ทั้งสองปัดเื่บิกินีออกไปจากความคิด หลังพูดคุยกันอย่างจริงจังเป็เวลานาน สุดท้ายก็มีความคิดเห็นเดียวกันว่ามีความเป็ไปได้มากที่จะถูกสตรีผู้ใดขโมยไป
ในแง่ของความสะดวกเพียงอย่างเดียว สตรีเข้าหอพักมาได้สะดวกกว่า
อย่างไรเสีย ตามกฎระเบียบหอพักของสำนักซืออี๋ คือห้ามทหารยามเข้ามา
“เมื่อปัญหาแรกคลี่คลายแล้ว มาถึงปัญหาที่สอง สตรีผู้ใดเอาไปกันเล่า? จะเป็เพราะแอบรักท่าน หรือมีเจตนาอื่นใด?” กู่ซือฝานฉลาดขึ้นมา ลำดับปัญหาอย่างปราดเปรื่อง
อวิ๋นอี้หัวเราะออก "รักข้าหรือ? ผู้ใดจะรักข้า? เกลียดข้าน่ะสิไม่ว่า ที่ทุกคนต้องมาอยู่ที่นี่เป็เพราะข้า"
"มิแน่นะเพคะ" กู่ซือฝานไม่เห็นด้วย นางตบไหล่ของอวิ๋นอี้ พูดอย่างจริงจังว่า “พี่สะใภ้เจ็ด ท่านมิรู้เสน่ห์ของตนเองน่ะสิเพคะ แม้ว่าท่านจะมิรู้มารยาท นิสัยหยาบคาย ดนตรี หมาก อักษร วาดภาพ ทำมิเป็สักอย่าง ท่องบทกวีก็ดูจะ... "
"???" อวิ๋นอี้สงสัย นี่นางชมเชยหรือกำลังต่อว่ากันแน่
“แต่!” กู่ซือฝานเปลี่ยนเื่พูด “นั่นไม่สำคัญเลยเพคะ สิ่งที่สำคัญคือท่านฉลาด เก่ง กล้าหาญ น่ารัก สรุปแล้ว...”
นางหยุดตรงนั้นราวกับคิดคำที่เหมาะสมมิได้อยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วและครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันยิ้มพูดต่อว่า “สรุปแล้วท่านพี่สะใภ้มีเสน่ห์มากเพคะ ข้ามิรู้ว่ามันเป็ความรู้สึกอย่างไร ท่านมีราศีอย่างบอกมิถูก ชวนให้ผู้คนเข้าหา ทั้งน่าชื่นชม เช่นท่านรู้เื่ที่ข้ามิรู้มากมาย นำสิ่งใหม่ๆ มาให้เสมอทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น บางคราข้ายังสงสัยว่าพี่สะใภ้ท่านถูกิญญาผู้อื่นมาเข้าร่างหรือไม่?”
"... "
ไอ้หยา
ตอนที่ฟังครึ่งแรกอยู่ คำเยินยอทำเอานางลอยเริ่มได้ใจ อวิ๋นอี้แทบลืมไปเลยว่าตนเองเป็ผู้ใด สุดท้ายนางพูดเช่นนี้ ราวกับตกลงมาจากฟ้า กลัวจนแทบฉี่ราด
สาวน้อย เ้าพูดความจริงออกไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
อวิ๋นอี้สบตากับดวงตาที่เจิดจ้าคู่นั้น พลันยิ้มอย่างเขินๆ "กระไรคือถูกิญญาผู้อื่นเข้าร่างกันเล่า! มีเื่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้นที่ใดกัน? ข้าเพียงสูญเสียความทรงจำไปเท่านั้น ลืมเื่ที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมด”
“ทว่านิสัยของท่าน...”
“เ้าก็รู้ว่า ข้าถูกช่วยชีวิตจากคนในหมู่บ้าน ถือว่าหลุดพ้นมาจากนรกแล้ว” นางพูดด้วยน้ำเสียงคนเผชิญโลก “เป็ธรรมดาที่จะคิดออกในหลายๆ เื่”
กู่ซือฝานสมองเรียบง่าย ฟังสิ่งที่อวิ๋นอี้พูดมีเหตุผล เชื่อโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นว่าโมเมจนผ่านไปได้แล้ว อวิ๋นอี้จึงวางใจลง ยืดหลังตรง
เพื่อมิให้กู่ซือฝานคิดเื่อื่นได้ขึ้นมาอีก นางหันกลับมาแล้วพูดว่า “มิต้องพูดแล้ว ข้าจะดูอีกหน่อยว่ามีสิ่งใดหายอีกบ้างหรือไม่?”
ไม่นานนางก็พบว่าจดหมายสองซองที่อยู่ใต้หมอนหายไป
“จดหมาย?” กู่ซือฝานทั้งโกรธทั้งขำ “หัวขโมยผู้ใดจะขโมยจดหมายกันเพคะ! ทำกินก็มิได้”
อวิ๋นอี้คิดเยอะ เดาได้ว่าเป็ผู้ใด นางเม้มปาก บอกว่า "เป็ซูเมี่ยวเออร์"
"นางหรือ?" กู่ซือฝานกระทืบเท้า “ทำเื่ขโมยไก่คลำสุนัขได้อย่างไร? [1] น่าขายหน้าชะมัด!”
“คนถ่อยก็เป็เช่นนี้กันทั้งนั้นมิใช่หรือ?” อวิ๋นอี้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างรำคาญใจ นางนึกถึงเนื้อหาในจดหมาย คิดว่าซูเมี่ยวเออร์ต้องคิดหาเื่กระไรอีกเป็แน่
“ควรทำอย่างไรดีเพคะ?”
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว มิมีแสงสว่างใดๆ ในห้อง ความมืดเป็เหมือนเป็นักล่าที่อดกลั้น ค่อยๆ กลืนกินแสงสุดท้ายอย่างสง่างาม
บรรยากาศด้านนอกเงียบกริบ
มีกลิ่นหอมจางๆ อยู่ในอากาศ บางคราได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเบาเดินผ่านใต้ชายคา แม่นมเรียกให้สาวใช้จุดตะเกียง
แสงสีแดงที่ลุกขึ้นสีเหลืองสลัวดูงดงาม ตะเกียงเคลื่อนไปตามลม ความสว่างไสวเล็กน้อยที่แทรกซึมเข้าไปในห้องคล้อยไปตามลมด้วย
อวิ๋นอี้ยิ้มเยาะอย่างเ็า “ดูเหมือนนางจะวางแผนกระไรบางอย่าง ครานี้เราจะนำหน้านาง ชิงจัดการก่อน”
หลังจากที่นางพูดจบ นางให้กู่ซือฝานหากระดาษพร้อมเครื่องเขียนมา
“จะทำการใดเพคะ?”
อวิ๋นอี้มิตอบ นางจดจ่ออยู่กับการกางกระดาษ ค่อยๆ เขียนคำแรกลงไป
กู่ซือฝานกลั้นหายใจ นางยืนขึ้นจ้องมองอวิ๋นอี้ ทุกย่างก้าวของนางดูจริงจัง
เมื่ออวิ๋นอี้เขียนชื่อเสร็จ กู่ซือฝานอดหรี่ตามองมิได้ "ท่านพี่เขียนจดหมายหาท่านพี่ชายเจ็ดเป็เื่ดีเลยเพคะ เอาเื่ที่ซูเมี่ยวเออร์ทำมิดี เล่าให้ท่านพี่ชายเจ็ดให้หมดเลยเพคะ ให้ท่านพี่ชายไปจัดการนาง! ฮึ่ม! ถึงเวลานั้นจะได้เห็นว่าซูเมี่ยวเออร์ยังจะมีหน้ามาจองหองต่อหน้าท่านพี่อีกหรือไม่!”
“าระหว่างสตรีไม่จำเป็ต้องให้ บุรุษรู้หรอก” อวิ๋นอี้พูดต่อจากนาง มิเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“กระไรนะเพคะ?” กู่ซือฝานไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าจดหมายนี้เขียนถึงหรงซิว
อวิ๋นอี้หรี่ตา “หากว่าข้ากับนางจะแย่งบุรุษผู้เดียวกัน ทว่ามิวายที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือจากบุรุษ ข้าจะยืนเคียงข้างหรงซิวอย่างคู่ควรได้อย่างไร? เ้าคอยดูต่อไปก็รู้แล้ว”
แม้จะมีความสงสัยมากมายในใจ ทว่ากู่ซือฝานกลับฟังอวิ๋นอี้และเฝ้าดูอย่างอดทน
อวิ๋นอี้เขียนเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อหรงซิวเป็อันดับแรก ถ้อยคำค่อนข้างรุนแรง พอเขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ กลับพูดถึงตนเองและดูถูกตนเองต่างๆ นานา
"......" กู่ซือฝานมิเข้าใจอีกแล้ว จนเมื่อลงชื่อซูเมี่ยวเออร์ นางถึงได้รู้ "ท่านพี่สะใภ้ ท่านใช้ชื่อของซูเมี่ยวเออร์ เลียนแบบลายมือนาง เขียนจดหมายสารภาพรักให้ท่านพี่ชายเจ็ดหรือเพคะ?"
"นับว่าเ้าฉลาด" อวิ๋นอี้เก็บพู่กันและหมึก เป่าจดหมายเบาๆ พยายามให้หมึกแห้งโดยเร็วที่สุด
“ทว่าเพราะเหตุใดเล่าเพคะ!” กู่ซือฝานไม่เข้าใจว่าจดหมายสารภาพรักจะมีประโยชน์กระไร
อวิ๋นอี้มิตอบ รอให้หมึกแห้งทั้งหมดอย่างใจเย็นก่อนจะเก็บจดหมายไปใส่ในตู้
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว นางมิได้อธิบายกระไรมาก ไปที่โรงอาหารกับกู่ซือฝานที่ยังอยู่ในหมอกควัน
ตอนที่ได้เจอกับซูเมี่ยวเออร์ มิมีผู้ใดที่มีสีหน้าปกติ
อวิ๋นอี้หน้าตึง มุมปากเยาะเย้ย หน้าของกู่ซือฝานแทบจะเขียนความขยะแขยงประทับไว้ หากไม่มีผู้คนอยู่ใกล้ๆ เกรงว่านางจะอารมณ์ร้อนพุ่งตัวไปตบแล้ว
ส่วนซูเมี่ยวเออร์ที่หน้าตามิดีมาโดยตลอด มิรู้ว่ากระไรไปกระตุ้นนาง แววตาน่ากลัว ราวกับงูพิษที่แลบลิ้นแดงวนเวียนอยู่ในความมืด
“ฮึ่ม!”
เมื่อเจอกับศัตรูหัวใจ พลันริษยาตาร้อน
เมื่อเดินผ่านกัน พวกนางเยาะเย้ยกันอย่างมิมีผู้ใดยอมกัน
เป็มื้อเย็นที่ไม่รื่นเริงใจเอาเสียเลย
เหนื่อยมาทั้งวัน อวิ๋นอี้บอกลากับกู่ซือฝานที่หน้าประตู ขณะที่นางกำลังผลักประตู ทันใดนั้นก็มีมือยื่นออกมาจากข้างใน กำข้อมือนางแน่น แล้วเอามืออีกข้างปิดปาก การกระทำหยาบคาย ลากนางเข้าไปในห้อง
“อื้อ!”
เสียงร้องของนางเล็ดออกมาจากระหว่างนิ้ว
วินาทีถัดมา มือที่ปิดแน่นบนใบหน้าถูกปล่อยออกไป ทว่าเบื้องหน้านางยังมืดสนิท อวิ๋นอี้รู้ว่าเป็มนุษย์ แต่มองเห็นใบหน้ามิชัด
นางขมวดคิ้ว ปลายจมูกได้กลิ่นที่คุ้นเคย มิทันที่จะได้พูดกระไร ปากของนางก็ถูกความเร่าร้อนอุดไว้เสียแล้ว
เชิงอรรถ
[1] ขโมยไก่คลำหมา 偷鸡摸狗 หมายถึง การลักขโมย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้