มีเพื่อนร่วมทางเป็สาวงามโดยธรรมชาติแล้วเป็สิ่งที่น่ารื่นรมย์ยินดีแต่กับฉินโจ้วแล้วเขามักจะนิ่งเงียบต่อหน้าผู้หญิงแปลกหน้าเสมอเพียงเพราะเขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร หรือจะเริ่มพูดอย่างไรถึงแม้ว่าหลี่เฟยนั้นไม่ได้เป็คนแปลกหน้าแต่ก็ยังไม่ใช่คนคุ้นเคยเลยต้องรักษาระยะห่างเอาไว้ซึ่งดีที่ว่าหลี่เฟยเป็คนคุยเก่ง หรือไม่คงพูดได้ว่าผู้หญิงนั้นมีนิสัยซุบซิบนินทาติดตัวมาอยู่แล้ว ก็เลยมีเื่ให้พูดกันได้ตลอดหลี่เฟยยังเป็วัยรุ่น อายุน่าจะราว 22 ปี ดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งเริ่มทำงานแต่เธอก็เป็คนที่ค่อนข้างฉลาดเอาการ มีความชำนาญและความสามารถในการรับมือกับเื่ต่างๆรู้ว่าอะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม รู้จักกาลเทศะหัวข้อที่เลือกมาคุยก็เป็สิ่งที่ฉินโจ้วนั้นสนใจทำให้บรรยากาศที่อึดอัดระหว่างคนทั้งสองเริ่มหายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว
ในระหว่างการเดินทางมีเสียงพูดคุยและตามด้วยเสียงหัวเราะของสาวงาม
นอกจากเสียงของผึ้งเพชฌฆาตที่บินหึ่งๆแล้ว ทุกอย่างดีไปหมดราชินีผึ้งเพชฌฆาตก็เพิ่มระดับจากการจัดการกับมอนสเตอร์ได้อย่างอิสระแต่ว่ามันไม่ได้ออกไปสู้รบเองเพียงแค่ฟักไข่แล้วปล่อยฝูงผึ้งเพชฌฆาตออกไปจัดการกับศัตรูแทน รังแกปีศาจตัวเล็กตัวน้อยวิธีจัดการมอนสเตอร์แบบนี้ไม่เพียงแค่ปลอดภัย แถมความเร็วก็ไม่ช้าเลยแม้แต่น้อยแต่มีสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกแย่ก็คือ ฉินโจ้วสามารถรับค่าประสบการณ์ได้ไม่เกิน 4เลเวล และค่าประสบการณ์ 60% จะตกเป็ของราชินีผึ้งเพชฌฆาต
ใครเป็สัตว์เลี้ยงหรือใครเป็เ้าของกันแน่ ระบบนี่มันจริงๆเลยไม่รู้จักแบ่งแยกว่าใครเ้านายใครลูกน้อง ฉินโจ้วนั้นมีความเห็นในเื่นี้
แปลกที่หลี่เฟยกลับไม่รู้สึกกลัวราชินีผึ้งสีทองเพชฌฆาตในเมื่อเธอกล้าใช้ชื่อตัวละครว่าแมงมุม เธอก็คงชื่นชอบผึ้งเพชฌฆาตด้วยถึงแม้ว่ามันเป็สิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ผึ้งเพชฌฆาตนั้นฟังเฉพาะคำสั่งของฉินโจ้วถึงแม้ว่าหลี่เฟยจะน่าดึงดูดแค่ไหน มันก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
"น่าเบื่อ...ไม่ไว้หน้าฉันบ้างเลย ถึงอย่างไรฉันก็เป็ผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งเลยนะ"หลี่เฟยรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า"ไว้ฉันจะหาแมงมุมั์มาเป็สัตว์เลี้ยง และจะกางใยดักเธอให้ได้ ดูซิว่าคราวนี้เธอจะไม่สนใจฉันอีกไหม ฮึ..."
"ระวัง"
ขณะที่ฉินโจ้วกำลังมองดูอย่างมีชีวิตชีวาทันใดนั้นเขาก็เห็นเถาวัลย์ที่ไม่รู้ที่มาโผล่ออกมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าและรุนแรง ถ้าถูกโจมตีเข้าคงไม่แคล้วต้องกระดูกหักเป็แน่
อาจเป็เพราะกำลังหยอกล้อกับราชินีผึ้งสีทองเพชฌฆาตกันอยู่ทำให้ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน หลี่เฟยเมื่อได้ยินเสียงเตือนของฉินโจ้วจึงหันกลับไปดู แต่ก็พบว่าเถาวัลย์นั้นมาถึงตัวแล้ว สายเกินไปที่จะหลบเธอสีหน้าซีดเผือด
ใน่เวลาคับขันฉินโจ้วหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตัวไปด้านหน้า อ้อมแขนก็กอดหลี่เฟยที่รูปร่างอวบอิ่มไว้และล้มคว่ำลงไปกับพื้นดิน เถาวัลย์ฟาดไปถูกิัอย่างรวดเร็วรอยแผลบริเวณที่ิัเริ่มรู้สึกเ็ป ถึงจะอันตรายแต่โชคดีที่ยังปลอดภัยอยู่
ในขณะที่กำลังล้มลงจะถึงพื้นฉินโจ้วเหลือบไปเห็นเถาวัลย์นับสิบพุ่งตามมา มันค่อนข้างน่ากลัวมากเลยทีเดียวฉินโจ้วเองก็ไม่มีเวลาที่จะอธิบายเขาจึงกลิ้งตัวหลบไปพร้อมกับหลี่เฟยที่อยู่ในอ้อมแขนเขาเองก็รู้สึกอายที่จะต้องใช้วิธีแบบนี้ในการหลบหลีกการโจมตีของเถาวัลย์นับสิบ
หลี่เฟยร้องขึ้นมาด้วยความเ็ปฉินโจ้วคิดว่าเธออาจจะถูกหินหรืออะไรบางอย่างกระแทกใส่ขณะที่เขากำลังตรวจดูอยู่นั้นทันใดนั้นเองก็มีแรงดึงที่ไม่สามารถต้านทานได้ลากทั้งเขาและหลี่เฟยไปด้วยกันความแรงนั้นน่าใเป็อย่างมาก
หลี่เฟยโชคไม่ดีเธอถูกเขากดทับไว้เบื้องล่าง หน้าอกเบียดเสียดกันอย่างแแ่ในระหว่างที่ถูกลากไปนั้น ฉินโจ้วััได้ถึงความยืดหยุ่นและความแแ่แต่ดูเหมือนว่าหลี่เฟยจะคล้ายกับคนที่กำลังจะจมน้ำจึงพยายามไขว่คว้าจับยึดสิ่งรอบตัวเธอเลยกอดฉินโจ้วไว้แน่นจนทำให้เขารู้สึกเจ็บที่คอ
ด้วยความเร่งรีบฉินโจ้วหันมองไปรอบๆ และพบว่าเท้าของหลี่เฟยนั้นมีเถาวัลย์พันอยู่ก่อนมันจะลากทั้งคู่ไปด้วยกัน เนื่องจากความแข็งแรงของเถาวัลย์ทำให้บริเวณที่ถูกมัดนั้นจมลึกลงไป จนหายไปเกือบครึ่ง ไม่แปลกใจเลยที่หลี่เฟยมีท่าทางเ็ปราวกับถูกฉินโจ้วข่มเหงน้ำใจเมื่อฉินโจ้วมองดูหลี่เฟย ก็พบว่าใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเธอกำลังอดทนกับความเ็ปโดยไม่ปริปาก ใบหน้าเริ่มกลายเป็สีแดงเขาไม่รู้ว่าเป็ความเ็ปหรือความเขินอาย หรือทั้งสองอย่างก็ไม่อาจรู้ได้
ถึงแม้ว่าความคิดของฉินโจ้วกำลังสับสนแต่การตอบสนองของเขานั้นไม่เชื่องช้าเลยแม้แต่น้อยเมื่อปรับท่าทางของร่างกายได้แล้ว ก็เริ่มร่ายเวทอัญเชิญ เมื่อร่ายจบทหารโครงกระดูกสิบตัวก็ตกลงมาจากรอยแยกมิติ
"ทหารโครงกระดูกโจมตี"
สิ้นเสียงะโของฉินโจ้วทหารโครงกระดูกเริ่มเคลื่อนไหวโดยพุ่งออกไปทันทีดาบสีดำเริ่มฟันไปที่เถาวัลย์ทั้งหลาย ถึงเถาวัลย์จะมาจากต้นไม้แต่พวกมันก็ไม่ได้แข็งแรงเหมือนเหล็ก เถาวัลย์ทั้งหมดเริ่มถูกตัดอย่างรวดเร็วเมื่อฉินโจ้วพบว่าแรงฉุดลากนั้นหยุดลงแล้วเถาวัลย์ที่ข้อเท้าของหลี่เฟยก็ถูกตัดออกไปแล้ว ฉินโจ้วจึงรีบช่วยพยุงหลี่เฟยขึ้นมาเธอรู้สึกยังคงมีอาการวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง และตัวของเขาก็ถูกลากออกมาไกลหลายเมตรเมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าเขาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของปีศาจต้นไม้เสียแล้ว
‘ปีศาจต้นไม้’เป็สิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างแปลกประหลาด เป็รากไม้ ลำตัวตั้งตรงมีเถาวัลย์ออกมาสองด้าน ทำหน้าที่เหมือนมือของคนดูเหมือนจะมีวิวัฒนาการให้คล้ายกับมนุษย์ตรงกลางจะมีเหมือนเป็ใบหน้าที่เห็นอยู่เลือนราง ที่มันดูไม่ชัดเจนก็เพราะว่าเป็การมองแบบภาพรวม ถ้าดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีตา ไม่มีหูไม่มีคิ้ว หรืออะไรเลย แต่แปลกตรงที่เหมือนจะมีจมูกแบนๆ อยู่ มีแต่ปากที่เป็เหมือนหลุมอยู่อันหนึ่งไม่สามารถพูดได้ แต่จะสามารถส่งเสียงออกมาได้หรือเปล่านั้นตอนนี้ก็ยังไม่ทราบได้มีรากที่ทำหน้าที่เหมือนเท้า มันค่อนข้างสั้น และเคลื่อนที่ได้ช้ามากแต่ก็ค่อนข้างมั่นคง เกาะยึดพื้นดินได้แน่นราวกับไม่มีวันล้มไม่ว่าจะผลักด้วยความรุนแรงมากแค่ไหนก็ตาม
ปีศาจต้นไม้: มอนสเตอร์เลเวล 43 พลังชีวิต 20,000 โจมตีศัตรูด้วยเถาวัลย์ เคลื่อนไหวได้ช้ามีพลังป้องกันทางกายภาพสูง
"เป็อย่างไรบ้าง?"ฉินโจ้วถามอาการของหลี่เฟยเมื่อมองไปที่ข้อเท้าสีขาวราวกับหิมะที่เริ่มกลายเป็สีแดงเื จากรอยรัดของเถาวัลย์ที่เริ่มเปลี่ยนสีกลายเป็สีม่วงดำมีร่องรอยการเสื่อมสลาย ดูเหมือนว่าเถาวัลย์จะมีพิษอยู่ด้วยสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีเสียแล้ว
"น่าจะหัก"
"อะไรหัก?"
"กระดูกหัก!"
ฉินโจ้วสูดอากาศเย็นเข้าปอดพลังในการบีบรัดเมื่อครู่ค่อนข้างมากเลยทีเดียวแค่ถูกรัดไว้เพียงชั่วครู่กระดูกก็หัก งูเองก็คงใช้วิธีที่ไม่ต่างกันยังดีที่เป็เท้า ถ้าเป็คอล่ะก็... ไม่ต้องพูดถึงเลย
"นี่มันอะไรกัน?"หลี่เฟยถามขณะขมวดคิ้ว
"ปีศาจต้นไม้"ฉินโจ้วตอบอย่างไม่แน่ใจ เขากำลังมองหาจุดอ่อนของปีศาจต้นไม้
"เราจะทำอย่างไรกันดี?"นี่เป็คำถามที่สำคัญยิ่ง หลังจากที่ถามหลี่เฟยเพิ่งจะรู้ว่าเธอนั้นหวังพึ่งฉินโจ้วโดยไม่รู้ตัว
"ลุกเดินไหวไหม?"หลังจากที่ถาม ฉินโจ้วนึกขึ้นได้ว่าเป็คำถามที่โง่เง่าเหลือเกินถึงไม่รู้ว่าจะจัดการมันอย่างไร แต่ทหารโครงกระดูกของเขานั้นไม่ได้เก่งที่สุดในการต่อสู้กับมอนสเตอร์การโจมตีจุดแข็งของศัตรูด้วยจุดอ่อนของเรา เป็การไม่ฉลาดเอาเสียเลยความคิดแรกของเขาก็คือ ต้องไม่เผชิญหน้า
"ฉะ...ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด" หลี่เฟยออกแรงไปที่ปลายเท้าและทันใดนั้นความเ็ปแปล๊บแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง คิ้วของเธอขมวดเข้าแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องแต่อย่างใด พยายามทำให้ดูเป็ปกติทำให้ฉินโจ้วรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะรีบพุ่งออกไปขวางหน้าหลี่เฟยด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ
"อย่าขยับขอผมดูก่อนว่าจะจัดการมันออกไปได้อย่างไร"
ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้นครึ่งหนึ่งของทหารโครงกระดูก 10 ตัว ก็ถูกมัดไว้ด้วยเถาวัลย์ในขณะที่เถาวัลย์นั้นบีบรัดแน่นขึ้นๆ เรื่อยๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังกร๊อบ...ตามมาด้วยเสียงกระดูกแตกป่นกลายเป็ชิ้น ทั้งห้าตัวได้หายไปเรียบร้อย
สีหน้าของฉินโจ้วไม่ได้แสดงอาการแต่อย่างใดราวกับไม่รู้สึกตัว ก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำใจให้สงบปีศาจต้นไม้นั้นก็เป็มอนสเตอร์ นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้พบเถาวัลย์นั้นมีความยืดหยุ่นและรวดเร็ว เคลื่อนไหวไปมาไร้ร่องรอย แรงบีบรัดก็สูงจนน่าทึ่งเมื่อถูกรัด ก็ยากที่จะหลบหนีออกมาได้ซึ่งทหารโครงกระดูกส่วนใหญ่เป็นักสู้แบบประชิดตัว ภายใต้การโจมตีของเถาวัลย์ทำให้พวกมันไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้จึงทำให้ไม่สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อปีศาจต้นไม้ได้เลยทำได้แค่เพียงป้องกันตัว ซึ่งทำให้ค่อนข้างเสียเปรียบมากการจัดการกับปีศาจต้นไม้คงต้องเปลี่ยนแผนใหม่
ความยุ่งยากอย่างเดียวก็คือมีปีศาจต้นไม้มากเกินไป น่าจะมากกว่าหนึ่งร้อยตัวซึ่งทำให้วิธีมากมายของฉินโจ้วนั้นไร้ผล
อย่างไรก็ดีั้แ่ฉินโจ้วตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลัวความยากลำบากเขาจึงเริ่มวิเคราะห์ว่าถึงแม้จะมีปีศาจต้นไม้เป็จำนวนมาก แต่ความเป็จริงก็คือที่เขาเผชิญหน้าอยู่นั้นมีอยู่ราว 10 กว่าตัวเท่านั้นที่อยู่ด้านหลังยังอีกห่างไกล ถึงแม้ว่าพวกมันจะยังมาไม่ถึงแต่ก็สามารถใช้เถาวัลย์มาโจมตีได้ ซึ่งเป็เื่ที่น่ากลัวมากและนี่เป็สิ่งที่เขาใช้ตอบโต้
ก่อนอื่นก็เรียกใช้ม่านฟ้าิญญาเพื่อลดค่าสถานะของปีศาจต้นไม้ลงก่อนหลังจากนั้นก็อัญเชิญทหารโครงกระดูก 20 ตัวออกมาถึงแม้ว่าทหารม้าโครงกระดูกและอัศวินปฐีจะมีพลังในการต่อสู้มากแต่เมื่อพิจารณาจากความเหมาะสมของสถานการณ์นี้แล้วเห็นได้ชัดว่าทหารโครงกระดูกนั้นเหมาะกว่า เพราะอาวุธของพวกมันคือมีดซึ่งน่าจะเหมาะกว่าเมื่อใช้ตัด
ในที่สุดก็มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าปรากฏมาจากทางด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงปริแตกของเถาวัลย์ที่กำลังลุกไหม้นั่นเป็ทักษะเสริม ''เพลิงดำ'' ของไม้เท้าเพลิงดำโดยจะส่งเปลวไฟสีดำครอบคลุมรัศมี 100 ตารางเมตร ศัตรูจะสูญเสียพลังชีวิต 500หน่วยต่อวินาที นาน 3,000 วินาที ใน่สั้นๆนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับปีศาจต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ
ทหารโครงกระดูก20 ตัว ปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกัน ทำให้คลายความกดดันของทั้งสองคนลงไปได้บ้างอย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ยังคงดูไม่ดีนักนักรบโครงกระดูกยังไม่สามารถแสดงพลังในการต่อสู้ออกมาได้อย่างเต็มที่เนื่องจากถูกมัดมือไว้ ทุก่เวลาที่ทหารโครงกระดูกถูกจับมัดไว้และถูกจับบิดจนแตกออกกลายเป็ชิ้นๆส่วนปีศาจต้นไม้ก็ถูกตัดเถาวัลย์ออกไปเป็จำนวนมาก มีชิ้นส่วนเถาวัลย์ตกอยู่เกลื่อนพื้นแต่ก็ยังไม่มีตัวไหนได้รับาเ็ล้มตาย
ไม่ถึงนาทีทหารโครงกระดูก 20 ตัว ก็กลายสภาพเป็กองกระดูก ฉินโจ้วก็คาดถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้วสีหน้าของเขาจึงไม่วิตกกังวลแม้แต่น้อยเวลานี้เขาจึงอัญเชิญทหารโครงกระดูกออกมาอีก 100 ตัว จิตใจยังคงแน่วแน่ปริมาณก็มากกว่า พี่ชายคนนี้ไม่กลัวแกหรอก ดูสิว่าใครจะร่วงก่อนกัน
หลังจากจ่ายด้วยราคาของทหารโครงกระดูกมากกว่า50 ตัว ในที่สุดทหารโครงกระดูกก็สามารถเข้าใกล้ร่างของปีศาจต้นไม้ได้อัตราการงอกใหม่ของเถาวัลย์นั้นช้ากว่าความเร็วจากการโดนตัด เมื่อปราศจากเถาวัลย์ปีศาจต้นไม้ก็ไม่ต่างจากเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บและทำได้แค่เพียงรอที่จะถูกจัดการตัดทิ้งเท่านั้น ในที่สุดความทนทุกข์ทรมานก็ถึงกาลสิ้นสุดเมื่อทหารโครงกระดูกยกดาบขึ้น และฟันลงไปยังปีศาจต้นไม้
แคร้งแคร้ง แคร้ง แคร้ง...
ร่างกายของปีศาจต้นไม้นั้นแข็งแกร่งจนน่าใและพลังป้องกันก็สูงมากกว่าหมาป่าั์เกราะสีครามเสียอีก ถ้าลองฟันลงไปหนึ่งครั้งก็สามารถสร้างรอยแผลได้ยาวเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้นมีเพียงมีดิญญาที่จะสามารถตัดมันขาดได้ ทำให้ค่อนข้างยากในการจัดการ หลังจากที่ตัดแล้วร่างของปีศาจต้นไม้จะเริ่มมีอาการสั่นไหวคล้ายกับปลาที่ขาดน้ำดูเหมือนว่าจะเกิดความเ็ป แต่ไม่ว่ามันจะสั่นอย่างไรพวกมันก็ไม่สามารถหลบหนีจากการถูกจัดการจากทหารโครงกระดูกไปได้
เป็ไปไม่ได้เลยที่ปีศาจต้นไม้จะหนีได้ด้วยความเร็วเพียงเท่านี้เมื่อสามารถเข้าไปได้ใกล้ขึ้น ก็เริ่มคาดหวังผลลัพธ์ได้แล้ว
ฟิ้ววว...
ลูกธนูไฟกลายร่างคล้ายดาวตกยิงตรงเข้าใส่ร่างของปีศาจต้นไม้อย่างแม่นยำ ชั่วอึดใจเสียงะเิตูมก็ดังขึ้นเป็ที่น่าประหลาดใจที่สามารถสร้างความเสียหายจากการโจมตีได้มากกว่า 6,000หลังจากนั้นก็มีลูกธนูตามไปอีกสองลูกด้วยการะเิก็ทำให้ปีศาจต้นไม้กลายเป็ชิ้นๆในที่สุดทหารโครงกระดูกก็สามารถเดินลึกเข้าไปได้ ใบไม้สีเขียวดรอปออกมาตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรกับมัน ถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาที่จะมาเรียนรู้อยู่ดี
สีหน้าของหลี่เฟยดูดีขึ้นเธอเปลี่ยนความเ็ปให้กลายเป็แรงในการง้างสายธนูลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าที่ยิงใส่ปีศาจต้นไม้ เพราะกระดูกเท้าของเธอหักทำให้ต้องยิงด้วยเข่าเพียงข้างเดียว หยาดเหงื่อหลั่งรินเต็มใบหน้าแต่ดวงตายังคงเปี่ยมไปด้วยพลัง ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งด้วยท่าทางและสีหน้าที่จริงจังลักษณะเฉพาะตัวที่แสดงออกมานี้กลายเป็เสน่ห์อย่างน่าประทับใจลูกธนูเวทไฟที่สามารถะเิได้นั้นทรงอานุภาพยิ่งนักทำให้เธอจัดการกับปีศาจต้นไม้ได้รวดเร็วกว่าทหารโครงกระดูกเสียอีก
เป็ครั้งแรกที่ฉินโจ้วรู้สึกประทับใจในผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ความสนใจในด้านรูปร่าง แต่เป็การดึงดูดจากสิ่งที่อยู่ภายในเขาสะบัดศีรษะไปมาไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะอัญเชิญนักรบโครงกระดูกออกมา 100ตัว เพื่อชดเชยที่ใช้ไปก่อนหน้า
การต่อสู้เป็ไปด้วยความยากลำบากปีศาจต้นไม้เองก็มีพลังมากขึ้นแต่ฉินโจ้วก็พยายามอัญเชิญทหารโครงกระดูกมาเพิ่มอยู่ตลอดฉินโจ้วจัดการกับปีศาจต้นไม้ทีละตัวโดยใช้ความได้เปรียบในเื่จำนวนการล้อมของปีศาจต้นไม้เริ่มมีช่องโหว่อย่างไม่ทันรู้ตัวเมื่อฉินโจ้วอัญเชิญทหารโครงกระดูกออกมาอีก 100 ตัวทำให้เขาและหลี่เฟยเริ่มคลายความกังวลไปได้มากทีเดียวเพราะทหารโครงกระดูกเริ่มเป็ฝ่ายรุกกลับบ้างแล้ว
สามชั่วโมงต่อมาฉินโจ้วอัญเชิญทหารโครงกระดูกออกมามากกว่า 2,000 ตัวและในที่สุดก็สามารถจัดการกับปีศาจต้นไม้ได้ทั้งหมดอย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งคู่ยังไม่ได้เพิ่มระดับ ปีศาจต้นไม้ค่อนข้างจะขี้เหนียวมากมีเพียงค่าประสบการณ์เล็กน้อยกับอุปกรณ์ที่ดรอปมา 6 ชิ้น กับเหรียญเงินอีกราว 200เหรียญ ยังคงขี้เหนียวอยู่ดี เห็นมีแต่ใบไม้เขียวจำนวนมาก
อุปกรณ์1 ใน 6 ชิ้น เป็อุปกรณ์เงิน ผ้าคลุมเขียว พลังป้องกัน +90 พลังป้องกันเวทไฟ +50และมีทักษะในการลดเวลาการใช้เวทลง +1% เป็ทักษะที่ใช้งานได้จริง ฉินโจ้วก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นแต่สุดท้ายเขาก็ยกให้กับหลี่เฟย ผ้าคลุมเวทของหลี่เฟยที่สวมอยู่นั้นไม่ค่อยดีนักเป็อุปกรณ์เหล็กดำที่มีพลังป้องกันเวท +20 พลังป้องกันกายภาพ +25
ใบไม้สีเขียวเป็วัตถุดิบในการปรุงยาผลึกของปีศาจต้นไม้ ก็ใช้เป็ส่วนผสมของยาพลังชีวิตซึ่งเป็วัตถุดิบที่มีมูลค่ามาก
หลี่เฟยไม่ได้้าสิ่งของเหล่านี้จึงยกให้ฉินโจ้วไปทั้งหมด
"กลับกันดีกว่า"ฉินโจ้วพูดขึ้น ตอนนี้เขาก็รู้สึกเหนื่อยจากการต่อสู้ในสนามรบและอยากจะพักผ่อนแล้ว
“อืม...”หลี่เฟยตอบด้วยเสียงเบาๆ เป็เื่ธรรมดาที่เธอจะไม่มีความเห็น แต่สำหรับฉินโจ้วเธอคอยช่วยเหลือเขาไม่ได้อีกแล้ว
ทั้งคู่ไม่ได้ซื้อม้วนคัมภีร์กลับเมืองมาและก็ไม่มียาเชื่อมกระดูกด้วย พวกเขาก็ไม่สามารถเดินกลับไปถ้าไม่แบกอีกฝ่ายไปฉินโจ้วจึงนั่งยองๆ ลงอย่างไม่ต้องคิดมาก
"ผมจะแบกคุณขึ้นหลังเอง"
หลี่เฟยหน้าแดงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะค้อมตัวแนบไปกับแผ่นหลังของเขาอย่างแ่เบาแขนของเธอละล้าละลังอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงโอบรอบคอของเขา
“เอาล่ะผมจะยืนขึ้นแล้วนะ” ฉินโจ้วบอก หลี่เฟยส่งเสียงตอบออกมาเพียง "อืม..."
เมื่อฉินโจ้วยืนขึ้นพร้อมกับมือที่ยกสะโพกอันอวบอิ่มของหลี่เฟยขึ้นเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าพฤติกรรมแบบนี้นั้นอาจดูสนิทสนมมากเกินไป เขาเองก็ไม่ใช่เด็กๆอีกแล้ว ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ทั้งคู่ต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา
มีเพียงความเงียบงันไปตลอดทาง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้