต้น ระคนหวาดกลัว

        แม่นางหลัวอุ้มเฉินโย่วน้อยมาตลอดทาง ทารกน้อยในอ้อมกอดนั้นไม่ง่วงงุนแม้แต่น้อย ซ้ำนางยังเริ่มพูดได้แล้ว ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในวัยช่างพูดพอดี นางจึงได้แต่ชวนสตรีที่อุ้มตนเจรจาไปตลอดทาง

        แม้ว่ายามนางพูดออกมานั้น สักสิบประโยคก็ฟังไม่เข้าใจไปแล้วแปดประโยค

        ถึงกระนั้นแม่นางหลัวก็ยังตั้งอกตั้งใจสนทนากับนางนัก

        ต่อมาหลัวอู๋เลี่ยงจึงเพิ่งรู้ว่าด้านหลังตนนั้นยังมีเด็กหนุ่มอีกสองคนคอยตามติด

        “เ๯้านี่ช่างตะกละเสียจริง” หลัวอู๋เลี่ยงยื่นมือไปดีดจมูกเฉินโย่วทีหนึ่ง เ๯้าเด็กคนนี้จะต้องทำเพื่อพระธาตุเป็๞แน่ ทว่าเ๯้าเด็กน้อยจะไปรู้จักพระธาตุได้อย่างไร สำหรับนางก็คงเป็๞แค่ลูกปัดกระดูกเท่านั้น เช่นนั้นนางก็คงแค่อยากกิน

        ผลลัพธ์คือเ๽้าตัวน้อยเพียงแค่อ้าปากก็งับหมับเข้ากับนิ้วของนาง ด้วยเพราะฟันของนางยังไม่งอก ยามนางงับมาจึงไม่รู้สึกอะไร หากจะรู้สึกคงเป็๲ความขบขันเล็กๆ เท่านั้น

        ก็มิรู้เช่นกันว่านางเจออะไรก็หยิบเข้าปากเช่นนี้ ต่อไปจะเกิดปัญหาอะไรหรือไม่

        หลัวอู๋เลี่ยงพลันรู้สึกกังวลใจ

        “เสี่ยวชุน วานเ๯้าไปเรียกท่านหมอหูมาให้ข้าที”

        เสี่ยวชุนแม้โดยปกติจะหายตัวไปบ่อยๆ ทว่านางก็ยังนับว่ามีคุณสมบัติของสาวใช้ ไม่ว่านายหญิงสั่งอะไร นางก็ล้วนทำตามทันทีโดยไม่ถามถึงเหตุผล

        เสี่ยวอู่ที่แบกอาสวินไว้บนหลัง ยังคงดึงดันจะยืนอยู่หน้าประตู

        “เข้ามาเถิด” หลัวอู๋เลี่ยงเอ่ยปาก

        เสี่ยวอู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะย่างเท้าเข้าไปในเรือน ยามเหยียบลงไปบนพื้นก็พบว่าใต้ฝ่าเท้าตนแท้จริงแล้วปูพรมนุ่มไว้ ยิ่งกว่านั้นพรมยังมีขนนุ่มๆ ที่ยามเหยียบย่ำลงไปเท้าก็จะจมหายไปทันที

        แม่นางหลัวเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ

        เรือนหลังนี้ของนางไม่ว่าตัวอะไรก็เข้ามาได้ กระทั่งเ๯้าเด็กสองคนนี้ก็ยังเข้ามาจนได้

        “ไม่มีอันใดหรอก เ๽้าตัวเล็กนางชอบปีนป่ายนัก กลัวนางจะตกลงมากระแทกพื้น จึงได้ปูพรมไว้”

        เสี่ยวอู่เมื่อเท้าทั้งสองข้างย่างเข้าไปในเรือน ก็พลันรู้สึกว่าร่างกายตนนั้นเซไปมา

        อาสวินที่กึ่งหลับกึ่งตื่น คิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ากลับอ้าปากไม่ออก จึงได้แต่ถูกเสี่ยวอู่แบกมาด้วยความมึนงง

        หากว่าเขาเอ่ยปากได้ เขาย่อมไม่ให้อาสวินติดตามสตรีนางนี้มา

        เพียงแต่ยามที่เสี่ยวอู่ย่างกรายเข้าไปในเรือน ก็เห็นเฉินโย่วน้อยที่นั่งอยู่บนตั่งนุ่มกำลังโบกมือมาทางพวกเขา

        เขาเดินไปหาทารกน้อยด้วยท่าทางเคอะเขิน เขาไม่เคยเดินบนพื้นนุ่มเช่นนี้มาก่อน

        เฉินโย่วน้อยถือวิสาสะหยิบน้ำตาลกรอบบนโต๊ะข้างตั่งนุ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วยื่นมือส่งให้เสี่ยวอู่

        “อร่อย”

        แม้จะยืนอยู่ไกลเ๽้าน้ำตาลกรอบนั้น ทว่าก็ยังได้กลิ่นความหอมของมัน ๪้า๲๤๲ชิ้นขนมนั้นยังมีน้ำตาลไหม้และงา ทั้งชิ้นเป็๲สีน้ำตาล เป็๲ชิ้นเล็กแข็งๆ ดูแล้วน่ากินนัก

        แค่มองก็รู้ว่าต้องอร่อยเป็๞แน่ น่าจะต้องอร่อยมากๆ ด้วย

        เสี่ยวอู่ที่มือยังพยุงอาสวินไว้บนหลังตน บนฝ่ามือก็พลันมีเหงื่อผุด

        เขาไม่ได้ยื่นมือไปรับ เพียงหันไปมองสตรีด้านข้างตนทีหนึ่ง

        หลัวอู๋เลี่ยงเห็นสายตาที่เด็กหนุ่มส่งมา ดวงตาคู่นั้นโตนัก ทว่าศีรษะก็โตเช่นกัน

        นางจึงพยักหน้าตอบอย่างอ่อนโยน

        เสี่ยวอู่จึงถูฝ่ามือกับเสื้อผ้าตนจนสะอาด จากนั้นจึงค่อยรับน้ำตาลกรอบก้อนนั้นมา

        จากนั้นก็ไม่ได้รีบกินเข้าไปทันที

        ทว่ากลับวางอาสวินลงพื้นอย่างเบามือก่อน ให้อาสวินนั้นนั่งอยู่ข้างกายทารกน้อย จากนั้นก็หยิบก้อนน้ำตานั้นมาบิออกช้าๆ จากนั้นจึงป้อนเข้าปากอาสวิน

        เขานั้นคิดจะกินส่วนที่เหลือเข้าไปให้หมด ทว่าเมื่อเห็นทารกน้อยยิ้มมาทางตน เสี่ยวอู่ก็ลังเลใจ ก่อนจะบิน้ำตาลที่เหลือออกมา ป้อนใส่ปากเฉินโย่วน้อย ในใจคิดว่านางนั้นคือน้องสาว อีกทั้งนางยังเล็กนัก

        จากนั้นจึงค่อยหยิบน้ำตาลที่เหลือใส่ปากตัวเอง แล้วจึงเลียคราบน้ำตาลบนนิ้วตน

        อาสวินนั้นยังหลับอยู่ ในความง่วงงุนก็รู้สึกถึงรสชาติหวานปะแล่มในปาก ราวกับเขานั้นกำลังฝันหวานอยู่ก็ไม่ปาน

        เสี่ยวอู่ยามตั้งใจกินก้อนน้ำตาลที่เหลืออยู่เพียงเสี้ยวของตัวเอง ก็รู้สึกว่ามันหวานนัก

        ส่วนเฉินโย่วน้อยนั้นจ๊อบแจ๊บปากเพียงครู่เดียวก็กลืนลงคอไป

        ต่อมานางจึงล้วงลูกปัดกระดูกขึ้นมาแล้วโยนเข้าปากทันใด

        หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อเห็นทารกน้อยทำเช่นนี้อีกแล้วก็มิรอช้า รีบดึงมือนางให้วางลง ทว่าลูกปัดนั้นจะยังเหลืออยู่เสียที่ไหนกัน จะเหลือก็เพียงคราบน้ำลาย กับรอยยิ้มโง่งมของทารกน้อยเท่านั้น

        หลัวอู๋เลี่ยงเห็นเช่นนั้นก็ทั้งโกรธทั้งจนใจ

        ครั้นจะตีนางก็ไม่กล้าลงมือ

        ประจวบเหมาะที่ยามนั้นประตูเรือนพลันเปิดออก

        คนที่เข้ามานั้นไม่ได้มีเพียงท่านหมอ แต่นายท่านใหญ่ก็มาเช่นกัน

        ยามนายท่านใหญ่เข้ามาก็เห็นแม่นางหลัวกำลังจับมือเ๽้าทารกน้อยอยู่ ใบหน้างามนั้นทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าท่าทางเช่นนั้นกลับขับให้นางยิ่งดูงดงามเสียงยิ่งกว่าในวันปกตินัก  อีกทั้งยังดูเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวิตชีวา

        ท่านหมอหูและเคราแพะบนใบหน้าพลันกระแอมขึ้นทีหนึ่ง

        เสี่ยวอู่เมื่อเห็นว่ามีคนมาก็นั่งลงด้วยความกังวลข้างอาสวิน

        หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อหันมาพบหลีโฉ่วก็พลัน๻๷ใ๯

        วันนี้นางอยากพาเ๽้าทารกน้อยมาที่นี่ สองวันก่อนจึงตั้งใจปรนนิบัติเขาอยู่นานนัก

        ในความเป็๞จริงยามนางอยู่กับทารกน้อย นางไม่แม้แต่อยากจะเห็นเงาของเขาเสียด้วยซ้ำ

        “ไม่สบายอีกแล้วรึ เมื่อวานข้าก็เห็นเ๽้ายังดีๆ อยู่นี่” นายท่านใหญ่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

        หลัวอู๋เลี่ยงยามนี้นั่งหลังตรงดุจพู่กัน เผยให้เห็นลำคอระหงนั้น ก่อนที่ใบหน้างามจะเงยขึ้นมองคู่สนทนา ยามนี้ท่าทางเช่นนี้ของนางก็ทำให้นางมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

        “มิใช่ข้าหรอก แต่เป็๲เ๽้าตัวเล็กต่างหาก นางชอบหยิบก้อนหินใส่ปาก ข้าจึงให้ท่านหมอมาตรวจดูสักหน่อย”

        ชายเคราแพะยาวท่านหมอหูลงมือตรวจอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ได้กล่าวอันใด

        ไม่แม้แต่จะหันมองสตรีข้างกายตน

        เพียงก้มหน้าลงแล้วยื่นมือไปจับแขนของเฉินโย่วน้อย

        เฉินโย่วก็ไม่ได้ขัดขืน เพียงจ้องหน้าคนตรงหน้าตนนิ่งๆ จากนั้นจึงยื่นมือข้างน้อยออกมาจับเคราแพะของท่านหมอหู พร้อมกับยิ้มหวานออกมา

        รอยยิ้มของนางราวกับสามารถสื่อสารกับหัวใจของผู้อื่นได้

        แค่มองก็ทำให้รู้สึกเบิกบานนัก

        หลัวอู๋เลี่ยงรีบแกะมือนางออก แล้วดุเสียงเบา “เ๯้าอย่าซนนะ”

        ผ่านไปพักใหญ่ท่านหมอหูก็เก็บมือกลับ “ร่างกายนางไม่สมดุลโดยกำเนิด นางคงไม่อาจอยู่รอดจนถึงวัยปักปิ่น”

        รอยยิ้มเมื่อครู่บนใบหน้าหญิงงามพลันอันตรธาน

        เสี่ยวอู่ก็พลันปากอ้าตาค้าง


        อาสวินที่ยังหลับตาอยู่ก็ขยับปากไปมา ที่แท้นี่กลับไม่ใช่ฝันดี

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้