เพียงชั่วพริบตา ก็เป็เวลาหนึ่งเดือนที่เปิดแดนขัดเกลาครั้งนี้
ฉู่สยงและคณะของฉู่เยว่ฉานทั้งเก้าคนได้ยืนล้อมอยู่ด้านข้างของอสูริญญาขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ในหมู่พวกเขา ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ฉู่ ศพนี้มีอะไรแปลกหรือ?”
“นี่คือตัวที่สิบเก้าแล้วใช่หรือไม่?” ฉู่เยว่ฉานพึมพำขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หลายวันมานี้ ฉู่เยว่ฉานและพวกของนางได้พบกับร่างของอสูริญญาอย่างต่อเนื่อง และร่างเหล่านี้ต่างมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือมีรูแผลเืไหลอยู่บนร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น เืทั่วทั้งร่างยังถูกสูบไปจนแห้งขอด
ฉู่สยงพยักหน้า และนั่งยองลงกับพื้น ลูบาแบนร่างของอสูริญญา ขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น “สายฟ้า มีพลังของสายฟ้า คนที่โจมตีมีพลังของสายฟ้าหรือ?”
“พลังสายฟ้า? หรือจะเป็ศิษย์น้องหวังฉี่?” ฉู่เยว่ฉานขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่หรอก หวังฉี่มีพลังสายฟ้าก็จริง ในตอนเด็กเขาบังเอิญถูกฟ้าผ่า จึงมีสายฟ้ารวมตัวกันอยู่ในร่างกายของเขา แต่พลังการควบคุมสายฟ้าของเขานั้นยังไม่แกร่งพอที่จะสังหารอสูริญญาในระดับสูงสุดของชั้นที่สามด้วยซ้ำ ข้าคิดว่า คนผู้นี้อาจจะมีพลังของร่างอสุนีลึกลับที่หาได้ยาก” ฉู่สยงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ร่างอสุนีลึกลับ?” ทุกคนต่างตกตะลึง
อย่างไรก็ตาม ร่างอสุนีลึกลับนับเป็ร่างกายพิเศษชนิดหนึ่ง แม้ว่าร่างกายเช่นนี้จะไม่แตกต่างจากร่างแก่นแห่งเต๋า แต่ก็สามารถเข้าถึงระดับสูงสุดได้เช่นกัน แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้พลังของร่างแก่นแห่งเต๋าอีกต่อไป แต่ก็สามารถเปรียบได้กับความสามารถของร่างแก่นแห่งเต๋า
“เป็ไปได้อย่างไร? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครในศิษย์รุ่นห้าได้ร่างอสุนีลึกลับ หรือต่อให้มี ก็ไม่น่าจะปิดบังพวกอาจารย์อาของสายชีพจรฟ้าและสายชีพจรดินได้” มีศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
ฉู่สยงไม่พูดอะไร ศิษย์คนนี้ก็ได้แต่พูดตามความสงสัยของตนเอง หากจะว่ากันตามหลักแล้ว หากร่างอสุนีลึกลับปรากฏขึ้น ผู้แข็งแกร่งของสายชีพจรฟ้าจะต้องแย่งตัวกันอย่างแน่นอน แต่หลายปีมานี้ เขาก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกันว่ามีผู้ใดร่างอสุนีลึกลับ แต่หากไม่ใช่ร่างอสุนีลึกลับ จะเป็อะไรได้อีก? พลังของสายฟ้าที่มีอยู่ทั่วร่างของอสูริญญานี้เป็พลังสายฟ้าที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ใช่ฝีมือหวังฉี่อย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่สยงมีความสงสัยมากยิ่งขึ้นก็คือ นี่เป็อสูริญญาตัวที่สิบเก้าที่พวกเขาพบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อสูริญญาเหล่านี้ล้วนแต่มีลักษณะพิเศษบางประการเหมือนกัน เืทั้งร่างเหือดแห้ง พิจารณารอยเืที่เหลืออยู่บนพื้น แน่ใจได้ว่าเืส่วนมากคงถูกนำไปด้วยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น... อสูรเหล่านี้ล้วนเป็อสูรที่เกี่ยวข้องกับอัคคี
ท้ายที่สุด ฉู่สยงก็ได้ผลลัพธ์ที่ทำให้เขาประหลาดใจ
เป็ไปได้หรือไม่ว่า แม้บุคคลนั้นจะไม่ใช่ร่างอสุนีลึกลับ ก็อาจควบคุมพลังของสายฟ้าได้ หรือว่าเขาจะมีวิชาควบคุมอัคคี? หรือบางทีอาจมีเพลิงธรณี?
“สำนักยุทธ์ว่านจ้งมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่จริงๆ ข้าว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่ควบคุมพลังของสายฟ้าได้เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมพลังอัคคีได้อีกด้วย” ฉู่เยว่ฉานนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะคาดเดาออกมาเช่นเดียวกัน
“ไปกันเถอะ! ตลอดเส้นทางที่เขาเดินทางมา มุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามทางตอนเหนือ! บางทีอาจจะได้พบเขาที่เขตต้องห้าม” ฉู่สยงลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ พูดจบ ทั้งคณะต่างก็เหาะไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ณ เขตต้องห้ามทางตอนเหนือที่ห่างออกไปร้อยลี้
ฉินอวี่กำลังนั่งอยู่บนศีรษะของอสูริญญาระดับสี่ที่เกี่ยวข้องกับอัคคี หลังจากซดเืที่อยู่น้ำเต้าหยกไปจนหมด เขาก็สำรวจดูภายในร่างกาย พลางจ้องไปยังเพลิงแอ่งธรณีที่ลอยอยู่ในช่องท้อง ฉินอวี่ก็รู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
“เด็กดี นี่เป็เืของอสูริญญาตัวที่ยี่สิบหกแล้ว เ้ายังไม่อิ่มอีกหรือ?” ฉินอวี่จ้องไปยังเพลิงแอ่งธรณีก่อนจะพูดออกมา
สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจเป็อย่างมากคือ ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมาเขาได้สังหารอสูริญญาไปแล้วกว่ายี่สิบหกตัว และกลืนเืของอสูริญญาเ่าั้ไปจนหมด พลังอัคคีที่อยู่ภายในเืเ่าั้ล้วนถูกเพลิงแอ่งธรณีดูดไปจนหมดสิ้น หากจะว่ากันตามหลักแล้ว เมื่อมีการดูดซับพลังอัคคีมากมายเช่นนี้ จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงของเพลิงแอ่งธรณีมิใช่หรือ?
แต่เพลิงแอ่งธรณีที่เขามีอยู่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด นอกจากพลังที่เพิ่มขึ้นเป็สองเท่า มันยังดูมืดมัวและยังมีขนาดเท่ากำปั้น
“หรือพลังอัคคีที่ดูดซับเข้าไปยังไม่มากพอ?” ฉินอวี่ยิ้มเจื่อน เพลิงแอ่งธรณีของเขาเป็ดั่งบ่อลึกที่ไม่มีก้นบึ้ง เพียงแต่ ยิ่งเป็เช่นนี้เท่าไร ฉินอวี่ก็ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้น โดยหวังว่าเมื่อเพลิงแอ่งธรณีดูดซับพลังอัคคีมากเพียงพอจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาบ้าง
ทันใดนั้น สายตาของฉินอวี่ก็มองตรงไปเบื้องหน้า แผนที่ของแดนขัดเกลาก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจทันที เขาคาดไว้ในใจว่าเขตต้องห้ามทางตอนเหนือจะต้องเกี่ยวข้องกับอัคคีอย่างแน่นอน ตลอดหลายวันมานี้ แม้ว่าฉินอวี่จะต้องเลือกสังหารอสูร แต่ที่แห่งนี้มีอสูริญญาที่เกี่ยวข้องกับอัคคีอยู่เป็จำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็ต้องดิ้นรนออกตามหา
อย่างไรก็ตาม หนึ่งเดือนที่ผ่านมาฉินอวี่ได้ของดีมาอย่างคุ้มค่า ไม่เพียงแต่พลังของเพลิงแอ่งธรณีที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่เืลมและพลังปราณในร่างกายของฉินอวี่ก็พัฒนาอยู่ในระดับที่น่ากลัว ฉินอวี่จึงคาดการณ์ว่าอีกไม่นานนัก ตนเองก็น่าจะสามารถอาศัยพลังปราณที่มีอยู่ ช่วยให้เข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองได้
ยิ่งเข้าใกล้เขตต้องห้ามมากขึ้นเท่าใด ระดับของอสูริญญาก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ อสูริญญาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างอยู่ในระดับสี่ทั้งสิ้น สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่ไม่กล้าผลีผลามเข้าไปอย่างรวดเร็วนัก การสังหารอสูริญญาระดับสี่แทบจะทำให้ฉินอวี่ต้องรับความทุกข์ไปไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะหน้ากากและชุดคลุมดำที่ได้รับจากประมุขหอตำราเป็อาวุธิญญาระดับสูง ฉินอวี่คงได้รับาเ็สาหัสไปแล้ว
“เมื่อมีสายฟ้าและใช้หอกศึกช่วย ข้าก็น่าจะสังหารอสูริญญาระดับสี่ได้ และจะต้องเข้าไปให้ลึกกว่านี้ หากสามารถดูดซับพลังในเืของอสูริญญาระดับสี่ได้มากเพียงพอ ข้าก็คงจะเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สามได้ภายในเวลาหนึ่งปี” ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่นาน ดวงตาของเขาแน่วแน่ และลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
สิบวันต่อมา
ฉินอวี่เดินทางมาถึงรอบนอกของเขตต้องห้ามทางตอนเหนืออย่างราบรื่น เขาพบกับซากศพของอสูริญญาและอสูรร้ายหลายสิบตัวมาตลอดทาง รวมถึงร่างที่เกี่ยวข้องกับอัคคี แต่ทุกตัวต่างมีเืที่เหือดแห้ง เพราะตายมาเป็เวลานานแล้ว แม้ว่าจะมีพลังอัคคีเหลืออยู่บ้างแต่ก็มีอยู่เพียงน้อยนิด และไม่อาจจะรู้ได้เช่นกันว่านี่เป็เพราะการเปิดพื้นที่แดนขัดเกลาในครั้งก่อน หรือมีคนได้เข้าไปในเขตต้องห้ามแล้ว
“โฮก!”
“โฮก!”
“โฮก!”
เสียงคำรามที่สั่นะเืฟ้าดินดังออกมาจากส่วนลึกของเขตต้องห้าม ฉินอวี่กำลังยืนอยู่ที่ขอบรอบนอก มองไปทางเนินเขาซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด เนินเขาแห่งนี้ไม่มีต้นหญ้าเลยแม้แต่น้อย แผ่นดินแตกระแหง พื้นที่เกือบจะทั้งหมดเดือดพล่าน เสียงคำรามดังกึกก้องทั่วบริเวณ คลื่นความร้อนแผ่ซ่านพัดผ่านท้องฟ้าและครอบคลุมไปทั่วทุกสารทิศ
ขณะที่กำลังมองไปนั้น ฉินอวี่ก็พบกับเปลวเพลิงขนาดมหึมาที่กำลังลุกโชนและม้วนตัวไปมาอย่างคลุมเครือ ทำให้ส่วนลึกของเขตต้องห้ามเป็เหมือนทะเลเพลิง
“ในเขตต้องห้ามมีอะไรอยู่กันแน่? และนี่ก็ไม่ใช่แดนแสนภูผาของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง หรือมันคือแดนเซียนอู่ที่แตกสลายไป?” ฉินอวี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะนึกอย่างไร ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แดนเซียนอู่ในอดีตที่แตกสลายไป หวังชิงทิ้งอะไรเอาไว้ในสำนักยุทธ์ว่านจ้งกันแน่
ทันใดนั้น ดวงตาของฉินอวี่ก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกได้ว่าคลื่นความร้อนในอากาศที่อยู่ตรงหน้าได้หายไปแล้ว ฉินอวี่จ้องตรงไปยังพื้นที่ซึ่งความร้อนนั้นหายไป และมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูเป็เส้นใสบางขนาดเท่าเส้นผมเส้นหนึ่งอยู่ตรงจุดนั้น
แม้ว่ามองจากมุมนี้จะมีขนาดเล็กเพียงเส้นผม แต่หากเข้าไปใกล้ รอยแยกที่เห็นนี้จะต้องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน และรอยแยกนี้ยังมีพลังที่พร้อมจะฉีกทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่คลื่นความร้อนก็ยังถูกฉีกออกเป็เสี่ยง จึงแน่ใจได้ว่ารอยแยกที่เห็นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ความคิดของฉินอวี่ประมวลผลขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยความใ “นั่นมัน... รอยวิถีทำลายล้าง?”
“มีความเป็ไปได้อย่างมากว่าที่แห่งนี้คือร่องรอยแตกสลายของแดนเซียนอู่ที่หลงเหลืออยู่” ฉินอวี่แสดงความเชื่อมั่นอยู่ในใจ หากสิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้คือข้อสงสัย เช่นนั้น ในตอนนี้ก็คือการยืนยัน หากดูจากรอยแตกที่สามารถทำลายคลื่นความร้อนได้ นั่นต้องเป็รอยวิถีทำลายล้างอย่างไม่ต้องสงสัย
สมัยอยู่ที่สำนักเทียนฉีฉินอวี่เคยเห็นมันมาก่อน ในตอนนั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับแนวหน้ามาประลองกับปรมาจารย์เทียนฉี การต่อสู้ครั้งนั้นเกิดขึ้นห่างจากสำนักเทียนฉีออกไปพันลี้ และเกือบทำให้สำนักเทียนฉีต้องสลายไป ในตอนนั้นเอง ที่ฉินอวี่ได้เห็นรอยวิถีทำลายล้าง
รอยวิถีคือแก่นแท้ในอารมณ์ััแห่งเต๋า อารมณ์ััแห่งเต๋านั้นยากอธิบาย แต่รอยวิถีย่อมแสดงออกมาบนพื้นฐานของอารมณ์ััแห่งเต๋า หรืออาจพูดได้อีกนัยหนึ่งว่า จะต้องมีอารมณ์ััแห่งเต๋าถึงระดับหนึ่งก่อน จึงจะทำให้อารมณ์ััแห่งเต๋ากลายเป็รอยวิถี
และรอยวิถีทำลายล้างนี้ เกิดขึ้นหลังจากการกระทบกันระหว่างรอยวิถีและรอยวิถี รอยวิถีประเภทนี้มีพลังแห่งการทำลายล้างที่แข็งแกร่ง มักจะเกิดขึ้นอย่างถาวรหากไม่ถูกทำลายโดยพลังจากภายนอก แม้ว่ารอยวิถีทำลายล้างจะดูน่ากลัว แต่หากสามารถทำความเข้าใจและเข้าถึงอารมณ์ััแห่งเต๋าอันลึกซึ้งได้ ก็นับว่าได้รับพรอันยิ่งใหญ่จาก์เลยทีเดียว
“ดูเหมือนว่าที่นี่คงจะเป็ส่วนแตกสลายของแดนเซียนอู่ในอดีต และดูเหมือนว่าจะเป็สิ่งที่หลินอวี่ทิ้งเอาไว้!” ฉินอวี่หรี่ตาลง เขาไม่รู้ว่าหลินอวี่มีความแข็งแกร่งเพียงใด แต่เขาสามารถค้นหาเื่ราวความแข็งแกร่งของหลินอวี่ในอดีตได้จากด้านในของรอยวิถีทำลายล้าง
ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงะโเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นสั่นะเืไปทั้งฟ้าดิน
ฉินอวี่หันศีรษะไปมองทางซ้ายมืออย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดเล็กน้อย และก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน
มโนจิตของฉินอวี่แพร่กระจายออกไป เขาสังเกตเห็นในรัศมีสิบลี้ตรงหน้า ว่ามีคนแปดคนกำลังล้อมอสูรร้ายขั้นสูงสุดในระดับสี่ อสูรร้ายตัวนี้สูงประมาณหนึ่งจ้าง มีรูปร่างคล้ายหมาป่า ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเกล็ดสีแดงเพลิง มีหางหนาเท่าโคนต้นไม้ ดูเหมือนจะมีความดุร้ายและโเี้มาก!
เมื่อฉินอวี่เห็นอสูรร้ายตัวนั้นคาบกระบี่สีแดงเพลิงเล่มหนึ่งไว้ในปาก ทั่วทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้าน และพูดออกไปอย่างใ “นี่มัน... เป็ไปได้อย่างไร? หยาจื้อ? อสูรร้ายตัวนี้มีสายเืของหยาจื้อ?”
หยาจื้อ จัดเป็อสูรร้ายยุคาชนิดหนึ่ง มีกายเป็หมาป่ามีศีรษะเป็ั มีบุคลิกที่แข็งแกร่ง บ้าเืและก้าวร้าว มีความแค้นต้องชำระ ปากคาบกระบี่ ตามตำนานกล่าวกันว่า หยาจื้อมีสายเืของบรรพบุรุษัในยุคา แม้ว่าจะไม่ใช่ั แต่กลับมีเืของั และรวบรวมสายเืของบรรพบุรุษัยุคาเอาไว้ในปาก ก่อนแปลงรูปเป็กระบี่ัเล่มหนึ่ง
กระบี่์เล่มนี้มีพลังอันมหาศาล เมื่อกลืนเข้าไปจะทำให้หยาจื้อมีพละกำลังมากขึ้น!
อสูรร้ายซึ่งมีสายเืหยาจื้อที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะมีศีรษะเหมือนหมาป่า แต่สายเืภายในก็เป็สายเืของัา แม้มีความเบาบางทางสายเืเป็อย่างมาก แต่ก็ยังสังเกตได้จากสายเืที่อยู่ในรูปของกระบี่!
“เป็ไปได้อย่างไรกัน? ที่นี่มีอสูรร้ายที่เป็สายเืของหยาจื้อด้วยหรือ? หรือสิ่งที่ตายอยู่ที่นี่... จะเป็หยาจื้อ?” ฉินอวี่ตกตะลึง เขาแน่ใจได้ว่า ทั้งแปดคนนี้จะต้องสนใจในกระบี่ัในปากของหยาจื้อ คิดจะสังหารหยาจื้อเพื่อ่ชิงกระบี่ แต่พวกเขาคงจะไม่รู้ว่าอสูรร้ายตัวนี้มีสายเืของหยาจื้อ คงรู้เพียงว่าสิ่งที่อสูรร้ายตัวนี้คาบไว้คือกระบี่ิญญาระดับสูงหรือบางทีอาจเป็อาวุธวิเศษ
“ช่างรนหาที่ตายกันจริงๆ!” ฉินอวี่เยาะเย้ย แม้ว่าทั้งแปดคนจะมีความร่วมมือกันอย่างดีและคิดว่าตนได้เปรียบ แต่ถ้าทำให้อสูรร้ายตัวนี้เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา ทั้งแปดคนนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน
“โฮก!” อสูรร้ายสายเืหยาจื้อตัวนี้ดูเหมือนจะโกรธคนทั้งแปดอยู่มาก กระบี่ัที่คาบอยู่ในปากลุกเป็ไฟ จากนั้นอสูรร้ายจึงกลืนกินกระบี่เข้าไปทันที เหลือไว้เพียงตัวกระบี่สีแดงเพลิง แม้ว่าจะไม่ได้กลืนกินกระบี่ัเข้าไปทั้งหมด แต่พละกำลังของอสูรร้ายก็เพิ่มมากขึ้นเป็หลายเท่า
“โฮก!” อสูรร้ายส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง หางขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีพลังแยกฟ้าดินได้กวาดมาทางศิษย์คนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เสียงอู้อี้ของศิษย์คนนั้นดังขึ้น ร่างกายของเขาถูกตัดขาด แยกออกเป็สองส่วนในทันที
“ศิษย์น้อง ถ้าเ้าไม่ลงมือตอนนี้จะรอเมื่อไร?” เสียงะโเสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้อง แม้ว่าจะห่างกันถึงสิบลี้ แต่ฉินอวี่ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
สิ่งที่ทำให้สีหน้าของฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ เขาสามารถยืนยันได้จากเสียงที่ได้ยินว่านั่นคือเสียงของถังอีิ!
ขณะที่ฉินอวี่กำลังยิ้มเยาะอยู่นั้น สติปัญญาของเขาก็กระจ่างชัด ฉินอวี่ตกตะลึง สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ถังอี้ิวางแผนมาดีจริงๆ!
เขาพูดคำเหล่านี้ออกมา เพื่อให้อสูรร้ายยกความโกรธมาทางตนเองใช่หรือไม่? ดูเหมือนถังอีิผู้นี้จะดูถูกตนเองมากเกินไปแล้ว
“ศิษย์พี่ ศิษย์น้องก็ไม่พอใจท่านอยู่นานแล้ว อสูรผู้าุโ หวังว่าท่านคงจับพวกเขาสังหารให้หมด! เฉินซิงก็จะขอบคุณเป็อย่างยิ่ง” ฉินอวี่รวบรวมพลังปราณส่งไปพร้อมเสียงของเขา
เสียงโครมครามดังขึ้นไปทั่วสารทิศ
ถังอีิต่อสู้กับอสูรร้ายตัวนั้นจนแทบกระอักเืออกมา
